Thursday, March 24, 2011

Hands for Japan รวมน้ำใจนักเรียนไทย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวญี่ปุ่น



ทางสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมนักเรียนไทยในประเทศญี่ปุ่นในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)ชุมนุมนักเรียนทุนรัฐบาลญีปุ่น และกรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม “Hands for Japan รวมน้ำใจนักเรียนไทย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวญี่ปุ่น” ในวันที่ 26 มีนาคม 2554 ตั้งแต่เวลา 13:00- 19:00 น. ณ ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

http://www.facebook.com/event.php?eid=206808742663419

Tuesday, March 15, 2011

การบริจาคสมทบทุนโครงการ “นักเรียนเก่าญี่ปุ่นช่วยผู้ประสบภัยสึนามิ”

14 มีนาคม 2554

เรื่อง การบริจาคสมทบทุนโครงการ “นักเรียนเก่าญี่ปุ่นช่วยผู้ประสบภัยสึนามิ”

เรียน สมาชิกสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นในพระบรมราชูปถัมภ์ และท่านผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน

เนื่องจากโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหว ที่ประเทศญี่ปุ่น ความรุนแรง 9.0 ริกเตอร์ ซึ่งเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุด และได้ก่อให้เกิดสึนามิ นำความเสียหายต่อเพื่อนชาวญี่ปุ่น ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันออกของประเทศ จนถึงกรุงโตเกียว ทำให้มีผู้เสียชีวิต ผู้สูญหาย และ บ้านเรือนของประชาชนเสียหายอย่างหนัก โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำนวนหนึ่งเกิดการระเบิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์ครั้ง รุนแรงมากที่สุดในรอบหลายร้อยปีของประเทศญี่ปุ่น สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ และพวกเราสมาชิก ส.น.ญ. ร่วมกับสมาคม และองค์กรอื่น ได้ตกลงที่จะประสานความร่วมมือ ระดมความช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อส่งไปยังผู้ประสบภัยในญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด จึงขอเชิญชวนศิษย์เก่า สมาชิก ส.น.ญ.ทุกท่านที่ประสงค์จะบริจาคเงิน เพื่อร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวญี่ปุ่นในครั้งนี้ โดยสามารถบริจาคเงิน ได้ที่:

บัญชีอออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาพหลโยธิน บัญชีเลขที่ 014-269-4579
ชื่อบัญชี “นักเรียนเก่าญี่ปุ่นช่วยผู้ประสบภัยสึนามิ”

และแฟ็กซ์ใบ PAY-IN มาที่แฟกซ์ 02-357-1246 (หรืออีเมล์ helpcenter@ojsat.or.th พร้อม SCAN ใบ PAY-IN ) พร้อมเขียนชื่อนามสกุล ที่อยู่ และเบอร์โทร.ที่ติดต่อได้ เพื่อทางสมาคมฯจะจัดทำบัญชีรายนามผู้บริจาคต่อไป สอบถามเพิ่มเติม โทร 02-357-1241/-5

สมาคมฯ ขอขอบพระคุณศิษย์เก่า สมาชิกสนญ.ทุกท่าน แทนชาวญี่ปุ่น มา ณ ที่นี้ด้วย

ขอแสดงความนับถือ
นายเลิศ มหาสุวีระชัย
นายกสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์

**************************************

ที่มา http://helpcenter.ojsat.or.th/

Saturday, March 12, 2011

ประสบการณ์ตรงจากพี่ชายคนหนึ่งเมื่อประสบเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น

นำมาจากบล็อคของพี่ชายคนหนึ่งที่ทำงานที่ญี่ปุ่นค่ะ อยากให้ทุกคนได้อ่านกัน
ขอให้เพื่อนๆทุกคนปลอดภัยนะคะ เป็นห่วงทุกคนมากค่ะ

