Saturday, December 25, 2010

แผนที่โลก

วันนี้มีแผนที่โลกมาให้ดู 2 แบบ
อยากให้ลองคิดกันดูเล่นๆว่า 2 แบบนี้ต่างกันยังไง

รูปที่ 1
Photobucket

รูปที่ 2
Photobucket

ขอเล่าที่มาที่ไปที่เอาแผนที่ 2 รูปนี้มาโพสให้ดูกันก่อนนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆเกิดอะไรขึ้นกับแผนที่
แล้วจะเฉลยให้ฟังว่ามันต่างกันยังไง

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเที่ยวอิตาลี แล้วมีเวลาครึ่งวันได้ไปเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน
มีเวลานิดเดียวเลยไม่มีเวลาได้พินิจพิเคราะห์ศิลปะเท่าไหร่ กะว่าถ้าเกิดมีเวลา (และเงิน) จะไปเดินดูสักสามวัน 555่
ขณะที่เหลือบมองอยู่นั้นก็มีความคิดหลายอย่างแล่นเข้ามาในหัว

หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นคือเป็นช่วงเวลาที่เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น จำไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นคาบอะไร อาจารย์เรียกให้นักศึกษา 2 คนออกไปวาดรูปแผนที่โลกให้ดูหน่อย

นักศึกษาคนที่หนึ่งเป็นนักศึกษาต่างชาติ วาดรูปออกมา่เป็นลักษณะรูปที่ 1 ส่วนนักศึกษาคนที่สองซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นนั้นวาดรูปออกมาเป็นลักษณะรูปที่ 2

เฉลย...สิ่งที่แตกต่างกันของ 2 รูปนี้คือ "ที่ๆเป็นศูนย์กลาง" นี่เอง

แผนที่โลกที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เราใช้ตามแบบยุโรป ทำให้ศูนย์กลางของโลกคือยุโรป และเราซึ่งเป็นคนเอเชียจึงถูกเรียกว่า "ชาวตะวันออก" ประเทศญี่ปุ่นจึงถูกเรียกว่า "ตะวันออกไกล"

แต่แผนที่ที่นักเรียนญี่ปุ่นเรียนมาประเทศที่อยู่ศูนย์กลางของโลกคือประเทศญี่ปุ่นนี่เอง

จริงๆแล้วคงไม่สามารถบอกได้ว่าแผนที่แบบไหนดูปกติ (พยายามหลีักเลี่ยงที่จะใช้คำว่าถูก หรือผิด เพราะว่าคงไม่มีอันไหนผิด) เพราะขึ้นอยู่กับความเคยชินของแต่ชาติ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเราได้รับอิืทธิพลมาจากฝรั่งพอสมควรในสมัยที่มีลัทธิล่าอาณานิคม ทำให้เีราเคยชินกับการใช้แผนที่ตามแบบฝรั่ง เราเลยเรียกพวกเขาว่าชาวตะวันตก และเรียกตัวเราเองว่าชาวตะวันออก และแผนที่แบบที่ 1 ก็คือแผนที่ที่ "ปกติ" สำหรับเรา

แต่สำหัรบชาวญี่ปุ่น แผนที่แบบที่ 1 นั่นแหละผิดปกติ

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนญี่ปุ่นจะสงสัยกันไหมว่าทำไมจึงเรียกพวกเขาว่าชาวตะวันออก ก็ในแผนที่อเมริกาต่างหากที่อยู่ตะวันออก

*******************************

เรื่องที่ 2 ที่คิดขึ้นมาได้คือว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือปกติ แล้วอะไรล่ะคือความผิดปกติ

ตอนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น เคยมีวันหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนประหลาดมาก
วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่อากาศกำลังจะเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูใบไม้ร่วง
เราแต่งตัวออกจากบ้าน หยิบเสื้อคาดิแกนบางๆตัวหนึ่งมาใส่เพราะอากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย
แล้วก็เดินออกจากบ้านเพื่อจะไปขึ้นรถไฟ

ความประหลาดมันอยู่ที่วันนั้นบนรถไฟ เราเป็นคนเดียวที่ใส่สีชมพู....
และรู้สึกว่าคนทั้งรถไฟที่เปลี่ยนจากเสื้อผ้าสีสดใสหน้าร้อนมาเป็นสีตุ่นๆหม่นๆ กำลังยืนมองเราอยู่....

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะดันทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านนั่นเอง
(เรื่องการทำอะไรเป็น pattern ของคนญี่ปุ่นจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้า)

เรื่องใส่เสื้อผ้าผิดสีนี่ไม่เคยเกิดขึ้นที่เมืองไทย เพราะร้อนตลอดปีทำให้ไม่ได้มีใครคิดว่านี่ฤดูหนาวแล้วนะเธอต้องเปลี่ยนสีๆ ห้ามใส่ลายดอกเด็ดขาดนั่นมันหน้าร้อนนนนน

แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้สึกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับวัยรุ่นไทย...
วันหนึ่งขับรถผ่านสยาม...เห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อ jumper มีฮู้ด ใส่หมวกไหมพรม รองเท้าบู้ท และแว่นกรอบใหญ่ๆสไตล์เกาหลี
ก็เลยคิดว่าเด็กสมัยนี่ผิดปกติแล้วล่ะนะ ร้อนจะตายชักใส่มาแบบนี้ไม่ีเป็นลมตายเหรอจ๊ะน้อง

แต่คิดไปคิดมา...ถ้าเราเดินออกจากรถและไปรวมกลุ่มกับน้องกลุ่มนั้น เราอาจจะเป็นคนผิดปกติก็ได้นะ

*******************************

สุดท้ายนี้เอารูปแผนที่ต้นเหตุที่ทำให้มาเขียนเรื่องนี้ในวันนี้มาฝากกัน...
เอามาให้ดูว่าสมัยก่อนสำหรับชาวยุโรปนั้น ประเทศตูไม่ได้มีตัวตนใดๆเลย มองไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร
หาตั้งนาน ประเทศตูอยู่ตรงไหนเนี่ย 5555
(รีบมากเลยไม่ได้สังเกตว่าเป็นแผนที่ที่เขียนขึ้นในปีไหน ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)

Photobucket

Saturday, December 11, 2010

Italy in panoramic view

Taken by my iPhone (with Pano application)

Duomo Milano, Milan

Photobucket

Verona

Photobucket

Venice
Photobucket

Pisa

Photobucket

Duomo Firenze, Florence

Photobucket

Florence
Photobucket

Pompei
Photobucket

Photobucket

Capri

Photobucket

Photobucket

Sorrento

Photobucket

Trevi Fountain, Rome

Photobucket

Photobucket

Vatican Museum, Vatican

Photobucket

Photobucket

Photobucket

St.Peter's Basilica, Vatican
Photobucket

Photobucket

Photobucket

Colossium, Rome

Photobucket

Photobucket

Wednesday, September 22, 2010

วัฒนธรรมรถป็อป

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไปทำงาน Career Exhibition ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์มาค่ะ
ปกติแล้วเคยเป็นแต่คนร่วมงาน คราวนี้ไปแบบเป็นคนจัดงาน

จริงๆแล้วค่อนข้างชื่นชอบกับงานลักษณะแบบนี้นะ ได้เจอคนเยอะแยะ
ได้คุยนั่นนี่กับคนเยอะ (ถึงแม้ว่าจะเจอคนแปลกๆหลายคนซึ่งนับได้ว่าเป็นสีสันของชีวิตแล้วกัน)
แล้วรู้สึกว่าถึงแม้การทำอะไรแบบนี้มันจะดูน่าเหนื่อย แต่จริงๆแล้วพอไปทำแล้วมันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นเลยแหละ

