Monday, January 21, 2013

โลกเสมือน

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาโบว์พยายามลดการใช้อินเตอร์เน็ทให้น้อยลงค่ะ

เนื่องจากระยะหลังๆมานี้รู้สึกว่าตัวเองกำลังมีปัญหาในชีวิตเล็กน้อย จนมานั่งคิดทบทวนดูว่าสิ่งที่เรากังวล หรือสิ่งที่เรากำลังคิดว่ามีปัญหาอยู่นี้มันคืออะไร จนวันหนึ่งก็รู้สึกขึ้นมาว่าหรือว่าเราจะใช้เวลาของเราหมดไปกับการใช้ชีวิตอยู่บนโลกเสมือนมากจนเกินไป รับข่าวสารที่บางทีเราก็ไม่ค่อยอยากจะรู้มากเกินไป จนทำให้เราลืมการใช้ชีวิตที่มีความสุขของเราบนโลกแห่งความเป็นจริงไปหรือเปล่า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมในโลกดิจิตอลปัจจุบันนี้มีผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิต การพบปะผู้คน การรับรู้ข่าวสารต่างๆเยอะมากๆ ตัวโบว์เองเรียกได้ว่าถึงขั้นเสพย์ติดเลยทีเดียว เคยนั่งสังเกตพฤติกรรมตัวเองว่าในหนึ่งวันเราใช้เวลาไปบนโลกดิจิตอลไปกับกิจกรรมไม่กี่อย่างแต่ใช้เวลาไปกับมันเกินกว่าครึ่งหนึ่งของวัน นอกจากการทำงานที่จะต้องเข้าไปเช็คเพจของบริษัทอยู่บ้างแล้ว ส่วนตัวก็ต้องเช็ค new feed ใน facebook ทุกๆสองนาที เข้าไปอัพเดทข่าวสารว่าอะไรกำลังอิน กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้ตลอดเวลา โบว์รู้สึกใกล้ชิดเพื่อนๆมากขึ้น ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันแต่เหมือนกับว่าเราได้รับรู้เรื่องราวของเขาตลอดเวลา ได้เห็นพัฒนาการ ได้เห็นความสำเร็จ ได้เห็นความผิดหวังเสียใจ ได้เห็นปัญหาของพวกเขา

จนบางครั้งโบว์ลืมไปเลยว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้เจอหน้าพูดจาเป็นส่วนตัวกับคนเหล่านั้นมานานมากแล้ว

เราใช้เวลาอยู่บนโลกดิจิตอลมากขึ้น เรามีเครื่องมือที่ทำให้เรารู้สึกสะดวกสบายขึ้นในการนัดเจอกันในแต่ละครั้ง ไม่ต้องเสียเวลาโทรไปจิกทีละคน แค่ส่ง invitation รวดเดียวรู้ข่าวสารกันหมดร้อยคน แต่ความรู้สึกที่เราควรจะเจอกันแบบส่วนตัวมันกลับน้อยลงไปทุกที

ในโลกเสมือน เราต่างสร้างโลกขึ้นมาอีกหนึ่งใบ ในโลกใบนั้นเรามีเพื่อนมากมาย เราเป็นได้ทุกอย่างที่เราอยากจะเป็น เราอยากให้เพื่อนๆในโลกของเรามองคนเป็นแบบไหนเราก็สามารถสร้างขึ้นมาได้

ในโลกเสมือนเราสามารถเป็นเพื่อนกับใครก็ได้เพียงแค่ส่ง friend request แต่ในทางกลับกันหากเราต้องการตัดสัมพันธ์กับใครเราก็เพียงแค่ unfriend กับเขาเท่านั้น โดยทั้งๆที่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนมันสามารถเริ่มต้นขึ้น และตัดกันขาดง่ายๆเพียงแค่คลิกเดียวจริงๆหรือ และเมื่อคนสองคนที่ unfriend กันไปแล้วมาเจอหน้ากันในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งเราจะสามารถทำตัวดั่งเช่นคนไม่รู้จักกันได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ

ตัวเราเองก็เช่นกัน เมื่อเราแสดงออกในโลกเสมือนมากขึ้นเท่าไหร่ ความสับสนในความเป็นตัวเราเองของเราก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ภาพที่เราสื่อออกไปทำให้คนอื่นมองเราเป็นแบบนั้น แต่เราเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่าจริงๆแล้วเราเป็นคนแบบไหนกันแน่ เราแยกตัวตนของเราจริงๆกับตัวตนที่เราสร้างขึ้นในโลกเสมือนได้หรือเปล่า

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาโบว์พยายามลดการใช้อินเตอร์เน็ทให้น้อยลงค่ะ

ต้องยอมรับว่าโลกเสมือนนั้นทำให้เราติดต่อกันสะดวกสบาย และรวดเร็วขึ้นจริงๆ แต่ในบางทีมนุษย์เราก็อาจจะอยากหาพื้นที่ในโลกแห่งความจริงเพื่อที่จะได้ขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนอื่นดูบ้าง เอาเท้าเปล่าสัมผัสพื้นหญ้าบ้าง สูดหายใจลึกๆให้เต็มปอดบ้าง ใช้เวลาในการอ่านหนังสือหรือทำงานอดิเรกที่เราชอบอย่างอื่นบ้าง เจอเพื่อนๆเพื่อนเจอหน้า และสังเกตสีหน้า อารมณ์ของเขาเวลาพูดคุยกันบ้าง