**********************************



วันศุกร์ที่ 11 มี.ค. 2554 เป็นวันหนึ่งที่ผมจะจดจำไปตลอดชีวิต เพราะเป็นวันที่ญี่ปุ่นประสบหายนะแผ่นดินไหวที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติ ศาสตร์ โดยศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเซ็นได จังหวัดมิยากิ (หนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวไทยชอบไปเที่ยว) อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งวัดความสั่นสะเทือนได้ถึง 8.9 ริกเตอร์ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คนญี่ปุ่นยังไม่เคยพบเจอมาก่อน

เหตุการณ์ ได้เกิดขึ้นเมื่อเวลาบ่าย 2.48 นาที ผมกำลังนั่งทำงานอยู่ จู่ๆเหมือนกับรู้สึกว่าที่ทำงานได้เคลื่อนไหว ผมได้จ้องมองนาฬิกา พบว่านาฬิกาได้แกว่งไปแกว่งมา โดยปกติแล้วเมื่ออยู่นานๆที่นี่จะเริ่มชินกับแผ่นดินไหวจะไม่ลุกไปไหน จนกระทั่งมันริ่มแรงขึ้น ผมกับเจ้าหน้าที่ หัวหน้าจึงได้ออกมาออกมาจากสำนักงาน ทันไดนั้นแผ่นดินไหวก็เริ่มแรงขึ้น จนทำให้ตึกที่ทำงานโยกไปโยกมา ม่านกันแดดแกว่งไกวซึ่งตึกที่ผมทำงานนั้นเป็นตึกที่สร้างอย่างแข็งแรง ยังไหวอย่าง่ายดาย

ผมได้ไปที่ต้นไม้ใหญ่เห็นผู้หญิงญีปุ่นได้นั่งลงเกาะต้นไม้แต่ไม่สามารถทน ความแรงของแผ่นไหวได้ เลยมาขอจับแขนผมไว้ ด้านหลังผมก็เป็นสถานีรถไฟ JR ซึ่งเป็นรถไฟสายวิ่งรอบเมืองที่สำคัญของโตเกียว ได้สั่นเหมือนจะพังลงมา รถไฟได้จอดไม่ขยับ ผู้โดยสารได้ติดอยู่บนรถไฟไม่สามารถออกมาได้จนกว่าจะสำรวจว่าปลอดภัยแล้ว ผมจึงได้รีบไปเก็บของที่สำนักงาน แต่ปรากฎว่าได้เกิด After Shock เกิดขึ้นหลายครั้ง ผมจึงได้นำเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเดินไปที่สวนสาธารณะฮิบิย่า เพราะที่นั่นเป็นสวนสาธารณะใหญ่ที่กว้าง ปลอดภัยจากตึกหรือกระจกที่จะแตกลงมา (รูปด้านบน) ในขณะที่เดินไปได้สังเกตุว่าถนนมีรอยแตกอยู่มากมาย ซึ่งยิ่งทำให้ตกใจมากขึ้น ร้านค้าแถวที่ทำงานได้มีคนญี่ปุ่นแห่เข้าไปซื้อน้ำของกันจนหมดเกลี้ยง ร้านแม็คก็ไม่มีขายแฮมเบอร์เกอร์ (ขายเฉพาะน้ำ) โทรศัพท์ได้ถูกตัดขาดไม่สามารถติดต่อใครได้ ผมได้นึกถึงหนังเรื่อง 2010 และ Nihon Shinbotsu (ญี่ปุ่นจมหาย) ไม่นึกว่าผมจะได้มีประสบการณ์แบบนี้