ปัญหามันอยู่ที่ว่า....
พอเลิกงานแล้ว สิ่งที่เหนื่อยคือการต้องเก็บของกลับออฟฟิศนั่นเอง

ขณะที่กำลังขนของงกๆเหงื่อแตกไปทั่วกายาอยู่นั้น ก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า...
ทำไมในศูนย์สิริกิติ์มีคนมากมาย ส่วนมากผู้ชายทั้งนั้น กลับยืนมองอีผู้หญิงคนนี้ยืนขนของอย่างไม่ใส่ใจ

แล้วก็นึกถึงตอนที่อยู่จุฬาฯ รู้สึกว่าวันไหนที่ยกของเยอะๆ จะต้องมีผู้ชายที่ไม่รู้จักวิ่งมาแล้วช่วยถือทุกที
หรือแม้แต่กระทั่งตอนนั่งรถป็อป เวลาขึ้นรถทีไรจะต้องมีผู้ชายลุกให้นั่งทุกที

แล้วก็สงสัยขึ้นมาอีกว่า...
จริงๆแล้ว สถานการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในโลกของเรานี่มันเป็นยังไงกันแน่???
ปกติผู้ชายเวลาเห็นผู้่หญิงแบกของมาเยอะๆนี่เค้าช่วยถือกันบ้างไหม
หรือเวลาขึ้นรถสาธารณะเค้าลุกให้ผู้หญิงนั่งกันบ้างไหม

หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจุฬาฯสมัยที่เรียนอยู่เป็นเพียงแค่วัฒนธรรมรถป็อป??

หรือว่าจริงๆแล้ว ผู้ชายดีๆนั้นหมดโลกไปแล้วจริงๆ T_T

Saturday, August 21, 2010

บาหลี..รีวิว

ไปเที่ยวบาหลีมาเมื่อวันหยุดยาวสี่วันที่ผ่านมาค่้ะ
อ่านรีวิวมาหลายที่ดูทุกคนสนุปสนานชื่นชมกับเมืองนี้
ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับช้านนน ทำไมเจอแต่อะไรแปลกๆ
วันนี้เลยมาเขียนรีวิวให้ทุกคนอื่น เผื่อคนที่ตัดสินใจจะไปจะได้เตรียมตัวให้ดีก่อนจะไป

Photobucket

1 ใช้บริการทัวร์

- เนื่องจากบาหลีไม่ใช่ญี่ปุ่นหรือฮ่องกง ตั้งใจจะไปเที่ยวเองทำไม่ได้งทำได้ง่ายๆ ที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ โคตรรรรรไกลกันเลย ไม่ใช่ใกล้ๆกันเหมือนอยุธยาขี่จักรยานไปได้นะ บางที่บางวัดต้องขึ้นเขาไปนั่งรถเป็นชั่วโมง วันนึงนอน (ในรถ) เยอะมากกกกก อีกอย่าง
ระบบขนส่งมวลชนก็ไม่ได้ทั่วถึง เพราะฉะนั้นไปทัวร์ดีกว่า สบายกว่ากันเยอะ

สำหรับคนที่ไม่สนใจอยากเที่ยววัดวาอาราม ก็ไม่ต้องใช้ทัวร์ค่ะ นั่งนอนดูทะเลเล่นอยู่ในรีสอร์ท อย่างเดียวก็พอ ออกมาข้างนอกระวังตัวเน้ออ (อ่านข้อต่อไป)

2 เป็นผู้หญิงระวังตัว
- คงไม่มีคนไหนเป็นผู้หญิงออกไปเดินคนเดียว แต่ถึงแม้สองคนสามคนก็ให้ระวังตัวไว้ด้วย เนื่องด้วยเดี๊ยนเจอประสบการณ์ตรง ก็ไม่เข้าใจว่าพวกฝรั่งแต่ตัวโป๊ๆเดินเต็มถนนไปหมด ไม่เห็นมีใครทำไรเลย พอชั้นเดินมาหน้าเหมือนยุ่นนิดหน่อย...พวกคนก่อสร้าง คนขายของแซวกันพัลวัน เดินๆอยู่จับแขนแต๊ะอั๋งซะงั้น... ไม่เข้าใจทำไมคนเอเชียดูถูกคนเอเชียด้วยกันเอง

เพราะฉะนั้นถ้าจะออกมาเดินข้างนอกไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เป็นผู้หญิงให้พาผู้ชายไปด้วย หรือไม่ก็ให้มาเป็นกลุ่มก้อน...พวกมันถ่อยจริงๆขอคอนเฟิร์ม

3 ระวังตอนแลกเงิน
- สำหรับคนที่แลกเงินไปไม่พอใช้ (ซึ่งไม่เกิดขึ้นกับเดี๊ยน..สำหรับเดี๊ยนแล้วไม่มีอะไรน่าซื้อ เหมือนเดินเที่ยวตลาดแถวภูเก็ตยังไงยังงั้น) ในเมืองจะมีซุ้มแลกเงินเต็มไปหมด ถ้าจะให้แนะนำ แนะนำให้ไปแลกที่ธนาคาร อาจจะเสียคอมมิชชั่นแพงกว่านิดหน่อย แต่ไม่เสี่ยงกับการโดนโกง

มีคนในกรุ๊ปทัวร์เดียวกันเล่าให้ฟังว่า ตอนกลางคืนเดินไปแลกเงินตามซุ้มเนี่ยแหละ เอาแบงค์ USD 100 ไปแลก คนที่ให้แลกก็พยายามให้เป็นเศษๆ (เนื่องจากค่าเงินแบบหลักหมื่นหลักล้านอ่ะ) แบบพยายามให้เป็นแบงค์พันมาเป็นปึกๆ เค้าก็นับเงินกันสดๆตรงนั้นเลย ไอ้คนให้แลกก็ดึงเข้าไปนับใหม่ ทำสับไปสับมาแบบนี้หลายครั้ง คือมันให้ไม่ครบว่างั้นเหอะ คงไม่คิดว่าจะนับกันต่อหน้าเลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่นี้พอหลายๆครั้งเข้ามันก็บอกไม่ให้แลกแล้ว แล้วก็เอาเงิน USD มาคืน พี่เค้าก็บอกว่าไม่เอา..เอาไปซุกในซอกแล้วดึงมาคืนแบงค์ปลอมหรือเปล่าก็ไม่รู้ จบยังไงไม่รู้เหมือนกัน แต่เป็นอุทธาหรณ์ว่าถ้าจะไปแลกเงินตามสถานที่อโคจร
ให้นับให้ดีนะคะ

4 เวลาไปกินตามร้าน..จ่ายเงินให้พอดี
- ตอนกลางคืนที่บาหลี เหมือนเปลี่ยนประเทศไปอยู่แถบยุโรปอย่างไรก็ไม่ทราบ มีแต่ฝรั่งและผับเต็มไปหมด ก็ยอมรับนะว่าไปนั่งบ้างอะไรบ้าง 55555 แต่มีอยู่วันนึงก็ไปนั่งดื่มในร้านในเมืองนั่นแหละ คิดเงินมาเป็นเงิน 735,000 (เศรษฐีมะ..กินเหล้าแพงโคตร) จ่ายเงินไป 750,000 คนรับรับเิงินไป...ไม่ทอน แล้วก็เดินไปหลังร้านเลย! เอ่อ..เข้าใจนะว่าอยากได้ทิป แต่ขอเป็นคนให้เองได้ป่ะ -"-

ดังนั้นไปกินหรือดื่มร้านอะไรแบบนี้ พยายามให้เงินให้พอดี หรือให้เหลือมาทอนให้น้อยที่สุดละกันนะคะ ป้องกันการเสียอารมณ์