สองสามวันที่ผ่านมาโบว์จดจ้องกับโทรศัพท์มือถือน้อยลง อ่านหนังสือจบไปสองเล่ม ได้แง่คิดดีๆให้กับชีวิตเพิ่มขึ้นไม่แน่ใจว่ากี่ข้อ ออกไปนอกบ้านพบเจอเพื่อนเก่าหลายคน ถักนิตติ้งเสร็จไปหนึ่งงาน และได้ใช้เวลาเพื่อทำความรู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นในอีกระดับหนึ่งค่ะ :)

Wednesday, January 16, 2013

ชิ้นส่วนที่หายไป

เปลโต ปราชญ์ชาวกรีกได้เคยกล่าว เอาไว้ว่ามนุษย์เราทุกคนนั้นจริงๆแล้วเกิดมาเป็นร่างผสม คือ มีสี่แขน สี่ขา หนึ่งหัวแต่มีสองหน้าที่หันไปมองฝั่งตรงข้ามกัน เมื่อมีลักษณะแบบนี้มนุษย์ร่างผสมนี้ก็มีความแข็งข้อกับเทพเจ้าเนื่องจากสามารถทำอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ วันหนึ่ง Zeus จึงได้ลงโทษโดยการผ่าเจ้ามนุษย์ร่างผสมนี้ออกครึ่งหนึ่งทำให้มีสองแขน สองขา และหนึ่งหน้า และจึงไม่แปลกที่เราจึงมีความรู้สึกที่จะต้องตามหาอีกครึ่งหนึ่งที่ขาดหายไปเพื่อจะเป็นตัวตนของเราที่สมบูรณ์

ถ้าเชื่อตามที่เปลโตเคยกล่าวไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้นจึงไม่แปลกเลยที่มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาเพื่อตามหาความรักและตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ขาดหายไป แต่สิ่งหนึ่งที่เปลโตไม่เคยกล่าวไว้เลยก็คือถ้าหากเราตามหาอีกครึ่งหนึ่งของเราไม่เจอเราตะยังคงเป็นตัวตนของเราอยู่หรือเปล่า

ในการเดินทางตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตมีหลายครั้งที่อีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นครึ่งที่ไม่สามารถประกอบกันเป็นตัวตนของเราอย่างสมบูรณ์ได้ หลายๆครั้งเราพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเราให้เข้ากับอีกครึ่งหนึ่งที่เราเจอด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมที่ว่าเราจะสามารถเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ แต่การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเราเองเพื่อหาความสมบูรณ์แบบนั้นมักแลกมาด้วยความเจ็บปวด บางทีถึงแม้จะพยายามเปลี่ยนแปลงรูปร่างมากเพียงใดสุดท้ายแล้วเมื่อชิ้นส่วนทั้งสองไม่สามารถประกอบกันได้ก็คงต้องตามหาชิ้นส่วนที่เข้ากันใดพอดีต่อไป ทิ้งไว้เพียงบาดแผลและการเปลี่ยนแปลงในจิตใจที่ทำให้รูปร่างของเราสมบูรณ์ขึ้นได้ด้วยตัวเองทีละน้อยทีละน้อย

เคยสงสัยกันไหมคะว่าการตามหาชิ้นส่วนที่หายไปของแต่ละคนในปัจจุบันมันดูยากขึ้นและซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ในอดีตรุ่นพ่อแม่ของเรา ในยุคที่การสื่อสารยังไม่รวดเร็วขนาดนี้การตามหาชิ้นส่วนที่หายไปทำไมมันช่างดูรวดเร็วผิดจากสมัยนี้จัง เคยสังเกตไหมว่าทำไมตอนนี้ทำไมกว่าจะได้เจอชิ้นส่วนแต่ละชิ้น (ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ประกอบกันได้สมบูรณ์หรือเปล่าเลยนะ) ทำไมมันดูยากจังทั้งๆที่เราดูเหมือนจะเจอคนหลากหลายขึ้นและเยอะกว่าสมัยก่อนด้วยซ้ำ

หรือเมื่อเราเจอคนมากขึ้น ทำให้เราเจอชิ้นส่วนที่ผิดมากขึ้น ยิ่งเจอชิ้นส่วนที่ประกอบกันไม่ติดมากขึ้นเท่าไหร่ เราเองกลับเปลี่ยนสภาพจากร่างดิมที่เราเคยเป็นในอดีต เป็นตัวตนใหม่ที่สมบูรณ์ได้ด้วยตัวเอง

หลายคนตามหาส่วนที่หายไปพบแล้ว หลายคนยังคงเดินทางค้นหาชิ้นส่วนที่หายไปโดยความหวังเต็มเปี่ยมที่ว่าจะหาอีกครึ่งหนึ่งที่ Zeus ได้พรากจากเราไปเมื่อในสมัยโบราณกาล ในขณะที่ยังมีอีกหลายคนที่เมื่อเวลาผ่านไปกลับสามารถเติบโตและเติมเต็มเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องตามหาอีกครึ่งหนึ่งอีกต่อไป

สุดท้ายแล้วความสมบูรณ์ที่เราตามหาอยู่นั้นมันก็คือรูปแบบที่เราพอใจเสียมากกว่าที่จะเป็นไปตามรูปแบบที่เปลโตได้กล่าวเอาไว้หรือเปล่านะ

ยินดีกับทุกคนที่ตามหาความสมบูรณ์เจอแล้ว และเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเดินทางตามหาความสมบูรณ์นั้นอยู่ เรารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยในการตามหาความสมบูรณ์นั้นเพราะเราเองก็ยังหาไม่เจอเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเราเชื่อว่าทุกคนจะได้เจอความสมบูรณ์นั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งค่ะ ขอให้โชคดีทุกคนค่ะ :)