ผู้คนไม่สามารถใช้รถได้ จึงเปลี่ยนเดินทางโดยเท้ากลับบ้าน บางคนซื้อจักรยาน เพื่อขี่กลับบ้าน รถบัสและรถส่วนตัวเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ช่วงเวลาดังกล่าวนั้น เส้นทางต่างๆได้ถูกปิดกั้น ทางขาด น้ำท่วม จึงทำให้รถติดมาก ผมจึงได้รับอาสาส่งพนักงานไปที่บ้าน จนถึงตอนกลุ่มสุดท้าย แต่เนื่องจากรถไฟยังไม่เปิดให้บริการ เพื่อนๆกลุ่มที่เหลือจึงไปพักบ้านหัวหน้า กว่าจะถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน คนญี่ปุ่นบางคนกลับบ้านไม่ได้ต้องหาที่นอนตามที่ต่างๆ ที่เขตโตเกียวจัดให้ โรงแรมแถบนั้นได้ถูกจองเต็มเรียบร้อยแล้ว มือถือก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ พยายมกดไปแจ้งที่บ้านได้ก็ประมาณตี 1ครับ (บ้านหัวหน้าห่างจากที่ทำงาน 4 กิโล ใช้เวลาขับรถ 1.30 ชั่วโมง) ผมได้มองไปข้างนอก เห็นรถติดกันเป้นแถวยาวแม้จะเป้นตี 1 ก็เหมือนกับช่วงเลิกงาน แผ่นดินไหวจะคงสั่นไปเรื่อยๆ ยิ่งตอนตี 4 รับรู้ได้มากในโตเกียว แต่ที่ผมสงสารมากก็คือ เมืองเซ็นได จังหวัดมิยากิ ถึงแม้รัฐบาลจะทำการแจ้งซึนามิล่วงหน้าก็จริง แต่คลื่นที่สูงที่ 10 เมตร ได้ทำลายกวาดบ้านเรือนแถวนั้น และได้พบศพลอยเกลื่อนกลาด 200 - 300 คน เกือบทั้งหมู่บ้าน บ้านเรือนกว่า 4,500,000 หลัง ไม่มีไฟใช้ ซึ่งตอนเหนือยังคนมีหิมะตกหนักอยู่ ตอนนี้ (15.10 น. เวลาญี่ปุ่น วันที่ 12 มี.ค. 54) ได้พบศพไปกว่า 600 รายแล้ว ซึ่งคิดว่าจะเป็นพันในไม่ช้า (ยังไม่รวมกับผู้บาดเจ็บ)

ถึงแม้เข้าตอนเช้าแล้วก็ยังมีแผ่นดินไหวเป็น ระยะระยะ รถไฟบนดินกว่าจะให้บริการได้ก็ช่วงเที่ยง จากการฟังวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น พบว่าต่อไปภายใน 1 เดือนนี้จะมีแผ่นดินไหว มากกว่า7 ริกเตอร์อีกครั้ง และอาจจะมีเป็นระลอกเล็กๆ เพื่อนที่จะเดินทางญี่ปุ่นในช่วงเดือนเม.ย. ขอให้ระมัดระวังตัว อย่าตื่นตกใจ (แม้แต่ผมพิมพ์ตอนนี้แถวบ้านก็ยังแผ่นดินไหวอยู่) และผมหวังว่าเมืองไทยจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้ครับ

Wednesday, March 02, 2011

บรรยากาศพาไป

(กะว่าจะเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ประเทศไทยมีลมหนาวพัดผ่านเข้ามา จนตอนนี้จะเข้าหน้าร้อนอยู่แล้วถึงได้มาเขียน...="=)

เคยรู้สึกไหมคะว่าทำไมหน้าหนาว เราถึงรู้สึกเหงาเป็นพิเศษ?
เคยสังเกต status facebook ของเพื่อนๆกันไหมคะว่าพอวันไหนหนาว...เป็นโรคขี้เหงากันทุกคน
เคยรู้สึกไหมว่าทำไมพอหน้าหนาวทีไรพอเพลง "ลมหนาวมาเมื่อไร ใจฉันคงยิ่งเหงา คืนวันที่มันเหน็บหนาวไม่รู้จะทนได้นานเท่าไร" มันรู้สึกเจ็บจี๊ดๆไปถึงหัวใจ (เพลงนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี พอหน้าหนาวที่แสนสั้นพัดเข้ามาที่ประเทศไทยทีไร จะต้องแข่งกันเปิดให้มันทุกคลื่น)

แต่โบว์กลับรู้สึกว่า...ฤดูอื่นไม่เหงากันเหรอคะ???