5 การต่อราคา
- ไม่ต่างกับการไปช็อปปิ้งตลาดที่เมืองจีน ราคาเนี่ยจะตั้งมาทำไมฟระ -"- ตั้งมาซะแพงลิบลิ่ว ไกด์บอกว่าให้ต่อราคาครึ่งๆเลย แต่แบบบางอย่างมองแล้วครึ่งนึงยังไงก็ไม่พอ ต่อไปตามราคาเมืองไทยแล้วถูกกว่าหน่อยเลยดีกว่า เดินไปเที่ยวที่วัดนึงไปซื้อที่แม็กเน็ตติดตู้เย็น เจ๊เขาบอก เนี่ยเขาขายปกติราคา 60,000 นะเนี่ย..ชั้นก็บอก 10,000 แล้วเหมือนเดจาวูอ่ะ เหมือนซื้อของในตลาดนัด เจ๊ก็พยายาม สี่หมื่นน่า สองหมื่นน่าาา อะไรแบบนี้ ในที่สุดก็ได้มาได้ราคาหนึ่งหมื่น (สี่สิบบาท)...แต่กลับมาคิดๆดูอาจจะต่อน้อยไป
เห็นคนขายทำหน้ากระหยิ่มมาก -"-

แล้วไม่น่าเชื่อว่าน้ำอัดลมขวดๆก็ยังต่อได้...ไปซื้อน้ำร้านนึงขายเราหมื่นห้า เราบอกอ่าว..ทำไมร้านนั้นขายหมื่นนึง เค้าก็บอกไม่ได้ต้องหมื่นหน้า เราก็เดินออก...กวักมือเรียกใหญ่ๆเลย โอเคๆๆๆ หมื่นนึง...

เอ่อ.....

6 คนขายของแผงลอย
- ปกติแล้วตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆก็จะมีพวกคนขายของแผงลอยคอยดักนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ ขายทุกอย่างสากกระเบือยันเรือรบ แล้วจะเดินตามนะ ยิ่งถ้าดูเหมือนคนยุ่น (ดูมีตังค์มั้ง) จะรีบรุมใหญ่เลย คิดว่าทุกท่านคงรู้กันว่าอย่าซื้อเลยถ้าไม่จำเป็น เพราะว่าถ้าซื้อของจากคนนึง คนอื่นจะมารุมเราเป็นขโยง เหมือนปิดหมู่บ้านขายของออกมาเพื่อรุมเราคนเดียว ถ้าจะให้ดีเวลาเดินตามสถานที่ท่องเที่ยว ให้รีบๆเดิน อย่าสบตาคนขายของ โดยเฉพาะคนขายของรุ่นเยาวชน..สบตาทีนึงเดินตามใหญ่เลย -"- เวลาขึ้นรถ ระหว่างรอคนอื่นให้ปิดประตูรถ อย่าเปิดหน้าต่าง เพราะเจอมาแล้วสอดมือเข้ามาขายตะเกียบกันถึงในรถเลยทีเดียว (อาจจะมีเคาะกระจกเรียกร้องความสนใจบ้างอะไรบ้าง ก็ทำหูหนวกไปอย่าสนใจ)

7 ว่าด้วยเรื่องซอสมะเขือเทศ
- อันนี้ไม่รู้ว่าชาวบ้านเค้าเจอกันหรือเปล่า ตอนเช้าทานอาหารที่โรงแรมเป็น American Breakfast (คิดว่าปลอดภัยสุด) เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ขอ Ketchup จากพนักงานเสิร์ฟ..... รอไปห้านาที สิ่งที่ได้มาคือ..

"ซีอิ๊วดำ"

!!

ถามคนที่เอามาเสิร์ฟอีกครั้งแล้วด้วยนะว่า เนี่ยนะ Ketchup???
เค้าก็ชัวร์มา เย่..เค็ทฉับ...

วันต่อมาเลยสั่ง Tomato Sauce

จำไว้นะคะทุกคน อยากได้ซอสมะเขือเทศ ให้สั่ง Tomato Sauce -"-

8 กลิ่นไม่พึงประสงค์

- คิดว่าอันนี้ไม่จำเป็นว่าต้องไปประเทศนี้เท่านั่นถึงจะเป็น จริงๆแล้วไปไหนก็มีโอกาสเจอทั้งนั้นไม่ว่าจะไปประเทศไหน ไม่ได้ตั้งใจจะว่าใครนะคะ กลิ่นบางกลิ่นเราอาจจะไม่ชินทำให้รู้สึกว่าเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ และเราไม่สามารถเลือกได้ว่าใครจะเป็นคนที่จะมานั่งข้างๆเราบนเครื่องบิน... ดังนั้นเพื่อความชัวร์ เตรียมหน้ากากอนามัย และยาดมไปด้วย เพื่อสุขภาพจมูกของคุณเอง...เหอๆ

จบแล้วค่ะสำหรับรีวิวการไปเที่ยวบาหลีสี่วันของโบว์
ไม่ได้จะบอกว่าประเทศเค้าไม่ดีนะ เพราะว่าสำหรับคนเล่นเซิร์ฟแล้วเป็นที่ๆเหมาะมาก คลื่นแรงมากกกก ทะเลอาจจะไม่งามเท่าภาคใต้บ้านเรา แต่ถ้าชอบไปดูสถาปัตยกรรมก็เป็นที่ๆน่าไปดูมากๆ วัดเก่าๆสวยๆ ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ แต่มาเขียนไว้สำหรับคนที่วางแผนจะไปเที่ยวบาหลีเร็วๆนี้ให้ระวังตัวไว้บ้าง ขนาดไกด์ฺยังแนะนำก่อนลงจากลงจากรถเลยว่า "ผมไม่สามารถบอกได้ว่าที่นี่ปลอดภัย 100%" เรื่องกระเป๋าตังค์ยังไงก็ต้องระวังไว้อยู่แล้วไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม

ปลอดภัยไว้ก่อน..เวลาไปเที่ยวจะได้ไม่เจอเหตุการณ์ไม่ประทับได้ และจะได้สนุกๆค่ะ :)

Wednesday, August 11, 2010

การวิจัยบนรถไฟฟ้า

เนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้าฝน ทำให้การจราจรในกรุงเทพฯติดขัดถึงที่สุด
เดี๊ยนจึงต้องใช้บริการรถไฟฟ้า BTS นั่งออกมาให้ไกลตัวเมืองออกมาก่อนสักหน่อย
เพราะเคยมีประสบการณ์ออกจากออฟฟิศทุ่มนึงถึงบ้านสี่ทุ่มมาแล้ว เหอๆ

Photobucket

ตลอดสัปดาห์นี้นั่ง BTS ทุกวัน ได้ข้อสังเกตมาหลายอย่าง สามารถสรุปได้ดังนี้

1 คู่รักวัยมัธยมเดี๋ยวนี้ประเจิดประเจ้อมากกกก รถไฟฟ้าที่สาธารณะนะคะน้อง ไม่ต้องแสดงความรักกันให้มากขนาดนั้นก็ได้ อิจฉา เอ้ย ไม่ใช่...อดเหลือไปดูชื่อโรงเรียนแทบไม่ทัน เฮ้ออออ

2 ผู้ชายหน้าตาดีสมัยนี้หายากมากกกกกกกกก ขึ้นรถไฟฟ้าคนอัดแน่นทุกวัน ไม่เคยได้เบียดกับชายหนุ่มรูปหล่อเลยซะที -"-

3 ผู้คนในวัยรุ่นๆเดียวกับเดี๊ยนพูดกันแต่เรื่องแต่งงาน นี่มันอะไรกันเนี่ยยยยยยย

มีคนเคยบอกว่าการจะเป็นนักวิจัยที่ดีจะต้องเป็นคนช่างสังเกต
ไม่รู้ว่าอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นนักวิจัยที่ดีได้หรือเปล่านะ 55555+

ช่วงนี้ไม่มีเรื่องมาเขียนบล็อคเลย น่าอนาถ T_T

Monday, August 09, 2010

เศรษฐีเงินล้าน...

กำลังจะไปบาหลีสุดสัปดาห์นี้...
เอาเงินไทยไปแลก ได้เงินมาล้านกว่ารูเปีย...โว้ววววว

เป็นเศรษฐีเงินล้านชั่วคราว
จนกว่าจะกลับมาเมืองไทย ;)

Photobucket

Monday, July 19, 2010

ของขวัญจากพี่ส้ม

ขอเขียนต่อเนื่องจากที่เพิ่งไป business trip ที่ญี่ปุ่นมาเมื่อต้นเดือนนะคะ
พอดีว่าวันสุดท้ายที่อยู่ที่ญี่ปุ่น มีเวลาว่าง (ระหว่างรอเปลี่ยยเครื่องและเดินทางจาก Haneda ไป Narita)
ประมาณ 3-4 ชั่วโมง -"- (มีเวลาว่างให้เค้ามีชีวิตส่วนตัวแค่นั้นจริงๆ T_T)

เลยมีโอกาสได้ไปพบเพื่อนๆ ทานข้าวเที่ยงกันก่อนจะกลับมาที่ กทม.ค่ะ

ก่อนกลับพี่ส้มเอาของขวัญวันเกิดย้อนหลังมาให้
เป็นของขวัญทีเก๋ ถูกใจ (คนชอบทำขนมอย่างเรา) มากกกกกกกกกกกก

เลยเอามาแชร์ให้ทุกท่านได้ดูกันว่ามันเ๋ก๋อย่างไร

ดูตอนแรกอาจจะงงๆว่ามันคืออะไรหว่า
Photobucket

แยกส่วนประกอบมา แต่นแต๊น...
Photobucket

มันคือ หนังสือทำขนม แถมพายไม้ และพิมพ์เค้ก โอ้ววว

ข้างในหนังสือมีสูตรเค้กที่ส่วนผสมจะผสมออกมาได้พอดีกับพิมพ์ที่แถมมาพอดีเลย
Photobucket

ชอบมากกกกก เดี๋ยวทำแล้วจะเอามาอวดน้าา ขอบคุณมากนะคะพี่ส้ม ^^

แ่ต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำเลยอ่ะค่ะ เตาอบฝุ่นจะเกาะอยู่แล้ว T T

Saturday, July 10, 2010

ผู้หญิง ผู้ชาย คนญี่ปุ่น

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไป Business Trip ที่ญี่ปุ่นมาค่ะ
ไป 6 วัน บินทั้งหมด 5 ไฟลท์ นอนเที่ยงคืน ตื่นตี 5 T_T
ช่างเป็นการทำงานที่ใช้คุ้มมาก ไม่มีเวลาซื้อของให้ตัวเองเลย ซื้อมาได้แต่ปากกาเวลารอเครื่องบิน T_T

เข้าเรื่องดีกว่า...
เนื่องจากมีเวลาเป็นส่วนตัวน้อยนิด
ทำให้มีเวลาดูทีวีน้อยไปด้วย ก็เอาเวลาระหว่างจัดของนั่นแหละดูทีวี
เปิดทีวีไปเจอรายการนึง แนะนำร้านราเม็งเมนูใหม่ๆ

ทีนี้เค้าก็แนะนำร้านนึง บรรยายว่า...

"น้ำซุปทงคตสึ ผสมกับนม เครื่องราเม็งประกอบด้วยเบคอนและไข่ลวก.."

ให้ทายสิว่า...เป็นราเม็งอะไร...ให้ทาย 10 บรรทัด

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

ใช่แล้ว.."คาโบนาร่าราเม็ง" นั่นเอง -"-

Photobucket
(รูปจาก google)

เจ้าของร้านแนะนำว่าเนื่องจากเห็นใจคุณผู้ชายทุกท่านที่บางคนอาจจะชอบกินพาสต้าแต่ไม่กล้าเค้าไปร้านพาสต้าคนเดียวได้ เลยได้ไอเดียคิกเป็นสูตรนี้ขึ้นมา

พูดถึงญี่ปุ่น...ถึงแม้ภาษาญี่ปุ่นจะไม่ได้มีการแบ่งเพศอย่างชัดเจนว่าคำไหนเป็นเพศชาย คำไหนเปนเพศหญิงอย่างภาษาฝรั่งเศส หรือเยอรมัน

แต่ก็มีคำศัพท์บางคำ ประโยคบางประโยคที่เค้าจะรู้กันว่าสำหรับผู้ชายใช้ สำหรับผู้หญิงใช้

การเข้าร้านอาหารก็เช่นกัน ถึงแม้จะไม่มีใครกำหนดไว้ว่าเพศไหนห้ามเข้าร้านไหน แต่เค้าก็จะ "รู้กัน" ว่าร้านไหนสำหรับเพศไหน

มีเพื่อนผู้หญิงญี่ปุ่นคนนึงเป็นเพื่อนที่เซมิ เธอเป็นดั่งกุลสตรีญี่ปุ่นที่แสนงาม
เธอบอกว่าเธอไม่เคยเข้าไปกินร้านข้าวหน้าเนื้อเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะมันเป็นสถานที่ทำหรับผู้ชาย

ตอนนั้นนั่งฟังเงียบๆ..เพราะชอบเข้ามาก เหอๆๆ
แต่แต่ละครั้งที่เข้าไปกินก็สังเกตได้นะว่าคนที่เข้าไปกินมีแต่ผู้ชายส่วนใหญ่เป็นซาลารี่แมน และกรรมกร
เคยเห็นผู้หญิงเข้าไปกินเหมือนกัน แต่น้อยยยมากกกกก

ส่วนร้านของผู้หญิงที่พวกผู้ชายจะไม่กล้าเข้าไป (ถ้าแฟนไม่ลากไป) นอกจากร้านพาสต้าแล้ว
ก็คือจำพวกร้านเค้กทั้งหลาย.. วันที่ไป Business Trip มีไปนั่งร้านเค้กในโรงแรมอยู่ที่หนึ่งที่โอซาก้า
มองลงไปมีแต่คุณป้า คุณน้านั่งทานทั้งนั้น ไม่มีผู้ชายเลยยกเว้นคนทำอาหาร และคนเสิร์ฟ เหอๆ

Photobucket

ไม่รู้เหมือนกันว่าจำพวกร้านอาหารพวกนี้เค้าแบ่งกันยังไงว่าแบบไหนเป็นเพศชาย แบบไหนเป็นเพศหญิง
เพราะเราเองไม่ได้เกิดประเทศนั้นเลยไม่รู้เหตุผล แต่พอจะสังเกตได้เพราะว่าใช้ชีิวิตอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลาพอสมควร
ไม่รู้เหมือนกันว่าคนญี่ปุ่นกันเองเค้าจะรู้กันไหมว่าทำไม

แต่ก็พอจะสังเกตได้เพิ่มอีกหน่อยว่าอาจจะเป็นเพราะสภาพสังคมของเค้ามีการแบ่งแยกหน้าทีระหว่างเพศชายกับเพศหญิงอย่างชัดเจน
ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่เพศไหนควรทำ เพศไหนไม่ควรทำ ถ้าเกิดใครทำออกนอกกรอบสังคมก็อาจจะถูกมองว่าทำไม่ถูกหรือไม่ควร

เหมือนกับเพื่อนโบว์คนนั้นที่ไม่กล้าเข้าร้านข้าวหน้าเนื้อนั่นแหละค่ะ..