สังเกตมาหลายประเทศละ (อย่างน้อยก็สองประเทศละกัน) ทำไมเวลาหน้าหนาว เพลงเหงาเศร้าสร้อยมันออกมากันเยอะจังเลย (เช่น..เป็นโสดหน้าหนาววว ทำไมมันหนาวเป็นสองเป็นสามเท่าของคนอื่น ถ้าเป็นญี่ปุ่นก็จะออกแนวว่าเพราะฉันมีเธออยู่ฉันเลยไม่หนาวแล้วในหน้าหนาวแบบนี้ กระชากอารมณ์คนโสดยิ่งนัก) เพลงแบบชวนไปกันสนุกสนานเฮฮาหน้าหนาว เล่นสกีปาหิมะอะไรแบบนี้ทำไมไม่ค่อยมีเท่าไหร่เลยคะ (สังเกตเพลงสนุกสนานจะออกมาประมาณหน้าร้อน แบบสนุกสนานเฮฮาเราไปทะเลกันนนน)

อยากจะรู้เหลือเกินว่าใครหนอเป็นคนกำหนดวาทกรรมว่าหน้าหนาว มันจะต้องเหงา หรือพอหนาวไม่มีคนเดินด้วยแล้วมันหนาวเป็นพิเศษ?? หรือว่าเพราะคำว่า "หนาว" มันพ้องกับคำว่า "เหงา" เวลาแต่งเพลงมันเลยคล้องจองกันดี??

เวลาหน้าฝน ฝนตกทีไรต้องมีคนบอกว่าบรรยากาศมันพาไปให้เศร้า ถ้าฝนตกเมื่อใดทุกคนเศร้าก็น่าสงสารสายฝนเหลือเกินที่มักถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์แทนอุปสรรคต่างๆ (อดทนเวลาที่ฝนพรำ..อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่างงง) ทั้งๆที่เมื่อใดที่ฝนตกสายน้ำก็มักจะนำความเย็น ละอองฝนที่กระเซ็นมากสร้างความชุ่มฉ่ำให้เรา (ถ้าน้ำไม่ท่วมเสียก่อนนะ..อันนั้นยกเว้น)

สำหรับโบว์ (ซึ่งเป็นคนขี้เหงา) จะฤดูไหนเวลาใด อากาศจะร้อนจะหนาวฝนจะตก ยังไง๊ยังไงก็เหงา
ถามจริงๆว่าจริงๆแล้วทุกคนเหงากันเฉพาะหน้าหนาวหรือเปล่าคะ?

เชื่อว่าทุกคนคงไม่ได้เหงากันแค่หน้าหนาวหรอกค่ะ แต่บางทีคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าบรรยากาศมันช่างพาไปเหลือเกิน จริงๆแล้วอากาศก็เย็นสบายดี ใครหนอมาช่างเปรียบลมหนาวที่เย็นสบายกับความเหงา เปิดเพลงเศร้าเคล้าไปด้วย หลายๆครั้งมันคงอดไม่ได้ที่จะแอบอินไปด้วยใช่ไหมล่ะคะ

ใครที่เหงาอยู่ถ้าเกิดบรรยากาศมันเกิดพาไปขึ้นมา ก็ลองหาบรรยากาศใหม่ๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ความเหงาก็คงจะผ่อนคลายไปได้บ้าง อย่าให้บรยากาศเดิมๆมากำหนดความรู้สึกของเรากันเลยค่ะ ยังมีอะไรอื่นๆอีกตั้งมากมายที่ช่วยสร้างบรรยากาศดีๆให้เรานะคะ :)