Thursday, June 24, 2010

สาบานว่านี่คือ จม.สมัครงานที่ไ้ด้รับมา

Photobucket

คนสมัยนี้มันว่างเน๊อะ มีเวลานั่งเขียนจดหมาย จ่าหน้าซองเป็นภาษาอังกฤษ
ติดสแตมป์ 3 บาทแล้วส่งอะไรแบบนี้มาให้ -"-

Saturday, June 19, 2010

ถนนหน้าออฟฟิศ

สามเดือนที่แล้ว....

Photobucket

สามเดือนผ่านไป...

Photobucket

นี่แน่ใจนะว่าออฟฟิศอยู่ในเมือง?
ไหนมีป้ายขึ้นว่าจะเสร็จเดือน มิ.ย.ไง งบสามล้านอ่ะ
เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปชื่อบริษัทผู้รับเหมามา

ทุกวันนี้เดินไปทำงานยิ่งกว่เาดินอยู่บนถนนลูกรัง
วันดีคืนดีเอาหินมากองๆ ตูต้องปีนเนินไปทำงานอีก

เอาภาษีชั้นคืนมานะ T_T

ไม่ไหวจะเคลียร์ -"-

Monday, May 24, 2010

จากใจ HR

วันนี้ไปทำงานแล้วช็อค!!!
เนื่องจากมีเมลมารออยู่ใน mailbox ที่ออฟฟิศ 500 กว่าฉบับ
เกือบทั้งหมดเป็นจดหมายสมัครงาน (อันเนื่องจากเพิ่งไปสมัครสมาชิกเว็บใหม่มาทำให้เมลเข้ามาเยอะเป็นพิเศษ)

Photobucket

นั่งอ่านไปอ่านมา ประกอบกับมีอีเมลของผู้สมัครเข้ามาอีกเรื่อยๆ คิดว่ารวมๆแล้วน่าจะมากกว่า 700 ฉบับ
ใช้เวลาตั้งแต่ 8.15 ถึง 15.30 กว่าจะเคลียร์หมด

ขอบอกว่ามึนมากๆ จึงมีข้อคิดสำหรับคนที่กำลังหางาน หรือตั้งใจจะสมัครงานที่ใดที่หนึ่งไว้ 9 ข้อ (เท่าที่นึกออก) ดังนี้

1. ระบุให้ชัดเจนว่าจะสมัครตำแหน่งอะไร บริษัทอะไร จะร่นเวลา HR ได้มาก เพราะบางคนเขียนชื่อบริษัทผิด (สมัครบริษัทพานาโซนิค เขียนมาเป็นซัมซุง -"-) แถมบางคนไม่เขียนอะไรเลย แปะเรซูเม่มาอย่างเดียว หัวข้อเขียนว่า "เรซูเม่ของ..." แล้วตูจะรู้ไหมว่าจะสมัครตำแหน่งอะไร? หรืออยากทำอะไร?

2. สมมติว่าจะสมัครหลายบริษัท กรุณาอย่าขี้เกียจ วันนี้เจอหลายคนที่ส่งจม.สมัครงานฉบับเดียว แต่ส่งไปทีละสิบบริษัท โดยใส่ address ของแต่ละบริษัทไว้ที่ "To" ถ้าใส่ใน BCC ก็คงยังพออนุโลมได้เพราะเราไม่เห็นว่าคุณส่งให้ใครบ้าง แต่อย่างงี้ขี้เกียจไปป่ะคะ? ถ้าอยากได้งานแล้วสร้างความประทับใจเล็กๆน้อยๆให้คนคัดใบสมัคร รบกวนเขียนจ่าหน้าให้เรียบร้อย ว่าเรียนคุณอะไรหรือไม่ก็เรียนผู้จัดการฝ่ายบุคคลบริษัทอะไีรไม่ใช่ Dear all หรือไม่ใส่อะไรเลยนะคะ

3. ว่าด้วยเรื่องภาษาอังกฤษ เข้าใจว่าหลายๆท่านอยากเขียนใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษจริงๆ เอาไปให้เพื่อน หรือใครก็ได้ที่เค้าสามารถตรวจภาษาให้คุณได้ หรือไม่ก็หาตัวอย่างใน google ดู ไม่ใช่ส่งเป็นภาษาอังกฤษมา แต่ HR อ่านแล้วงงๆ ตกลงเขียนว่าอะไรหว่า ยิ่งถ้าจะสมัครงานที่เป็นบริษัทต่างชาติก็ควรจะละเอียดนิดนึงนะคะไม่ต้อง เขียนเป็นภาษาอังกฤษสวยหรู เอาเป็นแบบเข้าใจง่าย และอ่านรู่เรื่องดีกว่าค่ะ

4. รูปถ่าย อันนี้มีหลายรูปแบบมาก อันนี้ขึ้นอยู่กับบริษัทและตำแหน่งงานเหมือนกันว่าควรจะเป็นรูปยังไง
บางคนไม่อยากใช้รูปติดบัตร อยากจะใช้รูปยิ้มแย้มก็ได้ค่ะ แต่อย่าลำลองมาก แต่สิ่งที่เจอบ่อยมากค่ะ รูปแอ๊บแบ๊ว..ตาโตแก้มป่อง
ใส่แว่นกันแดด ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เอ่อ..สมัครงานนะจ๊ะหนู

5. cover letter บางคนไม่อ่าน แต่ดิชั้นอ่านค่ะ ถ้าคุณเขียนมาดีก็แสดงถึงความตั้งใจของคุณอย่างหนึ่งส่วนใหญ่เห็นเขียนกันมา 3-4 บรรทัด แล้วก็เหมือนกันเป๊ะเลย ไม่รู้ไปก็อปกันมาจากไหน ประมาณว่า...My name is... I saw your job application on web.... on (วันที่)... I am very interested on the position.... so I would like to apply for it .... จบข่าว

6. เวลาเขียนเรซูเม่ รบกวนเขียนให้ละเอียดนะคะว่าเคยทำอะไรที่ไหน อย่างไร บริษัททำอะไร ตำแหน่งอะไรเพื่อให้ง่ายแก่การ screen เบื้องต้น ถ้าคุณไม่เขียนอะไรเลย มันจะโดนลบทิ้งไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะวันนึง HR ได้รับเมลสมัครงานเป็นร้อยๆฉบับ ต้องขอโทษด้วย แต่ยิ่งอ่านยิ่งมึน

7. สำหรับน้องจบใหม่ ถ้าไม่มีประสบการณ์ทำงานนะคะ มันจะเหมือนๆกันหมด ถ้าน้องไม่ใส่อะไรมาเลย คนเค้าก็จะคิดจากเกรดน้องอย่างเดียว เพราะมันวัดอะไรกันไม่ได้ ดังนั้นถ้าน้องเป็นเด็กกิจกรรม ใส่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่จะสมัครมาด้วยเลือกเฉพาะอันที่เด่นๆ ไม่ใช่เป็นตัวแทนถือพานไหว้ครูก็ใส่มา อันนั้นมากเกินไป ตอนทำ senior project ทำเรื่องอะไร ถ้ามันเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ใส่รายละเอียดมาคร่าวๆ ความสามารถใช้โปรแกรมอะไร พูดภาษาอะไรได้เขียนมาให้หมด

8. สำหรับคนที่มีความสามารถทางด้านภาษา รบกวนใส่ผลการสอบที่เชื่อถือได้มาให้ด้วยนะคะ เช่น ภาษาอังกฤษ ก่อนจะสมัครงานไปสอบ TOEIC มาก็ยังดีราคาไม่แพง แถมวันเดียวผลก็ออก ถ้าได้ภาษาอื่นๆเช่นภาษาญี่ปุ่นช่วยไปสอบวัดระดับแล้วใส่กันมานิดนึง หรือใส่จำนวนชั่วโมงที่เรียนมา ไม่ใช่ประเมินตัวเองอย่างเดียวว่า good, fair อะไรแบบนี้นะคะ บอกตรงๆมันวัดกันไม่ได้จริงๆค่ะ

9. ก่อนจะสมัครตำแหน่งอะไรรบกวนอ่านคุณสมบัติของผู้สมัครหน่อยนะคะ ไม่ต้องละเอียดมากก็ได้เข้าใจว่าบางทีมันเยอะ แต่อย่างน้อยก็ช่วยอ่านนิดนึง เพราะบางทีชื่อตำแหน่งมันก็ไม่ได้บอกว่าคุณจะต้องมีคุณสมบัติยังไง เช่น ตำแหน่ง Customer service supervisor คนจบบริหารมาสมัครเต็มเลย แต่เข้าไปดูเนื้อหาตำแหน่ง เค้าจะเอาคนจบวิศวะ หรือวิทยา -"- อีกอย่างบางทีลงหัวข้อไว้ว่า (Japanese Speaking) ก็แสดงว่า เค้าจะเอาคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ จริงๆนะ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่งั้นเค้าคงไม่ใส่ไว้ในหัวข้อหรอก (ข้างในก็เขียนระบุไว้ชัดเจน ว่าต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ไม่ใช่ ถ้าพูดได้จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ) แต่ทุกวันนี้ได้รับใบสมัครจากคนที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเยอะมากๆ แล้วก็ต้องลบทิ้งไป เสียดายค่ะ เข้าใจว่าหลายๆท่านเสียความรู้สึกที่ไม่ได้รับการติดต่อกลับไป แต่ก็ต้องเข้าใจเรานิดนึงว่าเราต้องการคนที่มี คุณสมบัติตามที่เราระบุไว้จริงๆ

เนื่องจากวันนี้อ่านเรซูเม่จนตาลายและเหนื่อยมาก ประกอบกับไม่อยากจะตัดสิทธิผู้สมัครที่ตั้งใจหลายๆคนทำให้ต้องตั้งใจอ่านทุกฉบับ ข้อความวันนี้จึงเกิดมาจากการประมวลผลในหนึ่งวัน และออกมาจากความรู้สึกจริงๆค่ะ

ถ้าทำได้ตามที่บอกไว้ 9 ข้อ นอกจากจะร่นเวลาของ HR ทำให้คนอ่านไม่เหนื่อยแล้ว ใบสมัครของคุณจะยังดูโดดเด่นกว่าคนอื่นที่เอาแต่แปะ และส่งอย่างเดียว แล้วทำให้คนอ่านเค้าอยากจะให้งานคุณมากขึ้นด้วยนะคะ

Saturday, May 22, 2010

แจ้งข่าว: รวมพลังทุกเครือข่าย ช่วยกันทำความสะอาดและฟื้นฟูกรุงเทพฯ

เชิญอ่านรายละเอียดและ join group ใน Facebook ได้ที่นี่ค่ะ
http://www.facebook.com/group.php?gid=124151807604102&v=info

Photobucket

เมื่อเลิกม๊อบ เราก็หันมาจับไม้ม๊อบกันเถอะ อัยย่ะ!!!

Monday, May 17, 2010

กาลามสูตร ธรรมะเตือนสติคนไทย

(อ้างอิงจากท่านพุทธทาส http://www.buddhadasa.in.th/site/articles/politic/3.php)

ใน ธรรมะกับการเมือง พุทธทาสภิกขุ หยิบยก “กาลามสูตร” มาอธิบายเสริมประเด็นเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ โดยแยกแยะให้คำนิยามองค์ประกอบแต่ละข้อของหลักการตามกาลามสูตรทั้งสิบประการ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ดังนี้

หมวดที่หนึ่ง เป็นหมวดว่าด้วย “ความรู้ ความคิด ความเห็นเก่าๆ” หรือที่นำเสนอตามๆ กันมา ได้แก่
ข้อที่ 1 อย่าเชื่อเพราะฟังตามๆ กันมา
ข้อที่ 2 อย่าเชื่อเพราะปฏิบัติตามๆ กันมา
ข้อที่ 3 อย่าเชื่อเพราะกำลังเล่าลือกระฉ่อน
ข้อที่ 4 อย่าเชื่อเพราะการอ้างตำรา
หมวดที่สอง เป็นหมวดว่าด้วย “ความรู้สึกนึกคิด ปัจจุบันของตน” ได้แก่
ข้อที่ 5 อย่าเชื่อเพราะเหตุแห่งตรรก (วิธีของตรรกวิทยา)
ข้อที่ 6 อย่าเชื่อเพราะเหตุแห่งนัยะ (การอนุมานตามวิธีของปรัชญา)
ข้อที่ 7 อย่าเชื่อเพราะการตรึกตามอาการ (สามัญสำนึก หรือ common sense)
ข้อที่ 8 อย่าเชื่อเพราะเข้ากันได้กับทิฏฐิหรือความเห็นของเรา
ส่วนหมวดที่สาม เป็นหมวดว่าด้วย “บุคคลที่มาเกี่ยว ข้องด้วย” ได้แก่
ข้อที่ 9 อย่าเชื่อเพราะผู้พูดเป็นคนน่าเชื่อ
ข้อที่ 10 อย่าเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูของเรา

และที่ท่านพุทธทาสอ้างถึงกาลามสูตร 10 ข้อนี้ ท่านให้เหตุผลประกอบว่า
“เพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัยการเมือง....อย่าหลับหูหลับตาไป ตะครุบเอาลัทธิการเมืองนั่นนี่ แบบนั้น แบบนี้ มาอย่างน่าสังเวช ลองใช้กาลามสูตรดูบ้าง”

กาลามสูตรเป็นหลักวินิจฉัยเพื่อเตือนให้เห็นอาการของการเชื่ออย่างรวบรัด หรือสรุปโดยปราศจากวิจารญาณ ขาดการศึกษา ทำความเข้าใจ ทดลองให้ประจักษ์ และวินิจฉัยประโยชน์ด้วยตนเองให้ถ่องแท้เสียก่อน

*******************************************

มีสติกันเยอะๆนะคะคนไทย...

Wednesday, May 12, 2010

อะไรสำคัญกว่ากัน?

เนื่องจากได้เริ่มทำงานในบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำงานประจำครั้งแรกของโบว์ ตอนนี้ก็กำลังจะเข้าเดือนที่ 7 แล้ว
หน้าที่ที่ได้รับของบัณฑิตจบใหม่รัฐศาสตร์ทั่วไป ก็คือฝ่ายบุุคคล หรือเรียกให้หรูๆก็คือ HR นั่นเอง

ก่อนจะเข้ามาทำงาน..ขอสารภาพว่าไม่รู้เลยว่า HR เค้าทำอะไรกันบ้าง
รู้แต่ว่างาน recruit หรือสรรหาคนเข้ามาทำงานนี่เป็นงานหลักงานหนึ่งของ HR

แต่พอมาทำงานที่นี่ได้มาหลายเดือน...ก็เริ่มสงสัยว่า นี่มันเป็นงานเดียวของ HR หรือเปล่า -"-

เพราะว่าตอนนี้ทำอยู่อย่างเดียว เช้ามาก็เช็คเมลที่มีคนส่งมาสมัครงาน...นั่งเช็คไป ส่งไปให้บริษัทต่างๆในกรุ๊ปก็ปาไปเกือบครึ่งวันแล้ว
Photobucket

แล้วนายญี่ปุ่นเวลาเรียกทีไรก็ถามทุกครั้ง ว่า ทำไมคนสมัครน้อย ทำไมบริษัทนั้นหาคนไม่ไ้ด้สักที ทำไมช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนสมัคร ฯลฯ

เจออย่างนี้ทุกวันๆ จนเกิดความสงสัยว่า...
อะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่าง "การทำยอดให้มีคนมาสมัครเยอะๆ" กับ "การทำให้พนักงานเก่าไม่ลาออก"

ตอนนี้ทำไมเราต้องนั่งอ่านเรซูเม่ของคนเป็นร้อยเป็นพันคน อ่านๆ จนผู้คนที่ได้ปฏิสัมพันธ์ด้วยคือคนสองมิติเท่านั้น
ทำไมล่ะ...ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนที่เคยทำงานอยู่เก่าเค้าลาออกไป แล้วเลยต้องหาคนใหม่

สำหรับโบว์ งาน HR ที่สำคัญงานหนึ่งคือการสร้างความคิด และใจรักในองค์กรให้เกิดขึ้น รวมถึงการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง การทำให้บุคลากรของเราอยากอยู่กับเราไปนานๆ ไม่อยากลาออกมากกว่า การทำยอดให้มีคนสมัครเยอะๆ (หัวหน้าโบว์ตั้งยอดไว้ว่าโบว์ต้องทำให้มีคนมาสมัครงานให้มากกว่า 50 คนให้ได้)

แล้วทำยังไงล่ะให้มีคนมาสมัครเยอะๆ ก็เปิดตำแหน่งงานให้มันมากขึ้นให้หลากหลายสาขาเข้าไปคนก็มาสมัครเองแหละ

แล้วการทำยอดให้คนมาสมัครเยอะๆมันจะมีความหมายอะไร ถ้าเรามัวแต่คอยหาคนให้มาสมัครอย่างไม่มีสิ้นสุดจนไม่ได้สนใจว่าคนที่ทำงานอยู่กับเรานั้นเค้ามีความสุขกับการทำงาน แล้ววันหนึ่งเขาก็ลาออก

คิดว่าเสียเวลากว่าหรือเปล่าที่จะต้องเสียแรงงานคนนึงมานั่งอ่านเรซูเม่ทั้งวัน ต้องจัดสัมภาษณ์งานไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ พอมาเริ่มงานก็ต้องมาสอนงานกันใหม่แต่ต้น แล้วก็ลาออก แล้วก็ต้องมาเริ่มใหม่

ไม่เถียงว่างาน recruit นั้นเป็นงานสำคัญงานหนึ่งในองค์กร แต่โบว์ว่าหัวหน้าโบว์เมื่อเค้าหมกมุ่นกับการทำยอดให้มีผู้สมัครเยอะๆนั้น เค้าก็มองข้ามสิ่งที่สำคัญกว่าบางสิ่งไป...

แล้วคุณล่ะ..คิดว่ายังไงคะ?

Wednesday, April 21, 2010

คนไทย vs. คนญี่ปุ่น (ภาค 2)

ภาคต่อมาแล้วค่ะทุกท่านนนน
วันนี้คิดไม่ออก ขอแค่บทเดียวนะก๊ะ

ไม่ทราบว่าที่อื่นเป็นอย่างนี้หรือเปล่า แต่ที่เจอมามันเป็นยังงี้อ่ะค่ะ เหอๆ

Chapter 3: เมื่อส่งอีเมล
คนไทย - ส่งภาษาอังกฤษ ผิดๆถูก ตูส่งอักฤษไว้ก่อน เผื่อจะ CC หาหัวหน้าคนญี่ปุ่น พิมพ์ไทยไปเดี๋ยวไม่รู้เรื่อง

คนญี่ปุ่น - ไม่เก่งอังกฤษ ส่งภาษาญี่ปุ่นละกัน CC ลูกน้องคนไทยช่างมัน เดี๋ยวมันก็ตรัสรู้กันเองมันทำงานบริษัทญี่ปุ่นหนิ ลูกน้องตอบอังกฤษมา ตูก็จะตอบญี่ปุ่น..ทำไมอ่ะ ก็ไม่เก่งอังกฤษนี่หว่า

เฮ้อออออออออ ชีวิตสาวออฟฟิศ

อ่อ ไม่ได้เป็นกันทุกคนนะ เป็นแค่บางคน
แต่บางคนที่เหลือ บางทีก็มีหลุดเป็นอารมณ์นี้เหมือนกัน เหอๆ

Saturday, April 10, 2010

ผู้หญิงแล้วไง?

Photobucket

ช่วงนี้มีโอกาสได้ออกไปทำงานนอกสถานที่บ่อย
ที่บอกว่าออกไปข้างนอกเนี่ยไม่ได้แปลว่าออกไปทำกิจกรรมหรืออะไรอย่างนี้นะ
ออกไปยื่นเอกสาร -"-

ตอนนี้รับเละหน้าที่จัดทำและยื่นเอกสารสำหรับทำ Visa&Work Permit ให้คนญี่ปุ่นและครอบครัวที่บริษัท
ช่วงนี้มากันเยอะเหลือเกิน ออกไปยื่นรวมถึงพาเจ้าตัวไปทำเอกสารแทบจะทุกวัน T_T

วันก่อนก็ระหว่างกลับจากจามจุรีสแควร์ (ที่นั่นมี One Start One Stop Service ของ BOI ไปบ่อยมาก -"-)
วันนั้นรถที่บริษัทไม่ว่างก็เลยต้องนั่งแท็กซี่กลับมาออฟฟิศ ... รถติดมากๆ ตอนบ่ายๆ

ระหว่างที่นั่งแท็กซี่แล้วรถติดอยู่ในซอยหลังจากที่ติดอยู่บนถนนมานานกว่าสี่สิบนาที (จริงๆมันใกล้นิดเดียว อะไรจะรถติดขนาดนั้น)
ก็มีรถขนาดเจ็ดที่นั่งคันนึงจะกลับรถแต่กลับไม่ได้ ก็ติดแหง่กอยู่ ที่ขับแท็กซี่ที่เรานั่งมาเริ่มสบถ

"แม่งเอ๊ย ระยำ ทำไมไม่หลบๆไปวะ ^&*_)#&&(&#@$!!*@#!!@)"

ในใจคิด...เอ่อ ใจเย็นค่ะคุณขา ดิชั้นไม่ได้รีบขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป แท็กซี่เดี๋ยวนี้เริ่มไม่น่าไว้ใจ เหอๆ

สักพักลุงแกก็เปิดประตูรถด้วยท่าทางหาเรื่องเต็มที่ ในใจคิดซวยแล้วตู ต้องเกิดเรื่องชัวร์
ลุงแกเดินลงไปคุยกับรถเจ็ดที่นั่งคันนั้นให้หลบไปก่อนล่ะมั้ง สักพักก็เห็นรถคันนั้นหลบให้ ลุงแกเดินกลับมาที่รถด้วยท่าทางฉุนเฉียว

แล้วก็มาพูดกับเราว่า..

"แม่ง ว่าแล้ว ผู้หญิง"

เอ่อ....

ผู้หญิงแล้วทำไมเหรอคะ?

เคยได้ยินไหมว่าเวลานั่งรถแท็กซี่ หรือรถใครก็ตาม
เวลามีใครขับรถไม่ถูกใจอยู่ใกล้ๆ คนขับก็จะมองหน้าคนขับรถคันนั้น
แล้วก็หันกลับมาบ่นกับตัวเองว่า "...ผู้หญิง"

ทำไมเวลาผู้ชายขับรถห่วย ซึ่งก็เกิดขึ้นบ่อย ไม่เห็นมีใครหันไปมองหน้าแล้วบอกบ้างเลยล่ะว่า
"ว่าแล้ว...ขับรถแบบนี้ผู้ชายขับชัวร"

มีใครเคยทำวิจัยไว้เหรอว่าเป็นผู้หญิงต้องขับรถห่วย หรือว่าเป็นแค่ความเชื่อผิดๆ
เลยเหมือนกับว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของคนขับรถห่วยต้องเป็นผู้หญิง?

ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองขับรถดี เพราะปัจจุบันนี้ก็ยังขับไม่คล่อง
แต่กลัวค่ะว่าวันไหนขับรถไม่ถูกใจใครเข้า จะมีคนที่ขับรถข้างๆหันมามองหน้าเรา
แล้วก็บ่นกับตัวเองว่า "ว่าแล้วว่าต้องเป็นผู้หญิง"

Thursday, April 01, 2010

คนไทย vs. คนญี่ปุ่น (ภาค 1)

เนื่องจากมาทำงานกับคนญี่ปุ่นอยู่ในบริษัทญี่ปุ่นได้มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว...
เลยอยากเอาเรื่องที่พอจะสังเกตุได้มาเล่าให้ฟังกัน

ที่เขียนว่าภาค 1 เพราะว่าคิดว่าจะมีภาค 2 3 4 5 ตามมาเรื่อยๆ
เพราะเรื่องมันเยอะเหลือเกิน 5555+

Chapter 1: เวลาทำงาน

คนไทย - มาตรงเวลา เลิกตรงเวลา บางทีไปทำงานข้างนอกก็กลับบ้านก่อนเวลา ชิลล์ๆ ---> มีเวลาให้ครอบครัวและเพื่อนฝูง ---> ชีวิตแ็ฮ็ปปี้รีแลกซ์ ---> งานไม่เสร็จ ไม่รับผิดชอบงาน ---> โดนไล่ออก ---> อาชญากรรมเกิด ---> ปัญหาสังคม ---> ประเทศพัฒนาช้า

คนญี่ปุ่น - มาก่อนเวลา (ถ้าเป็นไปได้ก็มาตั้งแต่ตีห้า) เลิกงานห้าโมงครึ่งแ่ต่กลับสี่ทุ่ม ---> ทำแต่งานๆๆ ---> เสาร์อาทิตย์ตีกอล์ฟ ---> ลูกเมียนานๆเจอหน้าที ---> ครอบครัวมีปัญหามีเงินใช้ ---> เครียดมากอัตราฆ่าตัวตายสูง ---> แต่ประเทศชาติเจริญ

Chapter 2: Business Trip

คนไทย - ไปดูงานต่างประเทศ 5 วัน ---> เที่ยวสี่วันครึ่งดูงานครึ่งวัน ---> อย่างนี้เรียกคอรัปชั่นหรือเปล่า? ภาษีกรู!!!! (เจอกับตัว..เป็น อบต.สักอย่างบนเครื่องบิน แถมยังมีหน้าเอารูปมาอวด ว่าไปเที่ยวนู่นนี่..พอถามไปดูงานตอนไหน..ทำเงียบ)

คนญี่ปุ่น - ไปดูงานต่างประทศ 3 วัน ---> นอนบนเครื่องบินหนึ่งวัน ประชุมหนึ่งวัน นอนบนเครื่องบินกลับอีกหนึ่งวัน ---> ร่างกายทรุดโทรม ---> พนักงานที่ไปทำงานไร้ซึ่งความสุข

ทำไมช่างแตกต่าง....แล้วจะเลือกเป็นแบบคนชาติไหนดีเนี่ย?

Sunday, March 21, 2010

When will the fracture in my country be ended?

What are we waiting for?
A superhero is only existed in fiction ...
he is not gonna come as safe us, if we just don't stop!

Photobucket

Photobucket
(รูปถ่ายเองจากสีลมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา)

Sunday, March 07, 2010

ความรู้เกี่ยวกับเทศกาลวันเด็กผู้หญิง (Hina Matsuri)

วันที่ 3 มีนาคมของทุกปีถือเป็นวันเด็กผู้หญิงในประเทศญี่ปุ่น เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื้ออวยพรให้เด็กผู้หญิงเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิต ต้นกำเนิดของเทศกาลนี้ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนเมื่อประมาณ 1,000 กว่าปีที่แล้ว ในสมัยโบราณชาวจีนเชื่อว่าจะขจัดเคราะห์ร้ายให้ไปกับตุ๊กตา ด้วยการนำตุ๊กตาเหล่านี้ไปลอยในแม่น้ำ แต่ในประเทศญี่ปุ่น เด็กผู้หญิงชอบเล่นตุ๊กตาที่ทำมาจากกระดาษ เทศกาลนี้จึงเป็นการผสมผสานกันของประเพณีการละเล่นของเด็กผู้หญิง

เมื่อประมาณ 600 กว่าปีที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดให้จัดเทศกาลนี้ในวันที่ 3 ของเดือนมีนาคม และเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว เจ้านายในราชสำนักได้นำตุ๊กตาที่มีความหรูหรามาใช้แทนที่ตุ๊กตากระดาษ และจัดวางตุ๊กตาอย่างสวยงามเพื่อตั้งแสดงและจัดการเฉลิมฉลองในเขตพระราชวัง เทศกาลนี้ได้เริ่มแพร่หลายไปในหมู่พ่อค้าที่ร่ำรวยและขยายไปสู่ประชาชนธรรมดา และได้จัดเป็นเทศกาลประจำปีมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้น

เดือนมีนาคมในประเทศญี่ปุ่นเป็นฤดูที่ดอกท้อกำลังบาน ต้นท้อถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ซึางจะขับไล่ความชั่วร้าย และเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งชีวิต ความเป็นอมตะและสันติสุข

หลายครอบครัวจึงได้จัดวางตุ๊กตาชุดตุ๊กตา ประกอบด้วยตุ๊กตาจักรพรรดิ จักรพรรดินี ข้าหลวง และนักดนตรี ตกแต่งด้วยเครื่องแต่งกายแบบชาววังโบราณ ประดับด้วยต้นท้อที่กำลังจะบาน

Photobucket

(ขอขอบพระคุณข้อมูลจากสูจิบัตรงานเทศกาลเด็กผู้หญิงที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำเป็นเทศไทย)

จบเรื่องมีสาระกันได้แล้ว ขอเข้าเรื่องส่วนตัว 5555+

เมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมาได้ไปร่วมงานเทศกาลเด็กผู้หญิงที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำเป็นเทศไทยมา
เนื่องจากพี่ใหม่ได้รับเชิญ เลยติดสอยห้อยตามไปด้วย

เข้าไปในงานมีการจัดตกแต่งตามเทศกาล
Photobucket

มีความมาร่วมงานเยอะมากกกกกกกกกกก บ้านแคบไปเลยทีเดียว
Photobucket

ท่านทูตให้เกียรติกล่าวเปิดงาน
Photobucket

ภายในงานมีการแสดงโคโตะ
Photobucket

และการแสดงเต้นโยซาโคอิ โซรัง
Photobucket

แต่ไฮไลท์ของงานนี้คือของกินนนนน
เนื่องจากท่านทูตบอกว่าท่านเป็นชาวจังหวัดกิฟุ ซึ่งมีชื่อเสียงในอาหารสองอย่าง
คือ สตรอเบอรี่ และเนื้อชั้นดีที่มาจากเมืองฮิดะ เรียกกันว่า "ฮิดะกิว"
เนื้อฮิดะที่ว่านี้ได้รับรางวัลเนื้อชั้นดีที่สุดในญี่ปุ่นมาถึงสองปีซ้อน
(ไม่อยากจะบอกว่ามางานนี้ก็ตัง้ใจมากินเนื้อนี่แหละ เหอๆๆๆ)

สตรอเบอรี่ลูกใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ตอนอยู่ญี่ปุ่นไม่เคยกินเลยนะลูกใหญ่ขนาดนี้...เพราะว่ามันแพง T_T
Photobucket

แล้วก็มาถึงไฮไลท์ของงานนี้...
Photobucket

แต่ว่าได้กิน...คนละแค่นี้ค่ะ T_T
Photobucket

อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก