Thursday, December 26, 2013

[เก็บประสบการณ์] การแข่งขันแฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่น

เป็นคนดูมาอยู่นาน เพื่อนๆหลายคนก็เป็นแฟนพันธุ์แท้กันไปในหลายๆเรื่องแล้ว พอทางรายการประกาศรับสมัคร "แฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่น" เพื่อนๆ น้องๆ ในทวิตเตอร์ก็ชักชวนให้ไปสมัครหลายคน ก็เลยว่า .. เอาวะ ลองดูสักตั้ง ก็เลยสมัครไปค่ะ

สมัครไปตั้งแต่เดือนสิงหาคม จนลืมมมมมมมมมมมมม ไปแล้วว่ามันยังมีการแข่งขันตอนนี้อยู่ จนทีมงานโทรติดต่อกลับมา 55555

หลายคนสงสัยว่าการคัดเลือกทำยังไง สรุปให้ฟังเลยแล้วกัน เวลามีเพื่อนถามจะได้โยนบล็อคให้อ่านไปเลย 5555

การคัดเลือกนั้นหลักๆจะมาจากสามอย่างค่ะ คือ  (๑) การสัมภาษณ์กับทีมงาน โดยทีมงานจะโทรมานัด (๒) ในการสัมภาษณ์นั้นเราจะต้องเตรียมเนื้อหามาให้ทีมงานเป็นข้อๆ เช่น โบว์ไปสมัครแฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่น ทางทีมงานก็จะขอให้เราลิสต์เรื่องที่เรารู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นมาเป็นข้อๆ กี่ข้อก็ได้ ตอนแรกทีมงานบอกสัก 50 ข้อก็ได้ค่ะ ... ดิชั้นใช้เวลาหนึ่งวันเต็มลิสต์ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าน่าสนใจออกมาได้ทั้งสิ้น 37 ข้อเท่านั้นค่ะ!! (๓) ส่วนอย่างสุดท้ายนั้นคือทางทีมงานจะให้การบ้านกลับไปทำที่บ้านอีก เช่น จงบอกสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญพร้อมคำอธิบายมาอย่างน้อย 20 ข้อ อะไรประมาณนี้

ซึ่งพอดูจากชื่อการแข่งขันแล้วคงจะงงงงวยกันได้ว่า แฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่น นี่มันกว้างงงงงงครอบจักรวาลมาก เธอจะเอาตรงจุดไหนมาออกจ๊ะะะะ ทางทีมงานก็จะไกด์ๆมาหน่อยว่าเอาเป็นเรื่องที่ชาวบ้านชาวช่องที่ดูทีวีอยากรู้จะได้ไม่น่าเบื่อ ... อ่าว แย่และ ดิชั้นก็จัดเต็มทั้งระบบการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ภูมิศาาตร์ไปเต็มเปี่ยมเลย ใช้ไม่ได้สินะ 55555

หลังจากไปสัมภาษณ์พร้อมส่งการบ้านทุกสิ่งทุกอย่างกับทีมงานไปเสร็จแล้ว เราก็นั่งรอไปค่ะ

ซึ่งขอบอกว่าจากวันที่โทรมานัดสัมภาษณ์ จนถึงวันแข่งจริงใช้เวลา 2  สัปดาห์เท่านั้น แถมวันที่ประกาศผลว่าเราได้รับเลือกเป็น 1 ใน 5 ที่จะได้ไปแข่งขันในรายการนั้นมันคือก่อนวันแข่งเพียงแค่สองวันเท่านั้นจ้าาาาา

โอ้โห... เวลาเตรียมตัวบานเลย -____-

พอทางทีมงานโทรมาแจ้งแล้วเค้าก็จะนัดให้เราไปคุยกันอีก 1 ครั้งเพื่อแจ้งกติกาแล้วก็ซักซ้อมเล็กน้อย พร้อมกับนัดแนะว่าจะให้แต่งตัวอย่างไร หลังจากนั้นก็เตรียมตัวลุยเลยจ้าาา ... เตรียมตัวคืออะไร อ่านเพิ่มคืออะไร ไม่รู้จักกกกกกก สิ่งที่เอาไปแข่งนี่จากหัวล้วนๆเลยทีเดียวเชียว

ตัดภาพมาวันแข่งขัน..........

คือ วันนี้นี่เอง ตอนแรกก็คุยกันไว้กับทีมงานซะดิบดีว่าจะแต่งตัวญี่ปุ่นๆกันนะ ดิชั้นก็จัดเต็ม ชุดรับปริญญากันไปเลยจ้าาาาา คือกะว่าความรู้มีไม่เต็ม แต่แต่งตัวต้องเต็มนะจ๊ะ ณ จุดนี้


ระหว่างนั้นก็คือรอเข้าห้องอัด แล้วก็ได้เจอกับพี่ๆและน้องๆอีกสี่คนเป็นครั้งแรก คือ น้องวี น้องโอ๊ก พี่หน่า และพี่นัท จากตอนแรกเราก็แอบคิดนิดนึงนะว่าเรามันก็หนึ่งในตองอูนะจ๊ะ ไปมาหมดแล้วเกือบทุกจังหวัดของญี่ปุ่น แถมเรื่องราวข่าวสารปัจจุบันนี่ก็แม่นไม่แพ้ใคร พอมาเจออีกสี่คนนี่ขอกลับไปคิดใหม่อีกที .... ตอนนั้นคิดว่า เอาวะ ตกรอบแรกก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะ แต่งตัวสวยพอจ๊ะ เอาให้คุ้ม 5555

 หลังจากนั้นการแข่งขันก็ดำเนินต่อไปเป็นรอบๆ ดังนี้คือ รอบสามวินาที รอบคลาสสิคเกม รอบรองชนะเลิศ และรอบคำถามสุดยอกแฟนพันธุ์แท้


 ส่วนการแข่งขันจะเป็นอย่างไร ... จะสนุกแค่ไหน ... ใครจะเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ... จะใช่โบว์มั้ย ... ถ้าไม่ใช่แล้วมันจะตกรอบตอนไหน ... แล้วมันจะตอบคำถามได้บ้างไหม ... ก็ต้องรอชมกันนะคะ ^^

รายการแฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่น ออกอากาศวันที่ 31 ม.ค. 2557 ช่อง 5 เวลา 22.30 น. นะค้าาาา ^^

สุดท้ายเอาภาพหน้ามาให้ดูชัดๆว่าพี่ช่างแต่งหน้าเค้าแต่งหน้าสวยจ้าา มิใช่สวยขึ้นแต่อย่างใด 55555






Monday, October 07, 2013

เก้าอี้สระผม

ใครบ้างที่ไปเข้าร้านทำผมแล้วรู้สึกเหมือนกันบ้างว่า ทำไมทุกๆครั้งที่เราก้าวขึ้นเก้าอี้นอนสระผม ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าเราโปรการเข้าร้านทำผมมากแค่ไหนก็ตาม ... เราไม่เคยที่จะนอนแล้วเงยหัวได้พอดี คือ ช่างสระผมจะต้องบอกว่าให้ขยับขึ้น ขยับลงมันทุกครั้งว่างั้นเหอะ


ทำไมมันถึงไม่มีความพอดีในการนอนเก้าอี้สระผม ฉันสงสัย และพลางนึกไปว่า ความพอดีนั้นคืออะไร คือความพอใจของฉัน หรือความพอใจของช่างทำผม ทำไมฉันคิดว่ามันพอดีแล้วแต่คนอื่นคิดว่ามันไม่พอดีซะที


อาจจะเป็นเพราะว่าความพอดีของฉัน กับความพอดีของเธอมันต่างกัน ฉันคิดว่าเธอพอดีกับฉันแล้ว แต่เธอกลับคิดว่าฉันไม่พอดีสำหรับเธอ เมื่อทัศนคติของเราไม่ตรงกันก็ไม่แปลกที่จะมีคนที่ถูกใจและคนที่ผิดใจ


สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องยอมให้เธอปรับฉันให้พอดีกับเธอ ไม่ว่าฉันจะรู้สึกเมื่อยคอไปสักหน่อย เพราะฉันรู้สึกว่าเธอให้ฉันเงยคอมากเกินไป แต่ความเมื่อยนั้นอีกแป๊บเดียวก็คงหาย เพื่อแลกกับความสะดวกของเธอในการสระผม


วันนี้ฉันหายเมื่อยแล้ว และฉันก็พอใจที่ฉันยอมเมื่อยในความไม่พอดีในตอนนั้น เพื่อให้เธอได้ความพอดีตามแบบของเธอไป


ฉันพอใจ (ถึงแม้จะใช้เวลาหน่อยกว่าจะหายเมื่อย) เธอพอใจ .... แค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะมั้ง


ฉันมองเก้าอี้สระผมก่อนออกจากร้าน พลางคิดว่า "คราวหน้าฉันจะขยับให้พอดีกันทั้งฉันและเธอ"


..............


เรื่องเล่ายามดึกเมื่อตอนนอนไม่หลับ

7 ต.ค. 56, 11:45 น.


Monday, August 19, 2013

ได้เวลาถามตัวเอง

โพสนี้เกิดขึ่นหลังจากเริ่มงานใหม่ได้ 1 สัปดาห์ หลังจากที่เดินทางตามหาตัวเองมาเนิ่นนาน สำหรับใครที่กำลังตามหาตัวเอง กำลังจะเลือกสายเรียน กำลังจะเรียนต่อ กำลังหางานใหม่ กำลัง กำลัง กำลัง อะไรต่างๆที่ต้องการที่จะนำไปสู่จุดเปลี่ยน ลองอ่านดูเผื่อประสบการณ์เล็กๆของเราจะพอช่วยคุณได้

1. ก่อนจะเลือกสายเรียน คณะที่จะเรียน ถามตัวเองให้แน่ๆก่อนว่าเราอยากจะทำสิ่งนั้นไปตลอดชีวิตหรือเปล่า

- ตอนเด็กๆโบว์ตัดสินใจเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพียงด้วยความคิดที่ว่าเราชอบอะไรที่เป็นต่างประเทศ ชอบฟังเพลงฝรั่ง ชอบเรียนภาษา ชอบเดินทาง ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากเป็นทูต อยากไปทำงานหลายๆประเทศ มันเท่ดี ทั้งๆที่ตอนนั้นปราศจากความรู้เลยว่าการจะไปเป็นข้าราชการทางการทูตนั้นคืออะไร เค้าทำอะไรบ้าง แม้แต่หลักสูตรที่เค้าสอนที่คณะรัฐศาสตร์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเนี่ยเค้าเรียนอะไรกันบ้างตอนนั้นก็ยังคลุมเครือ

สิ่งที่อยากจะบอกคือก่อนที่จะเลือกคณะ (ในกรณีที่คุณเลือกได้) ให้ศึกษาให้ดีก่อนว่าเค้าสอนอะไร แล้วคุณอยากเรียนอันนั้นจริงหรือเปล่า ลองใช้เวลาคิดดูให้ดีๆ เพราะมันจะส่งผลต่อการทำงานของคุณในอนาคตที่จะกล่าวในข้อต่อๆไป

2. เรียนจบมาแล้ว อยากเปลี่ยนสายทำไงดี
- สิ่งที่รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดอย่างหนึ่งในชีวิต คือ การที่ไปเรียนต่อเลย (ในสายการศึกษาเดิม) โดยที่ยังไม่ได้ทำงานเลยสักนิด ถ้าย้อนเวลาได้ ตอนนั้นอยากจะไปทำงานอะไรก็ตามก่อนที่จะไปเรียนต่อ เพราะถามว่าชอบวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไหม ตอบได้เลยว่าชอบมากๆ และโคตรภูมิใจเลยเวลาที่เราสามารถคิดอะไรได้แบบที่นักรัฐศาสตร์คิด ทุกวันนี้ยังภูมิใจมากๆอยู่ที่ได้เรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่คิดว่าจะเอาไปทำมาหากินอะไร ตอบไม่ถูกเลยทีเดียว ความคิดที่บอกว่าอยากเป็นทูตๆตอนเด็กๆ พอโตมาก็รู้แล้วว่าไม่อยากทำงานราชการ แต่เนื่องจากจังหวะ และโอกาสหลายๆอย่าง ทำให้ไปเรียนต่อป.โทที่ญี่ปุ่นทันทีหลังจากที่เรียนจบป.ตรี

สำหรับคนที่กำลังจะจบป.ตรี และตัดสินใจอยู่ว่าจะเรียนต่อหรือทำงานดี ขอบอกเลยว่าให้ไปทำงานก่อน ทำงานสักสองสามปี (ปีเดียวก็ยังไม่พอนะ พูดเลย) ตอนนั้นเราจะเริ่มรู้แล้วว่าเราอยากทำอะไร ก่อนจะเข้าไปทำงานเราไม่รู้หรอกในบริษัท (หรือหน่วยงานต่างๆ) เค้ามีตำแหน่งอะไรบ้าง แล้วแต่ละตำแหน่งเค้าทำหน้าที่อะไร พอสองสามปีถ้าเราโอเคกับงานที่ทำ เราก็อาจจะเลือกเรียนต่อสิ่งเดิม หรือไม่ต้องไปเรียนเลยก็ได้ด้วยซ้ำ บางทีปริญญาตรีมันก็พอแล้วแหละ บอกตรงๆ ... แต่ถ้าเกิดเราทำงานไปทำงานมาแล้วรู้สึกว่า ไม่นะ..นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ชั้นอยากทำ ก็แนะนำให้ไปเรียน ป.โทในสายอื่นที่มันจะสามารถเบนไปได้ ซึ่งมันเป็นเป็นใบเบิกทางให้คุณไปสมัครงานที่ใหม่ได้ดีขึ้น

ตอนโบว์ทำงานมาได้สักพักหลังเรียนจบ โบว์ก็เริ่มรู้แล้วว่าสิ่งไหนโบว์ชอบ สิ่งไหนโบว์ไม่ชอบ โบว์ก็จะเลือกหางานใหม่ในสาขาที่โบว์ชอบ ถ้าที่ไหนเรียกเราไปสัมภาษณ์ในสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็ไม่เอาเลย แต่ปัญหาของโบว์อย่างที่บอกคือโบว์เรียนมาไม่ตรงสายงานที่เราอยากทำ เรียนป.โทก็เรียนจบมาแล้วจะให้ไปเรียนใหม่อีกเร๊อะ ทำให้การหางานใหม่ที่ไม่ตรงสายที่จบมานี่มันยากมากๆขอบอก

3. คอนเนคชั่น
- อันนี้ออกเป็นปัญหาส่วนตัวเล็กน้อย นี่ขนาดตัวเองเป็นคนที่หาเรื่องคุยกับชาวบ้านได้ง่ายมาก คิดว่าเป็นคนปรับตัวในสังคมใหม่ๆได้เก่งพอสมควร ตอนนี้ยังรู้สึกเหงาเลยขอบอก เนื่องจากที่บอกว่าย้ายสายงานมาทำในสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับที่เรียนมาตอนป.ตรีและป.โทเลย ทำให้เพื่อนๆที่ที่ทำงานใหม่นี่เราไม่สามารถนับญาติได้เลย เทียบกับที่เก่า เช่น "อุ๊ย..จบคณะเดียวกันเลย (ถึงรุ่นจะห่างกันเป็นสิบปี...) รู้จักอาจารย์...ไหม" หรือ "อุ๊ย..เรียนญี่ปุ่นมาเหมือนกัน อยู่เมืองอะไรเหรอ" พอมาที่ใหม่นี่ไม่รู้จะนับญาติอย่างไร รู้สึกเคว้งคว้างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคิดว่าคงต้องใช้เวลาปรับตัวในระดับหนึ่ง (...แอบคิด นี่ถ้าชั้นไปทำงานกระทรวงต่างประเทศนะ เพื่อนนี่เกือบร้อย)

ไม่ใช่แค่นี้แต่ในหลายๆองค์กร การมีคอนเนคชั่นที่ดีมันจะช่วย facilitate งานในหลายๆอย่าง เช่น ก่อนหน้านี้ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา โชคดีมากไปเรียนที่ญี่ปุ่น มีเพื่อนๆพี่ๆจบมาเป็นอาจารย์กันให้เพียบ จะเข้าไปติดต่อมหาวิทยาลัยก็สะดวกสุดๆ เนื่องจากมีคนในช่วยแทงเรื่องไปให้ เป็นต้น

เคยไปบรรยายในการศึกษาต่อญี่ปุ่นชอบมาคุณพ่อคุณแม่มาขอคำปรึกษาว่าอยากให้ลูกไปเรียนป.ตรีที่ญี่ปุ่นเลยจะดีไหม ... จริงๆอันนี้มันแล้วแต่เลยนะว่าจะดีไหม ถ้าถามเราเราก็จะบอกว่าเราสนับสนุนให้เรียนป.ตรีที่ไทยก่อนเพื่อที่จะมีสังคม มีคอนเนคชั่น ต่อไปถ้าจะกลับมาเมืองไทยแล้วจะทำอะไรก็จะมีเพื่อนๆกันอยู่ โดยเฉพาะในสายวิชาเดียวกันด้วยแล้ว ... แต่ทั้งนี้มันแล้วแต่ครอบครัวจริงๆ บางคนไม่ต้องใช้คอนเนคชั่นอะไรเลยด้วยซ้ำก็เจริญรุ่งเรืองไปได้ก็ได้นะ แต่ถ้าให้โบว์เลือกโบว์ก็ว่ามีคอนเนคชั่นไว้ก่อนดีกว่า (ซึ่งบางทีคุณพ่อคุณแม่จะไม่เชื่อโบว์นะ แบบทำไมลูกเพื่อนไปเรียนตั้งแต่ม.ต้น ไม่เห็นเค้าแคร์ไรเลย... ก็อันนั้นเค้าไม่แคร์อ่ะค่ะ ถ้าคุณพ่อไม่แคร์ก็ส่งไปได้เลยค่าา)

ดังนั้นเลยอยากจะวนไปที่ข้อแรกที่บอกว่าให้หาตัวเองให้เจอก่อนที่จะเลือกคณะ เพราะนี่ตอนนั้นยังหาไม่เจอ มาหาเจอหลังจากที่เวลาล่วงเลยไปนานมากแล้ว (แต่ยังนับว่าโชคดีที่ยังเปลี่ยนได้ทัน ไม่รอไปนานกว่านี้จนเปลี่ยนไม่ได้แล้ว) ลองใช้เวลาไตร่ตรองถามตัวเองดูสักนิดว่าเราชอบอะไร ดูจากงานอดิเรกที่เราทำก็ได้แล้วก็เอามาพลิกแพลง เพราะอาชีพที่เราจะทำแล้วมีความสุขไปตลอดชีวิตนั้น มันต้อง base on ความชอบ และความสุขของเราเป็นหลักนะคะ

คนเริ่มหาตัวเองเจอก่อน คนนั้นได้เปรียบ อันนี้พูดเลย

Monday, August 12, 2013

Are you sure you want to permanently delete the selected message?

ห้าโมงเย็นของวันศุกร์สุดท้ายของการทำงานของฉัน
ฉันเก็บเอกสาร เครื่องเขียน ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาทั้งหมดที่สะสมไว้กว่าสามปีกว่าลงกล่อง
ที่นี่มีความทรงจำมากมาย ทั้งสนุกสุดเหวี่ยง ยุ่งเป็นบ้า หัวเสียถึงที่สุด หัวเราะจนท้องแข็ง
และน้ำตาไหลรินจนหมดตัว ... 

ห้าโมงสิบห้าของวันศุกร์สุดท้ายของการทำงานของฉัน
ฉันย้ายไฟล์ข้อมูลงานทั้งหมดลงใน external hard disk เพื่อเตรียมส่งต่องานให้คนต่อไป
ฉันเคลียร์ฮาร์ดดิสก์และเมลบ็อกซ์ของฉันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อที่จะดูให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้ลืมเซฟข้อมูลสำคัญเพื่อส่งต่อ 

ห้าโมงยี่สิบห้าของวันศุกร์สุดท้าของการทำงานของฉัน
ฉันบังเอิญเจออีเมลที่ฉันเคยเก็บไว้ในโฟลเดอร์ที่ลึกที่สุด ฉันเกือบจะลืมไปแล้วว่าฉันเคยได้รับอีเมลฉบับนี้
ฉันเคยมีความสุขมากเมื่อได้รับอีเมลนี้ และก็เสียใจมากเช่นกันเมื่อฉันได้อ่านมันอีกครั้ง
ความทรงจำบางอย่างมักจะสวยงามและเจ็บปวดได้ถึงแม้จะเป็นความทรงจำเดียวกันก็ตาม

ห้าโมงครึ่งของวันศุกร์สุดท้ายของการทำงานของฉัน
"Are you sure you want to permanently delete the selected message?"
"Yes"

ฉันยิ้ม ปิดคอมพิวเตอร์และก้าวเดินต่อไป :)

Friday, August 09, 2013

Thank you, Panasonic

Dear all,

Everybody always tells me that I'm such a talkative one ...
But for myself, I think my writing skill is far more better than my talking skill,
especially during the time I want to express my deepest feeling.

Maybe because I'm fast; I eat fast, I think fast, I speak fast ... too fast until I know
that I may not be able to tell you everything I want to tell because my thinking keep
speeding around. So I decided to write you this e-mail.

This is my last working day at PMT. I spent almost four years working here which is
similar to the time most people spend in university. So PMT is equivalent to my school.
That's why it's very hard to decide to leave here.

I came to PMT in the end of 2009, right after I graduated my Master's degree from Japan.
I was then clueless, without any understanding of corporate culture. With the help of management and
colleagues, I have learned to understand about working life little by little, and most of all I  have learned to
understand my own self which I was trying to find the answer for the almost 30 years of my life.

I may not be me today without the opportunity given by MD Yasuo (also, MD Murakami),
Ito san, Abe san P'Jiab Kesorn and Takayanagi san.

I may not be able to know that bosses are not evil as we always consume from soap opera
without a chance of working with P'Muay Sirirat and P'Dao who have become my sisters in real life.

I may not know that friendship among colleagues is real and precious without spending time with P'Por Nipa,
P'Jaa Sasalak, P'Noom Velawat, P'Nut Nuttika,, P'Kwan Ruechuda and P'Aoi Rungnapha.

I may not be able to understand the great working environment without working with the best team
on earth together with P'Nan Sangduen and P'Bai Chanon.

I may not know that colleagues are not just colleagues but they have become my family
without knowing each and every PMT members.

I may not passed though many new and challenging tasks without working with P'Mee Supatchara,
P'Jew Chartree, P'Put Puttaraksa, P'Bok Weeranuch, N'Pim Choltida from PAT,
P'Nok Busakorn and P'Tuum Chutimon from PST.

I may not be able to get my work done without the support of Panasonic Scholarship members
and Takahama san from PC, Junie, Fizzah, Viktoriya, Kan san, Cathy and Tsuchiya san from PA,
HR functional group, environmental functional group and group companies' members.

And last but not least, I may not be me today if I didn't have a chance  to work for Panasonic.

I don't know if can I find a place that has the best combination of everything like PMT has now or not in the future.
However, since life is like a journey, it is time for me to start a new path to walk. Please, continue your support for
my supervisor, P'Muay Sirirat, while waiting for my replacement to come.

I thought I had already got used to saying goodbye.
But after writing this e-mail to you, I know that even how many times we used to say goodbye,
we will never avoid the feeling of lost.

So I am not going to say goodbye but thank you for everything.
Because you know where to find me (...maybe on 'The Voice', but definitely not on 'Take Me Out Thailand').
I'm sure we'll meet again. Let's keep in close touch.

http://www.facebook.com/kajeeporn
kajeeporn@gmail.com

長い時間、お世話になりありがとうございます。凄く感謝致します。
ขอบคุณมากๆจริงๆที่ดูและกันมาตลอดค่ะ

Family forever.


Monday, July 15, 2013

ในวันที่คนหนึ่งจะต้องเดินทางจากไป

ช่วงนี้อาม่าโบว์ป่วยหนักค่ะ

เมื่อวานนี้ไปเยี่ยมอาม่าที่โรงพยาบาล หลังจากที่เจอกันครั้งล่าเมื่อเดือนที่แล้วสุดยังพูดคุยกันได้ตามปกติ แต่สิ่งที่พบเห็นเมื่อวานก็คืออาม่าอ่อนแอลงไปมาก และตอนนี้เริ่มจะจำอะไรไม่ค่อยได้ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอนที่ยืนอยู่ที่ข้างเตียงของโรงพยาบาลพลางจับมือที่มีเข็มน้ำเกลือจิ้มอยู่ที่ข้อมืออาม่า พร้อมกับสายเครื่องมือระโยงระยางในห้องนั้น โบว์รู้สึกได้ว่า อาม่าคงจะอยู่กับพวกเราได้อีกไม่นาน

โบว์กลับบ้านมาด้วยความคิดที่ว่า ... ในวันที่คนหนึ่งจะต้องเดินทางจากไป (either by chance or by choice) คนที่ใช้ชีิวิตอยู่ที่เดิม บรรยากาศเดิม ความรู้สึกเดิมคนนั้นคงยังต้องแบกรับความรู้สึกสูญเสียไปอีกเป็นเวลานาน ในขณะที่คนที่เดินจากไปจะรู้สึกหรือไม่ก็ตาม แต่การเดินทางไปสู่สิ่งใหม่ ที่ใหม่ ที่ไม่ใช่ที่ๆเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ระดับความรู้สึกสูญเสียของคนๆนั้นอาจจะไม่เท่ากับคนที่อยู่ล่ะมั้ง

โบว์เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของพี่เอ๋ นิ้วกลม (จำไม่ได้แล้วว่าเล่มไหน อ่านของพี่แกเยอะเหลือเกิน) มีตอนหนึ่งที่พี่เขาบอกว่าในมีวันหนึ่งเขาจะต้องตัดสินใจว่าจะไปงานแต่งงาน หรืองานศพซึ่งจัดในวันเดียวกัน และผู้ที่เชิญไปต่างก็เป็นคนสำคัญของเขาทั้งคู่ สุดท้ายแล้วพี่เขาเลือกที่จะไปงานศพ ถึงแม้ว่าคนที่ได้รับการจัดงานให้ อาจจะไม่ได้รับรู้อะไรแล้วก็ตาม แต่สำหรับคนที่อยู่ต่อบนโลกนี้โดยปราศจากคนสำคัญคนหนึ่งไปแล้ว เขาคงต้องการกำลังใจ ....

เพราะสาระสำคัญของการสูญเสียนั้น จริงๆแล้วไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเสียใจมากกว่ากัน และคนที่จากไปจะรู้สึกอะไรหรือไม่ แต่คนที่จะต้องอยู่และเผชิญสิ่งต่างๆโดยลำพังนั้นจะต้องอยู่ต่อไปให้ได้

เพราะสุดท้ายแล้วถึงแม้เราจะรู้หรือไม่รู้ว่าเขาจะเสียใจหรือเปล่าก็ไม่ได้ทำให้เราหายได้เร็วขึ้น
และชีวิตก็ยังคงก้าวเดินต่อไป ถึงแม้จะปราศจากคนที่เคยอยู่เคียงข้างกันมาตลอดก็ตาม

Sunday, May 19, 2013

"เหตุผล" กับ "อารมณ์"

คำคนแปล จากหนังสือปีกปริศนา จิระนันท์ พิตรปรีชา
(The Soul Bird by Michal Snunit)

Credit: Dr. Matana Kettratad

ในภาษาส่วนใหญ่ของมนุษยชาติ 
คำว่า "เหตุผล" กับ "อารมณ์" มักถูกจัดแยกเป็นขั้วตรงข้ามที่ไม่มีอะไรร่วมกันเลย
... "อารมณ์"...[มัก]ถูกมองเป็นด้านที่ด้อยกว่า และอ่อนแอกว่า "เหตุผล"เสมอ
ทั้งๆที่อารมณ์หลายอย่างเป็นเรื่องสร้างสรรค์และทำให้คนเรารู้จักสะเทือนใจ หัวเราะ ร้องไห้ ได้อย่างที่ควรจะเป็น
...การกักกันตนเองในกรอบความคิดแบบนี้จนเคยชิน ทำให้เราเชื่อใน "เหตุผล" ของตนอย่างไร้เหตุผลเสียงเอง
จริงๆแล้ว นั้นก็เป็นเพียงอารมณ์หลุ่มหลงไปอีกแบบเท่านั้น
กรอบความคิดนี้ทำให้เราไม่กล้ายอมรับว่า

อารมณ์ไม่ใช่คู่แฝดจอมปวกเปียกขี้อิจฉาของเหตุผลผู้สูงส่งและแสนดี
แต่ทั้งสองอยู่ในตัวเราพร้อมกัน และเป็นคนเดียวกัน
ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากตัวเราเอง

ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง และไม่รู้จักจัดสมดุลให้สิ่งที่รวมอยู่ในตัวเราโดยเริ่มจากข้อเท็จจริง
เราก็จะรู้สึก อึดอัด สับสน และบางครั้งก็รู้สึกผิดโดยไม่จำเป็น 

หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องพูดออกมาว่า "ฉันเห็นด้วย ฉันเข้าใจ แต่ฉันทำไม่ได้"
นั่นเป็นเพราะเรายังไม่ได้สะสางความคิดเกี่ยวกับตนเองให้กระจ่างแจ้ง
และคำว่า "เห็นด้วย" หรือ "เข้าใจ" ที่กล่าวออกไปราวกับรู้เหตุรู้ผล รู้ผิดชอบดีชั่ว ทุกประการ
ก็มาจากภาวะอารมณ์ "เกรงใจ" อันคลุมเครือเท่านั้น

แต่ถ้าตัดความเกรงใจหรือเกรงกลัวออกไป
อย่างน้อยคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังมีสิทธิที่จะสะสางตัวเอง แล้วพูดเสียงดังว่า 
"ฉันไม่รู้ ไม่เข้าใจ ฉันจึงทำไม่ได้" หรือ "ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันจึงต้องทำ"
ไม่ว่ามันจะหมายถึงการทำสิ่งที่ดีงามหรือสิ่งตรงกันข้าม
ในขณะที่เด็กๆต้องยอมรับการชี้นำและอำนาจของผู้ใหญ่
โดยไม่อาจเรียกร้องหรือพิทักษ์สิทธิในการเข้าใจและตัดสินใจด้วยตนเอง....
เมื่อเด็ก..โตขึ้น เราสอนพวกเขาให้ปรับอารมณ์ให้เข้ากับเหตุผลที่เรายึดถือกันอยู่ 
และเริ่มใช้มาตรฐานแห่งความผิดชอบชั่วดีมาจำแนกตัดสินและลงโทษพวกเขา
แต่น่าเสียดายที่กรอบความคิดเดิม ทำให้เรามองไม่ออกว่า
การทำความเข้าใจกับกลไลการทำงาน
ของจิตใจเบื้องลึกน่าจะเป็นเรื่องสำคัญก่อนอื่น

ถ้าหากเราใช้เหตุผลของเราไปกดข่มอารมณ์ของเด็กๆเพียงเพราะเราคิดว่า
ในเมื่ออย่างหนึ่งถูก อีกอย่างหนึ่งก็ต้องผิด
และเด็กๆ "ต้องรู้ ต้องเข้าใจ ต้องทำ" ตามที่เราเห็นว่าถูกต้องสมควรทุกประการ
ในที่สุดก็อาจกลายเป็นการทำร้าย หรือกระทั่งทำลายในนามของความรักและความหวังดี

...

--------------------------------------------------------
สรุปคือ 
1. หลายๆครั้งเรานึกว่าเราเข้าใจแต่จริงๆเราไม่เข้าใจทั้งสถานการณ์และการทำงานของจิตใจเราเอง
เราเพียงแต่จำได้ว่า สังคมบอกเราว่า แบบนี้ควรหรือไม่ควร ถูกหรือผิด
2. ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สิ่งที่ควรฝึกคือมองเข้ามาข้างในให้เข้าใจอารมณ์ตัวเองก่อน 
(ก่อนที่จะด่วนกดอารมณ์นั้นไว้)
ให้จัดสมดุลอารมณ์กับเหตุผล โดยเฉพาะการมองให้เห็น ความกลัว ความเกรงในใจตัวเองก่อน
ก่อนที่จะจำเป็น pattern ว่าแบบนี้สังคมบอกว่าผิดหรือถูก 
3. เมื่อมองเห็นจนเกิดปัญญาแล้วก็จะเข้าใจจริงๆ คราวนี้ก็จะไม่มีความขัดแย้งภายใน
เมื่อสะสางได้จริงจะมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ต่างๆแค่ 2 ทางคือ
"ฉันไม่รู้ ไม่เข้าใจ ฉันจึงทำไม่ได้" หรือ "ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันจึงต้องทำ

ข้อ 3 นี้ น่าสนใจจริงๆ 
"ฉันรู้ ฉันเข้าใจแต่ทำไม่ได้" เป็นคำพูดติดปากใครหลายคน....
หรือที่แท้เรายังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย? 

Tuesday, May 14, 2013

- 10 things I hate about you -

I hate the way you talk to me, 
and the way you dye your hair.
I hate your bad-temper while driving your car, 
I hate it when you stare. 

I hate your same old slip on shoes 
and the way you read my mind. 
I hate you so much it makes me sick,
it even makes me rhyme. 

I hate the way you’re always right, 
I hate it when you never try. 
I hate it when you make me laugh,
even worse when you make me cry. 

I hate it when you’re not around, 
and the fact that you kept me waiting for your call. 
But mostly I hate the way I don’t hate you, 

not even close…

not even a little bit… 

not even at all. 

Sunday, April 21, 2013

ขั้นตอนการทำเอกสารทางราชการใหม่ในกรณีเอกสารหายพร้อมๆกัน

ขณะนี้เวลา 5:45 น. เดี๊ยนยังนอนไม่หลับ คาดว่าอาการเจ็ทแล็กคงจะตามติดมาอย่างแน่แท้ อ่านดราม่าใหม่ก็แล้ว (อีจ่าฯยังคงเป็นคนเดียวที่มีเรื่องราวอัพเดทในยามดึกดื่น นางนอนเวลาไหนกันนิ...) เล่ยเกมก็แล้ว อ่านการ์ตูนก็แล้ว ลุกขึ้นมาอาบน้ำหมักผม ขัดเล็บ ทำทรีทเมนต์ ฯลฯ ก็แล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววที่จะง่วง .... จึงคิดว่ามาเขียนบล็อคเรื่องการไปทำเอกสารทางราชการใหม่ให้อ่านดีกว่า เผื่อผลบุญในครั้งนี้จะส่งให้คืนพรุ่งนี้นอนหลับสบาย จะได้ตื่นไปทำงานได้อย่างปลอดโปร่ง

.... เกริ่นยาวมาก ขออนุญาตเข้าเรื่อง

เนื่องจาก กระเป๋าสตางค์หายในระหว่างที่เดินอยู่ที่ฮังการี แต่เดชะบุญที่พาสปอร์ตยังอยู่เพราะเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกสุดใจของกระเป๋าใน วันนั้น ทำให้ยังไม่วุ่นวายมากเท่าไหร่ เดินทางกลับประเทศได้ พอแลนดิ้งปุ๊บจึงรีบหาข้อมูลและเตรียมเอกสารและลางานเพื่อไปทำบัตรประชาชน และใบขับขี่ใหม่ในวันต่อไป

หากเพื่อนๆประสบปัญหาเช่นนี้ สิ่งแรกที่พึงกระทำเมื่อรู้ตัวว่าถูกล้วงกระเป๋าคือการโทรไปอายัติบัตร เครดิต แลับัตรเอทีเอ็มทุกใบที่หายไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่จำเป็นมากในการเดินทางไปต่างประเทศคือการเปิด international roaming ไปด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เมื่อไหร่ ยิ่งถ้าหากไปหลงอยู่ในป่าอะเมซอนก็คงไม่สามารถหาโทรศัพท์สาธารณะได้อย่างทัน ท่วงทีได้ ... ดังนั้น แนะนำนะคะ ควรเปิด roaming ไปเผื่อฉุกเฉิน หากเกรงว่าจะเปลือง ก็ไม่ต้องเปิดเครื่องจนกว่าจะจำเป็นต้องใช้ หรือใครโทรมาก็ตัดสายทิ้งค่ะ หะๆ

มาเข้าเรื่องการทำ บัตรซะที ... อาจจะสงสัยว่าแล้วควรไปทำบัตรอะไรก่อน คำตอบคือบัตรประชาชนค่ะ เพราะบัตรประชาชนจะใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันตัวเราในกสนทำบัตรอื่นๆต่อไป โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ไม่ต้องไปแจ้งความ!! ไม่ต้องไปแจ้งแล้ววว (จำได้ตอน ม.6 กระเป๋าสตางค์หายต้องไปแจ้งความก่อน) ให้ไปที่อำเภอหรือเขตได้เลย มีกรอกเอกสารให้ปากคำเล็กน้อย จบข่าว

2. ไปติดต่อที่อำเภอ หรือสำนักงานเขตใดก็ได้ ไม่ร้องเป็นเขตที่มีชื่อท่านอยู่ เพราะปัจจุบันข้อมูลลิงค์กันหมดแล้ว (..วันนั้นที่ไปมีป้ายแปะไว้ว่า ขณะนี้ระบบของกระทรวงมหาดไทยมีปัญหา ท่านที่มาทำบัตรประชาชนอาจจะใช้เวลานาน ... เอาวะก็ยังดี -_-) ภายใน 60 วัน มิฉะนั้นจะต้องเสียค่าปรับ ... (แต่ก็งงเค้าจะรู้ได้ไงว่าเราทำหายเกิน 60 วันหรือเปล่า .... )

3. เอกสารที่ต้องนำไปคือ
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาเอกสารทางราชการที่ระบุตัวตน เช่น ใบขับขี่ หรือพาสปอร์ต ในกรณีที่หายไปหมดทุกอย่าง ต้องรอให้ราชการตรวจสอบตัวตนของเราไปยังหมู่บ้าน ชุมชน ฯลฯ ก่อนจึงจะทำบัตรได้

4. กรอกเอกสารไม่เกิน 10 นาที

5. รอถ่ายภาพ

6. จ่ายค่าธรรมเนียม 20 บาท

7. เสร็จแล้ว!! ถ้าคนไม่เยอะ ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้วค่ะ

หลังจากที่ได้บัตรแล้ว เราจะไปทำใบขับขี่กันต่อ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ค่ะ

1. ไม่ต้องไปแจ้งความ!!! ยังคงไม่ต้องไปแจ้งความค่ะ (เจ้าหน้าที่ที่เขตทำงุนงงเล็กน้อยบอกว่าต้องไปแจ้ง .. แต่พอไปหาข้อมูลแล้วเค้าบอกไม่ต้องแจ้งเลยดื้อแพร่งไม่ได้ไปแจ้งค่ะ ... เจ้าหน้าที่คะ นิดนึงนะคะ อย่าทำให้งงค่าา)

2. เดินทางไปที่กรมการขนส่งมวลชนทางบกสาขาใดก็ๆด้ วันนั้นไปที่สาขาจตุจักร จึงขออธิบายขั้นตอนของที่นี่นะคะ

3. เอกสารที่ต้องเตรียมไปคือบัตรประชาชนตัวจริง พร้อมสำเนาเท่านั้นค่ะ

4. ไปติดต่อที่อาคาร 4 ชั้น 2 ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์

5. กรอกเอกสารคล้ายๆเดิม ประมาณว่าหายที่ไหนอย่างไร ไม่เกิน 5 นาทีเสร็จค่ะ

6. ในกรณีใบขับขี่ตลอดชีพหาย เค้าจะส่งตัวไปถ่ายรูปทำบัตรใหม่เลย แต่ในกรณีที่เป็นบัตรประเภท 5 ปี แล้วใกล้จะหมดอายุแล้ว เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ต่ออายุไปเลย

7. ในการต่ออายุใบขับขี่ประเภท 5 ปีนั้น จะต้องทำการทดสอบสมรรถภาพทางกาย และฟังอบรมก่อน 1 ชม. จึงจะทำบัตรใหม่ได้ค่ะ

8. การทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายมี 4 ด่าน คือ
- ทดสอบตาบอดสี จะต้องตอบสีสัญญาณไฟจราจรที่ปรากฎอยู่ให้ถูกต้อง
- ทดสอบการมองเห็น เจ้าหน้าที่จะให้กดปุ่มเลื่อนวัตถุทรงยาวให้ทั้งสองชิ้นขนานกัน
- ทดสอบการตอบสนองโดยการเหยียบคันเร่งและเบรค เมื่อสัญญาณไฟแดงขึ้นให้เหยียบเบรคทันทีภายใน 45 วินาที
- ทดสอบการมองเห็นทางด้านข้าง เจ้าหน้าที่จะให้มองตแล้วตอบสีสัญญานไฟที่ปรากฏทางด้านข้างให้ถูกต้องโดยไม่เหลือบตาไปมอง

9. เมื่อผ่านการทดสอบหมดทุกด่านแล้ว เจ้าหน้าที่จะส่งตัวไปอบรม 1 ชั่วโมง ที่ชั้น 4.... การอบรมที่ว่า ตอนแรกเราก็นึกว่าจะมีใครมาบรรยาย เปล่าค่ะ! มันคือการไปนั่งดูหนังเกี่ยวกับการขับขี่บนท้องถนน เป็นหนังจริงๆนะ แบบเป็นเรื่อง พ่อ แม่ ลูก พ่อฝังใจน้องสาวขับรถตายทำให้ไม่นอมให้แม่ไปสอบใบขับขี่ ทีนี้เลยไปรับลูกสาวจากโรงเรียนไม่ค่อยทัน แล้วก็มีเด็กข้างบ้านที่มีพ่อเป็นคนที่มีสันดานเสียในการขับรถ ฯลฯ มีแทรกกฏหมายเกี่ยวกับการขับขี่ สัญญานจราจรมา tie in เป็นระยะๆ

10. .... ระหว่างดูๆอยู่จะมีเจ้าหน้าที่เดินมา pause แล้วเอาหนังสือสัญญานจราจรมาขายในราคา 50 บาท ซึ่งอันนี้ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร แค่อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ หะๆ แต่จุดนี้เจ้าหน้าที่ทำตูงงอีกแล้ว บอกว่าตั้งแต่เดือน ก.ค.จะอบรม 6 ชั่วโมงแล้วนะ กำลังคิดว่า โห..โชคดีจุงเบยบัตรหายตอนนี้ไม่งั้นโดน 6 ชม. แต่..ไปคุยกับ จนท.คนอื่นเค้าบอก อะไรน้อง..นั่นมันระเบียบเก่า ไม่มีแล้ว 6 ชม. ก็ 1 ชม.เนี่ยแหละ .... เอิ่มมมม คุณ จนท.คะ รบกวนนัดกันนิดนึง (ตอนนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าตกลงมันจะ 6 ชม. หรือ 1 ชม. .... โชคดีนะทุกคน)

11. พอดูหนังจบ (...ซึ่งเราดูไม่จบ ไม่รู้ทำไม งงๆ พ่อแม่ยังทะเลาะกับคนข้างบ้านยังไม่ทันจบเลยมาปิดและ .. เพื่อนบอกหลังจากฉากนั้นยังมีอีกยาวววว .. สงสัยคนเยอะมั้ง รีบๆไปซะพวกเอ็ง ไม่ตั้งใจดูกันซะคน หะๆ) ก็จะถูกส่งตัวไปถ่ายภาพที่ชั้น 2

12. จ่ายค่าธรรมเนียมใบขับขี่รถยนต์ 605 บาท (ค่าธรรมเนียมปีละ 101 x 5 ปี, ค่าบริการ 100)

13. รับบัตร กลับบ้าน ทำใบขับขี่ใช้เวลานานหน่อยเพราะมีคนมาทำเยอะพอสมควร ก็ต้องมีรอคิวนั่นนู่นนี่ แล้วถ้าโดนอบรมอีกก็ เผื่อเวลาไว้เลยประมาณครึ่งวันค่ะ

14. อ่อ ขนส่งฯพักเที่ยงตอน 11:00-12:00 นะคะ สามารถไปติดต่อได้ตั้งแต่ 12:00 เลย วันนั้นไม่ทราบเลยไปตอนบ่ายโมง ไปนั่งกินเสต็กชิกเก้นอะลาเจี๊ยบ (...มันคืออะไร? สงสัยมาสิบกว่าปีและ) ฆ่าเวลาที่สามย่านตั้งนาน -_-

จบ แล้วค่ะสำหรับขั้นตอนการทำบัตรประชาชนและใบขับขี่ในปัจจุบัน อัพเดทข้อมูลสุดๆจากประสบการณ์ตรง ส่วนบัตรเอทีเอ็มก็ไปที่สาขาใดก็ได้เช่นกันพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชี 5 นาทีเสร็จเช่นกัน และบัตรเครดิตก็โทรไปที่แบงค์ค่ะแล้วเค้าจะส่งเมจเซนเจอร์มารับเอกสาร อันนี้ไวมาก 555+

สุดท้ายขออำนวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดีบุญรักษานะคะ สาธุ (-/|\-)

Friday, April 19, 2013

รีวิว 6 วันยุโรปตะวันออก ความสวย ความซวย ความห่วย และความเหนื่อย

เพื่อความรวมเร็วและความง่ายในการอ่าน (หลังจากอารมณ์เย็นลงมาแล้ว 110% หากอยากอ่านแบบอารมณ์ร้อนๆ กรุณาไปอ่านที่ post ก่อนหน้า) ขอสรุปแบบเป็นข้อๆดังนี้

1. ช่วงสงกรานต์ได้มีโอกาสไปเยือนมา 4 ประเทศดังนี้ คือ ออสเตรีย ฮังการี สโลวัก เชก

2. ประเทศที่เหมาะแก่การไปเยือนและชิลล์ที่สุด คือ ออสเตรีย (เวียนนา)



3. ประเทศที่ดูไม่น่าปลอดภัยที่สุด คือ ฮังการี (บูดาเปสต์)

4. ประเทศที่สวยและดูมีอะไรที่สุด คือ เชก (ปราก และเชคกี้ ครุมนอฟ)

5. ประเทศที่ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าจะไปชิลล์ๆเฉยๆก็ดี และมีฟรีไวไฟ คือ สโลวัก (บาติสลาวา)

6. ส่วนมากคนจะำพูดภาษาอังกฤษกันได้เพราะเราไปเยือนแต่สถา่นที่ท่องเที่ยว

7. แต่กระนั้นชนชั้นกรรมาชีพ เช่น ยาม คนกวาดถนน แม่บ้าน จะไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้

8. ของที่น่าจะซื้่อมาฝากนั้น....ไม่มี มองไปทางใดก็ดูเหมือนจะ made in china ทุกอย่าง

9. ช็อคโกแลต Mozart ที่ขายกันทั่้วบ้านทั่วเมืองนั้นหวานมาก...

10. H&M ราคาเท่าที่พารากอนเลย กลับมาซื้อเมืองไทยดีกว่านะ

11. สินค้าแบรนด์เนมสามารถเคลมภาษีได้ประมาณ 11-13% ทำให้ถูกกว่าซื้อเมืองไทย

12. คนไทยทีไ่ปเที่ยวในตอนนั้นต่างถือกระเป๋าใหม่ อาทิ กุชชี่ พราด้า หลุยส์วิคตองเดินกันให้ทั่ว

13. หากจะตัดสินใจไปกับทัวร์ขอให้เลือกดีๆ และเตรียมใจไว้ (รายละเอียดจะเล่า่ในข้อต่อๆไป)

14. อ่านโปรแกรมทัวร์ให้ดีๆ ส่วนใหญ่จะเขียน "ยุโรปตะวันออก 8 วัน" 8 วันนี่รวมวันเดินทางด้วย จริงๆคือ 6 วัน

15. ยังไม่รวมระยะเวลาน่งรสบัสเดินทางในประเทศซึ่งทรหดมาก เบ็ดเสร็จรวมไปอีำก 2 วัน ได้เที่ยวจริง 4 วัน

16. อีกอย่างที่ต้องดูดีๆ คือ จำนวนมื้ออาหารที่เป็นอาหารจีน บางทัวร์ให้ตูกินอาหารจีนจนนึกว่าไปทัวร์เยาวราชนิ

17. ซึ่งทัวร์ที่ดิฉันได้เลือกไป (เรียกว่าเลือกหรือเปล่า...) นางไม่ได้ใส่ไว้ในรายละเอียดว่าเป็นอาหารประเภทใด เจออาหารจีนไปเกือบทุกมื้อ

18. ที่บอกว่าไม่ได้เลือกเพราะทัวร์อื่นเต็มหมดดดดดด มีเจ้านี้ที่เดียวที่บังเอิญมีคนถอนตัวเลยได้ไปเสียบพอดี ไม่รู้ว่าเรียกว่าดวงดีหรือเปล่านะ

19. บริษัททัวร์ที่ติดต่อมา ชื่อว่า Ave*** Tour ไปลองกูเกิ้ลหารีวิวเก่าๆก็ยังไม่มีใครด่าอะไร (แต่ต่อไปอาจจะเจอละ หลังจากโพสนี้ถือกำเนิดขึ้น)

20. สิ่งที่อยากจะขอตำหนิทัวร์นี้คือความไม่เป็น professional ในการทำงาน ที่ว่าไม่เป็น professional นั้นจะขอกล่สวต่อไปในหลายๆอย่าง

21. ขอเริ่มจากหัวหน้าทัวร์ ซึ่งจริงๆแล้วเธอเป็นคนน่ารักมาก อัธยาศัยดี เล่าเรื่องสนุก ... แต่เรื่องสนุกที่เธอเล่าไม่เกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปเลยยย

22. ตอนหลังมารู้ว่าเธอไม่ได้รับงานไกด์เป็นงานประจำแต่เหมือนกับว่าเพื่อนๆดึงๆมาทำ ตอนช่วงเทศกาลไกด์ไม่พอจึงต้องเอาฟรีแลนซ์มาทำด้วย

23. จึงเกิดคำถามกับบริษัททัวร์แห่งนี้ว่าบริษัทมีมาตรฐานอย่างไรในการเลือกหัวหน้าทัวร์ มีการฝึกอบรมมากก่อนไหม คนๆนั้นพึ่งพิงได้หรือเปล่า

24. ที่หงุดหงิดคือที่เคยกล่าวไว้ว่าโบว์โดนล้วงกระเป๋าที่บูดาเปสต์ ซึ่งในตอนนั้นโบว์ต้องช่วยตัวเองหมดทุกอย่าง ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆจากหัวหน้าทัวร์เลยนอกจากคำว่าเดี๋ยวโทรถามที่ออฟฟิศก่อน

25. มาถึงจุดนี้จึงเกิดคำถามว่าสิ่งที่เราต้องการจากหัวหน้าทัวร์คืออะไร คือเข้าใจว่าของหายไปแล้ว แต่มันใช่เรื่องไหมที่จะปล่อยลูกทัวร์ซึ่งตอนนั้นจิตใจไม่ดีอยู่ไปติดต่อยามคนเดียว คุ้ยถังขยะคนเดียว ไปแจ้งตำรวจคนเดียว?

26. ในตอนนั้นโบว์คิดว่าถ้าหัวหน้าทัวร์มีประสบการณ์หรือมีไหวพริบมากกว่านี้เค้าก็น่าจะปลอบใจประมาณว่ามีคนเคยโดนงี้มาเยอะ (คือไม่ใช่กรณีแรกแน่ๆ) อย่างน้อยเราก็จะได้รู้สึกว่าเราไม่ได้ซวยคนเดียว

27. วันต่อมาโบว์เจอกรุ๊ปทัวร์จากบริษัทเดียวกันที่ออกเดินทางตามหลัง 1 วัน โบว์บอกหัวหน้าทัวร์ว่าให้ช่วยติดต่อหัวหน้าทัวร์อีกกรุ๊ปได้ไหม เพราะเค้าคงไปที่ที่โบว์โดนล้วงกระเป๋า เพราะโบว์ไปแจ้งไว้แล้วเผื่อว่าจะโชคดีเจอกระเป๋า

28. หัวหน้าทัวร์รับปากว่าจะติดต่อให้ แต่หลังจากนั้นโบว์ก็ไม่ได้รับข่าวสารอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย จะดีกว่าไหมถ้าจะช่วยอัพเดทกันบ้างว่าสถานการณ์เป็นยังไงแล้ว เจอไม่เจอก็ว่ากันไป

29. หลังจากนั้นขอบอกว่าโบว์อคติมาก จับผิดตลอด เรื่องความไม่เป็นมืออาชีพของหัวหน้าทัวร์ แล้วก็ตั้งคำถามที่คิดว่าจะถามไปที่บริษัทแน่นอนว่าบริษัทมีมาตรฐานหรือไม่ในการเลือกคน

30. หัวหน้าทัวร์คนนี้ถึงแม้เธอจะเป็นคนน่ารัก แต่เธอยังไม่รู้หน้าที่ นอกจากเธอแทบจะไม่มึความรู้ประวัติศาสตร์ใดๆเกี่ยวกับประเทศที่จะไปแล้ว เธอยังแปลคำพูดจาก local guide ของแต่ละประเทศมั่วซั่วในหลายๆครั้ง

30.1 ยกตัวอย่างเช่น ไกด์ท้องถิ่นบอกว่า "This is the only meeting point of all the metro lines in Budapest" นางแปลว่าที่นี่คือจึดนัดพบที่สำคัญของบูดาเปสต์ #เรื่องเดียวกันป่ะ

30.2 ขออีกเรื่อง ที่พระราชวังเชรินบรุนที่เวียนนา บนผนังมีรูปแขวนอยู่ ไกด์ท้องถิ่นบอกว่า "This is the picture of Maria Theresa's nanny which is a very great honor for her because this is the only picture which is not the picture of royal family member" นางแปลว่านี่เป็นรูปภาพยองแม่นมของมาเรีย เทเรเซ่ และถูกวาดขึ้นที่ปารีส #อันนี้จำได้แม่นมาก #ปารีสมาจากไหน?

31. มีอยู่วันหนึ่งที่ปราก กลุ่มเกิดหลงกัน โบว์ต้องเป็นคนแปลเรื่องที่ local guide เล่าให้ฟังให้กับลูกทัวร์อีก 25 คนฟังแทน ถามว่ามันใช่เรื่องไหม นี่มาเที่ยวนะไม่ได้มาทำงานพิเศษ

32. นอกจากนี้เธอยังคงไม่เข้าใจว่าในการปฏิบัติงานนั้นเธอห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอะไร เพราะหากเธอเมาขึ้นมาใครจะเป็นคนดูและชีวิตลูกทัวร์อีก 30 คนของเธอ

33. วันสุดท้ายวันที่ต้องเคลมภาษีของที่ช็อปปิ้งกันมา ลูกทัวร์คนอื่นมาถามโบว์หมดเลยว่าต้องเคลมยังไง ทำตรงไหน ทั้งๆที่โบว์ก็ไม่เคยทำ เพิ่งมาเรียนรู้ตอนนั้นเหมือนกัน หัวหน้าทัวร์ทำอะไรอยู่?

33.1 แทรกเรื่องการเคลมภาษีที่ออสเตรียนะคะ แต่ละประเทศอาจจะไม่เหมือนกัน ที่ออสเตรียต้อง carry สินค้าที่เราจะเคลมภาษีเข้าไปด้วยทั้งหมดเผื่อเรียกตรวจนะคะ

33.2 เมื่อผ่าน immigration แล้ว ให้เดินไปที่บริเวณที่จะเคลมภาษี โดยนำใบเสร็จไปสแตมป์รับรองจาก จนท.ก่อน จะโชว์ของในขั้นตอนนี้ค่ะ

33.3 หลังจากนั้นให้ดูที่ซองที่จะได้รับมาตั้งแต่ตอนซื้อของว่าเราจะเคลมได้จากบริษัทอะไร (ที่เวียนนามี 2 บริษัท) นำใบเคลมไปเคลมให้ถูกช่อง แต่ละร้านอาจจะ้คลมคนละบริษัทกัน

33.4 การรับเงินคืนมี 2 แบบ คือคืนเงินในเครดิตการ์ด (ต้องรอหลายเดือนหน่อย) กับรับเงินสด ซึ่งแนะนำให้รับเงินสดไปดีกว่าค่ะ ถ้ารอไปอีกหลายเดือนค่าเงินมันจะเป็นยังไงแล้วก็ไม่รู้

33.5 วันนั้นซวยหน่อยเงินที่จะคืนให้เป็นยูโรหมด! เค้าถามจะรับเป็นบาทหรือดอลลาร์ คำนวณแล้วดอลลาร์ขาดทุนน้อยกว่าเลยรับดอลลาร์มาค่ะ

34. ถ้าโบว์จะต้องทั้งติดต่อนั่นนู่นนี่เอง ดูแลลูกทัวร์คนอื่นให้แทน แปลให้แทน อธิบายประวัติศาสตร์แทน บอกขั้นตอนการเคลมภาษีให้เองขนาดนี้ เอาหัวหน้าทัวร์กลับไปเถอะค่ะ

35. สุดท้ายอยากจะให้ใครก็ตามที่กำลังตัดสินใจจะเดินทางไปเที่ยวโดยใช้บริการบริษัททัวร์ให้ถามให้ดีเลยนะคะว่าหัวหน้าทัวร์เป็นประจำหรือฟรีแลนซ์ เพราะอาจจะได้หัวหน้าทัวร์ที่ไม่มีประสบการณ์มาดูแลชีวิตคุณแทน

36. โบว์เคยได้รับการติดต่อจากบริษัททัวร์หลายๆบริษัทช่วงเทศกาลให้ไปเป็นหัวหน้าทัวร์ไปญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะ แต่พอมาเจอแบบนี้แล้วรู้สึกเลยว่าบริษัทมักง่ายไปหรือเปล่า เอาใครก็ได้มาดูแลชีวิตลูกค้าได้ยังไง

ตอนต่อไปจะนำเสนอเรื่องขั้นตอนการทำบัตรประชาชน และใบขับขี่ใหม่ในกรณีที่ประสบเหตุการณ์โดนล้วงกระเป๋า บัตรหายไปหมดเช่นโบว์ว่าต้องใช้้เอกสารอะไรอย่างไรบ้าง วันนี้เมื่อยนิ้วแล้วติดไว้ก่อนนะคะ ^^

Saturday, April 13, 2013

เมื่อโดนล้วงกระเป๋าที่บูดาเปสต์ ... สิ่งที่ได้รับจากบริษัททัวร์คือ ...

โบว์เพิ่งโดนล้วงกระเป๋ามาค่ะ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่กำลังมาเที่ยวที่เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการีกับคุณพ่อคุณแม่ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ เป็นช่วงชุลมุนในตอนที่กำลังเบียดกับคนมากมายที่ตลาด Vasarcsarnok ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ในตัวเมืองบูดาเปสต์ ซึ่งยอมรับว่าเป็นความผิดของโบว์เองที่ไม่ได้ระวัง สะพายกระเป๋าเป้ไว้ด้านหลัง ซึ่งจริงๆไม่ควรทำเลยนะคะเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ยิ่งมายุโรปด้วยแล้ว เราจะถูกมองเห็นได้ชัดมากเลยว่าเป็นนักท่องเที่ยว เพราะหน้าตากระเหรี่ยงโดดเด่นออกมาจากหมู่ฝรั่ง ครั้งนี้ประมาทเกินไปจริงๆค่ะ

แต่ที่จะมาพูดวันนี้คือเรื่องของงานบริการบริษัททัวร์ว่าตามความรู้สึกของทุกๆคนแล้วคนที่มาใช้บริการอะไรสักอย่างเขาคาดหวังอะไรจากคนที่จะมาให้บริการเขา

โบว์มาเที่ยวกับคุณพ่อคุณแม่ครั้งนี้โดยใช้บริการบริษัททัวร์ชื่อ Aven** tour ค่ะ (เพื่อจะแสดงความจริงใจว่าไม่ได้ต้องการใส่ไฟทัวร์นี้ ขอไม่เปิดเผยชื่อเต็ม) โดยปกติแล้วเวลาจะไปเที่ยวกับที่บ้านมักจะใช้บริการบริษัททัวร์เพราะผู้ใหญ่จะได้ไม่ต้องเดินเยอะ ถึก โหด สมบุกสมบันแบบที่เราไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งปกติแล้วเวลามาเที่ยวยุโรปเราจะเลือกใช้บริษัทที่เราใช้เป็นประจำคือ European Holiday แต่คราวนี้เนื่องจากตัดสินใจช้า ประกอบกับเป็นช่วงสงกรานต์ด้วยทำให้ European Holiday เต็มแล้ว เลยพยายามหาข้อมูลบริษัททัวร์อื่นๆจากในพันทิปบ้างว่ามีที่ไหนโอเค โทรไปทุกๆที่เต็มหมด! จนตอนแรกคิดว่าสงกรานต์นี้อาจจะชิลล์ๆเล่นสงกรานต์อยู่กรุงเทพแล้ว แต่แล้วก่อนจะเดินทางประมาณ 3 สัปดาห์มีบริษัททัวร์บริษัทหนึ่งโทรกลับมาเนื่องจากมีลูกทัวร์ถอนตัวไปเราจึงได้ที่นั่งตรงนั้นบินมาเที่ยวยุโรปตะวันออกกันในวันนี้ ซึ่งทัวร์นั้นคือ Aven** tour นั่นเอง

อาจจะเหมือนไม่มีทางเลือกจึงได้ต้องมากับทัวร์นี้ ซึ่งก็จริง แต่ก็ขอเข้าไปหาข้อมูลในพันทิปอีกเช่นเคยว่าทัวร์นี้โอเคหรือไม่ ก็ยังไม่มีสมาชิกคนไหนด่าเลยสักคนเลยตัดสินใจมากับ Aven** tour ในราคาที่ถูกกว่าทัวร์อื่นๆที่เราเคยใช้บริการเล็กน้อย ซึ่งเราก็คิดว่าเป็นข้อดี

วันแรกที่มาถึงที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียก็ยังไม่มีอะไร เพียงแต่มีแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติเวลาไปทัวร์เนี่ยโปรแกรมมันจะอัดๆไปครบทุกที่ อันนี้ให้่เดินเล่นตามสบายครึ่งวัน ... ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน เออ ดีวุ้ยไม่ต้องรีบๆ มีเวลาให้นั่งจิบกาแฟนั่งชิลล์ และก็มาแปลกใจอีกครั้ง สำหรับคนที่ไปเที่ยวกับทัวร์ยุโรปเป็นประจำคงจะรู้ดีว่าปกติเขาจะจัดอาหารเป็นอาหารพื้นเมือง สลับกับอาหารจีน เหตุผลไม่ทราบว่าเป็นเพราะกลัวลูกทัวร์เบื่อหรือว่าเพราะประหยัดงบก็ไม่ทราบ แต่ทัวร์นี้วันแรกมา เธอจัดอาหารจีนสองมื้อติดเลยค่ะ ... และมื้อต่อไปเป็นอาหารไทย -_- นี่ชั้นต้องบินมากินอาหารไทยไกลบ้านขนาดนี้้เลยรึ?

วันนี้เป็นวันที่ 2 ก็เจอดีเลยค่ะ ...วันนี้ิอยู่ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และอย่างที่เล่าให้ฟังข้างต้นว่าโบว์โดนล้วงกระเป๋าในช่วงเวลาชุลมุน ซึ่งเรื่องล้วงกระเป๋าโบว์ผิดเองที่ครั้งนี่โบว์ไม่ได้ระวังเท่าทุกครั้ง แต่หลังจากที่โดนล้วงกระเป๋าไป สิ่งที่โบว์ได้รับจากหัวหน้าทัวร์คือความว่างเปล่า .....

หัวหน้าทัวร์บอกโบว์ว่ายังไงรู้ไหมคะ? ในช่วงที่รู้สึกแย่มากๆ ตอนนั้นอยากจะไปเดินคุ้ยถังขยะทุกถังในตลาดเผื่อโจรจะเอากระเป๋าสตางค์เราไปทิ้งไว้ (..ตอนเช้าเพิ่งชมว่าประเทศเขาถังขยะเยอะดีจัง ตอนนี้ไม่ละ ... เยอะเกิน คุ้ยไม่หมด!) หัวหน้าทัวร์บอกโบว์ว่า ... "เดี๋ยวเราไปช็อปปิ้งกันก่อน แล้วเดี๋ยวพี่โทรไปที่ออฟฟิศว่าจะทำอะไรได้บ้าง"

ถามจริงๆ ถ้าตอนนั้นคุณเพิ่งโดนล้วงกระเป๋า คุณยังมีอารมณ์ช็อปปิ้งอยู่ไหมคะ?

จริงๆแล้วคนที่มาใช้บริการ ... ในที่นี้คืิอลูกทัวร์ อยากจะได้จากหัวหน้าทัวร์ หรือบริษัททัวร์ที่เราเสียสตางค์ให้เขาคืออะไร คือความสบายใจหรือเปล่า?

ตอนนั้นโบว์จะต้องทำเองหมดทุกอย่าง ทั้งเดินไปที่ tourist information center ไปติดต่อ Lost&Found ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ต้องเดินไปๆมาๆให้คนที่ information center เพื่อให้เค้ามาพูดภาษาฮังกาเรียนให้กับเจ้าหน้าที่ เผื่อที่ว่าจะมีใครเก็บกระเป๋าสตางค์เราได้ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงๆก็คงไม่ได้กระเป๋าสตางค์คืน เกือบจะต้องนั่งรถแทรมไปแจ้งตำรวจเองแล้วด้วย .... ถ้าโบว์จะต้องทำเองทุกอย่างขนาดนี้ โบว์จะเสียตังค์มากับเค้าทำไม? ชั้นเป็นหัวหน้าทัวร์ให้แทนไหม???

ในขณะที่ลูกทัวร์คนอื่นๆที่ไม่รู้จักกันเลย เข้ามาถามด้วยความห่วงใยหลายคน แต่ภาพหัวหน้าทัวร์ที่โบว์เห็นคือ นางนั่งดื่ม Mojito
อยู่ที่ร้านกาแฟแถวนั้นระหว่างรอลูกทัวร์คนอื่นช็อปปิ้ง (...ปกติเค้าไม่ได้ห้ามหัวหน้าทัวร์ดื่มเหล้าในระหว่างปฏิบัติงานเหรอคะ? เวลาไปเข้าค่ายเขายังมีกฎห้ามดื่มเลย นี่นางดื่มทุกมื้อนะคะ ทุกมื้อ!) ... ไม่มีเลยที่จะถามว่าอะไรหายไปบ้าง อายัติบัตรหรือยัง ไปแจ้งตำรวจไหม ฯลฯ

ภาพการใช้บริการทัวร์ของ European Holiday ลอยเข้ามา ... ตอนนั้นไปรัสเซีย มีคนนของหายเหมือนกัน หายเยอะมากด้วย สิ่งที่หัวหน้าทำคือ ช่วยวีน ช่วยเคลม ช่วยเล่าประสบการณ์ ช่วยเล่าทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ทำให้เราสบายใจได้ อย่างน้อยการที่เราได้รู้ว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่ซวยมันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนิดนึง (หรือเปล่า ... อันนี้คิดเอาเอง)

โบว์เข้าใจว่าการมาเจอหัวหน้าทัวร์ดีหรือไม่ดีนั้นเป็นเรื่องดวงอย่างหนึ่ง เราดวงดีเราก็จะได้คนดี เล่าประวัติศาสตร์นู่นนั่นนี่ เวลามีปัญหาก็ช่วยทำให้เราสบายใจ ช่วยแก้ปัญหาที่เราได้ เคยเจอนะคะหัวหน้าทัวร์เฮงซวยแบบที่ไม่รู้เรื่องใดๆอะไรเลยเกี่ยวกับประเทศนั้นๆ แถมพาเข้าร้านที่มีส่วนแบ่งอย่างเดียว ... คือ สำหรับเราแล้ว หัวหน้าทัวร์ไม่ใช่แค่คนประสานงาน หรือเล่ามุกตลกให้ลูกทัวร์ฟังอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ หัวหน้าทัวร์ต้องเข้าใจนะคะว่าคนที่มากับกรุ๊ปเนี่ยไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการเก็บแต้มถ่ายภาพไปอัพเฟซบุ๊คอย่างเดียว บางทีเค้าก็อยากจะรู้นะคะว่าตรงที่มายืนอยู่เนี่ยมันมีความสำคัญยังไง (...อย่างน้อยเวลาอัพเฟซบุ๊คมันก็ควรจะมีคำบรรยายภาพด้วยนึกออกป่ะ)

แล้วนี่นอกจากที่ว่าชั้นต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ปลอบใจตัวเอง หาข้อมูลประวัติศาสตร์เอง (เพราะถามหัวหน้าทัวร์แล้วตอบไม่ได้) ต้องแปลภาษาอังกฤษของ local guide ให้คนอื่นฟังเอง (เพราะนางแปลผิด!! คุณผู้อ่านนนนางแปลผิดดดดกด!!!) .... ถ้าชั้นต้องทำขนาดนี้ ชั้นไปเป็นหัวหน้าทัวร์แทนเธอดีกว่าไหม!!!

ฝากไปถึง Aven** tour นะคะ เข้าใจว่าช่วงสงกรานต์คงมีกรุ๊ปเยอะ ทำให้ต้องใช้บริการไกด์ freelance มาบ้าง (..เจ้าตัวบอกเองนะว่าเพิ่งทำมาไม่กี่ครั้ง และมีงานประจำอื่นอยู่) แต่อยากจะทราบมาตรฐานของการคัดเลือกไกด์ค่ะ ว่าเอามาตรฐานไหนมาใช้ในการเลือก? ถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้นคุณเคยบอกเค้าไหมว่าเค้าควรจะแก้ปัญหาให้ลูกทัวร์ยังไง ถ้าจะจับตาสีตาสาที่ไหนก็ได้ที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้มาเป็นหัวหน้าทัวร์ล่ะก็ คุณมาจ้างดิฉันเถอะค่ะ เพราะวันนี้ที่ดิฉันทำดิฉันก็แทบจะเป็นหัวหน้าทัวร์ให้คุณได้แล้วค่ะ

ฝากถึงคนที่กำลังเลือกใช้บริการบริษัททัวร์ ... ไม่ได้จะมาจูงใจหรือใส่ไฟให้คุณเกลียด Aven** tour นะคะ เพราะเจ้าหน้าที่ที่ดีๆคงจะมีหลายคน และหลายคนที่คุยกันในกรุ๊ปวันนี้ก็เลือกกลับมาใช้บริการอีกครั้ง แต่คงเป็นความซวยของดิฉันเองที่มาเจอแบบนี้ แต่อยากจะฝากไว้ให้เป็นบทเรียนกับทุกๆคนว่าให้พยายามหาข้อมูลเยอะๆ อ่านรีวิวเยอะๆก่อนจะตัดสินใจไปกับที่ไหน เพราะเวลาที่ไม่มีปัญหามันก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่เวลาที่ปัญหามันเกิดคุณจะรู้ได้เลยว่าบริษัทไหนดูแลลูกค้าได้ดีขนาดไหน ... และสิ่งที่ทัวร์นี้ทำให้เสียความรู้สึกอีก (นอกจากจะให้ทานอาหารจีนแทบจะทุกมื้อโดยที่ไม่ได้เขียนไว้ในโปรแกรม เขียนแค่ "รับประทานอาหารที่ภัตตาคาร") ยังมีอีกหลายอย่าง เช่น ให้ลูกทัวร์ขนกระเป๋าขึ้น-ลงห้องเอง ค่าทิปที่จะต้องให้คนขับรถไม่ได้รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในตอนแรก (มิน่ามันถึงถูก) หัวหน้าทัวร์ทำตัวเหมือนมาเที่ยวเอง เดินหายตัวไปช็อปปิ้งเองตลอดๆ และ ฯลฯ ไว้นึกออกจะมาเขียนเพิ่ม ... คือขอบอกว่าตั้งแต่เจอเหตุการณ์หัวหน้าทัวร์ไม่ช่วยอะไรแล้วนี่อคติขึ้นเยอะะะ เยอะมากกกกก ตอนแรกอะไรที่คิดว่าไม่เป็นๆๆๆนิดหน่อยๆ ตอนนี้เป็นอะไรหมดทุกอย่างงงงง

บทเรียนของโบว์ในวันนี้คือ โบว์คงไม่มาใช้บริการ Aven** tour อีกต่อไปแล้ว ถึงทัวร์อื่นจะเต็มหมดทุกทัวร์ก็ตาม ต่อไปนี้จะเลือกนอนเกาพุงอยู่บ้านดีกว่าจะต้องไปเจอความไม่ประทับใจแบบนี้ค่ะ

ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะช่วยกันแชร์ให้ไปถึงหูบริษัททัวร์หรือเปล่า ยังไงกลับไปโบว์คงจะโทรไปฟี้ดแบ็คกับ Aven** tour อย่างเป็นทางการกับสิ่งที่เกิดขึ้น และถามถึงมาตรฐานในการบริการของเขา แต่ที่เขียนในวันนี้อยากให้ได้อ่านกันเยอะๆ จะได้ระวังกันนะคะ ไม่อยากให้เวลาที่เพื่อนๆมาเที่ยวแล้วต้องมาเจอความเซ็งแบบโบว์อย่างนี้

สุขสันต์วันสงกรานต์ทุกคนค่ะ สาดน้ำเผื่อด้วย กลับไปคงต้องยุ่งๆทำบัตรและเอกสารสำคัญที่หายไปทั้งหมด แต่ถ้าได้รับคำอธิบายจาก Aven** tour เมื่อไหร่จะมาอัพเดทให้ทุกๆท่านทราบนะคะ ขอบคุณทุกๆคนที่เป็นห่วงค่ะ :)

ปล. ไม่น่าเลย ไม่น่าบ่นเลยว่ากระเป๋าตังค์เก่าแล้วซื้อใหม่ดีกว่า มันน้อยใจหนีไปเบยยย :'(

12 เมษายน 2556
กรุงบูดาเปสต์ ฮังการี

Wednesday, March 13, 2013

ญี่ปุ่นชักอยู่ยากขึ้นทุกวัน...

รวบรวมเรื่องราวความไม่ปกติของสังคมญี่ปุ่นจากกรุ๊ปสมาคมนัีกเรียนไทยในญี่ปุ่นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เพื่อนๆที่จะมาญี่ปุ่นระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะคะ ไม่รู้เศรษฐกิจไม่ดีหรืออะไร ช่วงนี้ชักจะแปลกๆไป >__<

*******************

เจอเหตุการณ์ประหลาดในชีวิต ตั้งแต่อยู่ประเทศยุ่นปี่มา คิดว่าเป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจ วันนี้กะจะไปออกกำลังกายหลังเลิกงาน แต่ด้วยความหิวเล็กน้อย เลยไปนั่งหาไรกินที่ร้านเหล้าที่เรียกว่าอิซากายะแถวอุเอโนพ
นั่งไปสักพักก็มีชายหนุ่มใส่ที่ปิด หน้ากากเข้ามาขอนั่งด้วย บอกว่าไม่มีที่ ไอ้เราก็เห็นคนมันแน่นจริงๆ แล้วเราก็นั่งที่สำหรับสองคน ก็เลยโอเค ชายคนนั้นก็สั่งกับข้าวมาไม่เยอะ แต่ราคาค่อนข้างสูง เราก็ไม่เอะใจอะไร เค้าทานไปสักพักก็ชวนคุยนู่นนี่ ไอ้เราก็คุยไปตามมารยาทเพราะไม่รู้จักมักจี่กัน
เค้าก็คุยไปกินไป เราก็คุยไปด้วย นั่งเล่นมือถือไปด้วย จนเค้าบอกว่าขอตัวไปห้องน้ำ เราก็ไม่ทันสังเกตว่าเค้าออกไปทางไหนเพราะเล่นมือถืออยู่ จนสักพักอยากจะไปยิมละ คนๆนั้นก็ไม่กลับมา เลยถามพนักงาน เค้าบอกว่าเห็นเพื่อนคุณออกไปแล้ว
เอิ่ม...โดนเข้าแล้ว เลยบอกเค้าไปว่าไม่ใช่เพื่อนผ้มมมม เค้าบอกว่าเห็นตอนเข้ามาเค้าบอกว่าเป็นเพื่อนคุณ และเห็นคุยกันปกติ เจอเคสนี้เข้า ก็ตอบไรไม่ได้ จะโวยวายก็สงสารน้อง พนง ผู้ ญ กลัวเค้าจะต้องจ่ายเงินเอง

ถือเป็นค่าบทเรียน 5,000 เยน เจอคราวหน้าจะเอาไข่เน่าปา อย่าให้เจอนะพวกเปรตหิวโซ
 
 *******************
 
Hideyuki Arata Jewlor ความปลอดภัยในยุ่นก็ต้องระวังกันให้มากล่ะ นึกถึงข่าวนี้ที่มีคนโพสต์มาวันก่อน
http://www.asahi.com/national/update/0301/TKY201303010032.html

via Bow Santamol

เช้า มืดวันที่ 28 กพ มีผู้หญิงถูกแทงเสียชีวิตที่ถนนตรงคิชิโจจิ โดยวันนี้(1 มีค) ได้มีการจับกุมผู้ต้องหาชาวรูมาเนีย(อายุ 17) โดยผู้ต้องหายอมรับสารภาพ และมีข้อมูลจากทางตำรวจว่า ผู้ต้องหาได้ร่วมมือกับคนรู้จัก(อายุ 18) ปล้นชิงกระเป๋าถือและกระเป๋าสตางค์หลังจากแทงผู้เสียชีวิตแล้ว
 *******************
Gift Arthy เคย มีอยู่ครั้งนึง นั่งสตาร์บัคส์ อยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาตีสนิทด้วย แล้วถามหาร้านยา จากนั้น ก็ชวนคุยเรื่อยๆ ไปๆ มาๆ เข้าเรื่องศาสนานิกายอะไรสักอย่าง ส่วนตัวเลยเกิดมานะ ชวนเข้าศาสนาพุทธไปเลย งี้งั้นโง้น สุดท้าย เอนเอียง บอกว่าจะลองมาศึกษาทางเราดู ชนะเลิศ
อยู่ไทยญี่ปุ่น รู้หน้าไม่รู้ใจเหมือนกันทั้งนั้นแหละคะ
 
 *******************
Woranuch Thaichatthong วันนี้ เราพบว่าบริษัทที่เคยจ้างเราทำงานไกด์เมื่อปลายปีที่แล้วออกใบเสร็จค่าจ้าง เราปลอมว่าให้เงินเราแล้ว แต่เงินไม่ไดัโอนเข้าบัญชีเรา เราถ่ายรูปหน้าสมุดบัญชีกับวันที่มันบอกโอนเงินในใบเสร๊จไว้แล้วส่งเมลไปถาม มัน ตอนนี้มันยังไม่ตอบ เป็นบริษัทมีเว็บมีตัวตน เราจะตามเรื่อง
******************* 
Hideyuki Arata Jewlor อีก เรื่องที่ต้องระวังคือ คนแก่ในรถไฟครับ อันนี้เพื่อนคนญี่ปุ่นโดนเอง คือเค้ากลับบ้านตอนรถไฟจะเที่ยวสุดท้าย แล้วรถไฟมันแน่น แต่ก็ไม่มาก เบียดกันรถไฟมันเบรคเค้าไปชนคุณป้าสูงวัยคนหนึ่งจนไปชนกับราวที่จับตรงหัว ขบวน
ก็ เลยทะเลาะกันไป จนคุณป้าได้ไปแจ้งความ หาว่าแฟนเพื่อนผมไปทำร้ายแก ตั้งใจชนแก แกบอกมีรอยเขียวจ้ำ (น่าจะเกิดจากไปชนขอบเหล็ก หรืออะไรในรถไฟ) และก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นศาล กัน ตร บอกว่าแกน่าจะอยากได้เงิน แต่เค้าก็ต้องทำตามหน้าที่เพราะป้าแกฟ้องไป ก็มีการขึ้นโรงขึ้นศาลกัน ด้วยเรื่องที่แทบจะไม่เป็นเรื่อง พยานก็ไม่มี สุดท้ายก็ต้องเสียเงินเป็นค่าเสียหายให้คุณป้าคนนั้นไป
 ******************* 
Gift Arthy อัน นี้น่ากลัวนะเนี่ย.... คนแก่ที่ญี่ปุ่นบางคน น่ากลัวจริงๆ ค่ะ เคยไปนั่งที่แมค (ที่นั่งเดี่ยว ชั้น 1 ) แล้วพอคุยโทรศัพท์ก็โดนคุณป้าถือกระเป๋าหลุยส์มาตีมือ แล้วบอกว่า "อย่าคุย"
เออ...คือ ป้าค่ะ ถ้าคาเฟ่แพงๆ นี่หนูจะไม่ว่าเล้ยยยยยย แมคเนี่ยนะะะะะะะะะะะะะะะะะ อีกอย่าง พูดดีๆ ก็ได้ จะวางสายให้ มาตีมือกันเลยเหรอ
ตอนนั้นมาโตเกียวใหม่ๆ ยังเป็นเด็กเอ๊าะๆ ถ้าเป็นตอนนี้จะพาป้าไปถามพนักงานแมคด้วยกันว่า แมคห้ามใช้มือถือเหรอ?
 ******************* 

 

Tuesday, February 12, 2013

MiNdTRiCK ใจเต้น(ในวัน)วาเลนไทน์ จากสำนักพิมพ์ ล่องใจ



617295_371263666297455_1848940862_o

สำนักพิมพ์ล่องใจ ก่อตั้งขึ้นโดย พญ.วิไล ธนสารอักษร ด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาจิตใจของคนในสังคมผ่านทางการอ่าน โดยนายสุนาถ ธนสารอักษร บรรณาธิการสำนักพิมพ์ ได้เริ่มโครงการหนังสือ Lifestyle เล่มแรกของสำนักพิมพ์ ชื่อว่า “รูจมูกข้างซ้ายของชายชุดกาวน์ฯ” หนังสือดังกล่าวได้เล่าเรื่องของคุณหมอวสุ แพทย์ปฏิบัติการใช้ทุนที่จังหวัดเลย และได้พบเจอผู้คนที่น่ารัก กับเคสผู้ป่วยหลายรูปแบบ มีเนื้อหาที่สนุกสนาน กวน และครีเอทีฟผิดวิสัยแพทย์ทั่วไป แต่นั่นเป็นเพียงการนำเสนอเท่านั้น เพราะในเนื้อหาโดยแท้จริงแล้ว “รูจมูกข้างซ้ายฯ” เป็นการเปิดศักราชใหม่ของสำนักพิมพ์ล่องใจ ในการเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นและวัยทำงาน โดยสอดแทรกเนื้อหาที่อ่านแล้ว feel good พร้อมกับให้ข้อคิดในการพัฒนาจิตใจแก่ผู้อ่าน ในไอเดียที่อ่านแล้วสนุก ยิ้มได้ แล้วจบด้วยสิ่งดีๆ ที่ผู้อ่านจะได้ติดตัวไป
ในเดือนแห่งความรัก วาเลนไทน์ปีนี้ สำนักพิมพ์ล่องใจ ชวนผู้อ่านมาร่วมใจเต้นไปด้วยกันกับไลฟ์สไตล์บุ๊คกาซีนเล่มแรกจากสำนักพิมพ์ “MiND TRiCK 001 : ใจเต้น (ในวัน) วาเลนไทน์” ซึ่งได้รับเกียรติจากนักเขียนถึง 12 ท่านที่มีพื้นฐาน เบื้องหลัง และเรื่องราวที่แตกต่างกันมาร่วมสร้างผลงานในเล่ม จนกลายเป็น 11 เรื่องรัก จาก 12 นักเขียน ที่จะเปลี่ยนให้ใจคุณ feel good
578047_410472462376575_1762377487_n
‘MiND TRiCK’ คือ หนังสือที่จะเป็นทริคในการทำให้ใจของคุณดีขึ้น หากพูดให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น หนังสือเล่มนี้ คือหนังสือที่ทางสำนักพิมพ์อยากให้ผู้อ่าน อ่านด้วยรอยยิ้ม ได้อารมณ์ feel good และยังได้รู้ในหลายเรื่องที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน
โดยเนื้อหาอย่างย่อของทั้ง 11 เรื่อง มีดังนี้
563225_410472579043230_332687823_n

Eternity Love

โดย พิณมณี จรูญเมธี (พินนี่)
พินนี่สาวน้อยโซเชียลคนดังแห่งทวิตเตอร์ ชวนคุณตั้งคำถามกับตัวเองว่า รักนิรันดร์มีจริงหรือ? มีรักแท้ในโลกโซเชียลไหม? พบกับวิธีการดูแลและประคับประคองความรักให้รักของคุณเป็นรักนิรันดร์ และสุดท้าย ต้องหัดรักให้เป็น รักคนอื่นได้ แต่ต้องรักตัวเองก่อน
479734_410472465709908_469614970_n

GEEK อย่างไรให้กล้าจีบ

โดย @Khajochi
รู้ตัวว่าเป็น GEEK ควรอ่าน และถ้าเป็น GEEK แล้วอยากมีแฟน ต้องอ่าน.. คาโจชิ GEEK คนดังในโลกโซเชียลจะมาแนะนำหนุ่มๆ ให้รู้จักการใช้ชีวิตและเริ่มต้นการจีบสาว พร้อมกรณีศึกษาจาก 3 GEEK ที่ทั้งน้อยเกิน เยอะเกิน และขี้เก๊กเกิน อยากรู้จัก GEEK เป็น GEEK แล้วอยากมีแฟน ไม่ควรพลาด
604113_410472632376558_584847834_n

ช็อคโกแลตกับมาร์ชมาลโลว์

โดย ขจีภรณ์ เตชะทวีกิจกุล (โบว์)
ทำไม? วาเลนไทน์ ต้องให้ช็อคโกแลต
ทำไม? บทบาทของผู้หญิงญี่ปุ่น กับการเป็นผู้ให้เสมอมา
ทำไม? ประเทศญี่ปุ่น ถึงเป็นที่ที่มีเสน่ห์และมีคนอยากรู้จัก
มารู้จักประเทศญีปุ่นไปพร้อมกับโบว์ อดีตนักเรียนแลกเปลี่ยนและนักศึกษาปริญญาโทผู้ใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง
579607_410472529043235_1514227750_n

การท่องเที่ยวกับความฝัน

โดย ณรชต เกษมภมรสิริ (ณ)
ณรชต นักเดินทางผู้ไปมาแล้วว่า 60 ประเทศทั่วโลก จะพาคุณไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกสำหรับคู่รัก 4 แห่งทั่วโลก มิลฟอร์ด ซาวน์ด นิวซีแลนด์, พาตาโกเนีย ชิลี อาเจนตินา, คาซาบลังกา ราบัต และมาราเกช, ไทมส์สแควร์ นิวยอร์ค
404812_410472592376562_2117870786_n

พระอภัยมณีกับอิสตรีทั้ง 5

โดย จักรกฤต โยมพยอม (ทอม)
เปิดเผยชีวิตพระอภัยมณี ในฐานะหนุ่มเจ้าชู้ผู้มีเมียน้อย (เยอะ) คนหนึ่งในประวัติศาสตร์วรรณคดีไทย มารู้จักกับเมียทั้ง 5 คนของพระอภัยมณี ผีเสื้อสมุทร นางเงือก วาลี สุวรรณมาลี และละเวงวัลฬา ถ้าหากพระอภัยมณีเป็นคนจริงๆ ชีวิตของเขาเดินทางอย่างไร และมีจุดจบอย่างไร ให้อะไรกับเราบ้าง โดยสุดยอดแฟนพันธ์แท้สุนทรภู่

529817_410472425709912_621690041_n

15 กุมภาพันธ์

โดย วสุ ธนาสุนทรารัตน์ (บอล)
เหตุเกิดที่ห้องฉุกเฉินในคืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ การรับมือกับสาวอกหัก คนจรจัด คนไข้ในวันวาเลนไทน์ และปิดฉากด้วยเรื่องรักโรแมนติกของคนเป็นหมอที่ไม่ค่อยมีเวลานอน

534781_410472552376566_737152217_n

เรื่องรักของอัจฉริยะ

โดย สุนาถ ธนสารอักษร (แม็ค)
เปิดเผยด้านหนึ่งของชีวิต สตีฟ จ๊อบส์ อัจฉริยะแห่งแอปเปิ้ลผู้ล่วงลับ ชีวิตรักและคนรักแต่ละคนของสตีฟ จ๊อบส์ ตั้งแต่แฟนฮิปปี้ที่ท้องกับเขา (คริสแซน เบรนแนน) แฟนแก่ (โจแอน เบซ) แฟนสวย (ทีน่า เรดซี) และคู่ชีวิต (ลอรีน พาวเวลล์) พร้อมเฉลยปมว่า อัจฉริยะคนนี้ ใช้หัวใจไปกับอะไร

529896_410525729037915_1662152391_n

72 : The Wanted Happy Ending?

โดย Pinnary และ Gail Piyanan
Graphic Novelที่บอกเล่าเรื่องของ ผู้หญิง ที่เวลาต้องการความสนใจจากผู้ชาย เธอแต่งเติมตัวเอง มากขึ้นๆ แต่จะมีใครมามองเห็นคุณค่าที่แท้จริงภายในตัวของเธอบ้าง
580598_410482982375523_494494824_n

สลากย้อมสลักใจ

โดย ลินินา พุทธิธาร (นีน่า)
คุณยายบัวเรียวจะพาเราไปยังจังหวัดลำพูนเมื่อ 80 ปีที่แล้ว ที่ชายหญิงไม่สามารถจีบกันได้อย่างเปิดเผย คุณยายบอกเล่าประเพณีสลากย้อม งานบุญใหญ่ของชาวไทยอง ที่หญิงสาวเชื่อกันว่าจะได้รับอานิสงส์เทียบเท่ากับการบวช และประเพณีนี้เอง ที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้เจอกัน และเริ่มจีบกัน เป็นความโรแมนติกประมาณ 70-80 ปีก่อน
66167_410472625709892_1790341640_n

เศรษฐศาสตร์ความรัก

โดย แบ๊งค์ งามอรุณโชติ (แบงค์)
มาทำความเข้าใจกันว่า ทำไม? นักเศรษฐศาสตร์ถึงบอกให้เราจีบคนที่มีแฟนแล้ว และทำไม? นักเศรษฐศาสตร์ถึงบอกว่า คนหน้าตาดีสู้คนหน้าตาไม่ดีไม่ได้ในเรื่องความรัก พร้อมเผยเรื่องรักลับๆ ของนักเศรษฐศาสตร์ 3 คน ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
541448_410472662376555_1202556660_n

My Funny Valentine

โดย ดวงตะวัน นิลายน (เทป)
หญิงสาว ไวโอลิน มนุษย์ล่องหน แมว และบทเพลง ทั้งหมดจะรวมกันเป็นเรื่องรักได้อย่างไร? เชิญละเลียดผลงานเรื่องสั้น feel good ปิดท้ายเล่ม ที่จะตรึงใจคุณไปอีกนาน
สุดท้ายนี้ ทางสำนักพิมพ์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘MiND TRiCK’ จะเป็นหนังสือที่อ่านได้อย่างมีความสุข ให้อะไรดีๆ กับผู้อ่าน และช่วยให้คุณใจเต้นในวันวาเลนไทน์ อย่างมีสติ

สุขสันต์วันวาเลนไทน์
สำนักพิมพ์ล่องใจ
Facebook Page: http://www.facebook.com/Longjaibooks

Saturday, February 09, 2013

เปลี่ยนตัวเองง่ายกว่า

ช่วงหลังๆมานี่รู้สึกว่ามีนิสัยหนึ่งของตัวเองที่เปลี่ยนไปหนึ่งอย่าง คือปกติแล้วจะเป็นคนที่ชอบฟังเพลงมากๆค่ะ ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ในห้องคนเดียว อาบน้ำ พยายามบิ้วด์ตัวเองให้หลับ ยืนเฉยๆอยู่บนรถไฟฟ้า ขับรถอยู่ จะต้องเปิดวิทยุหรือไม่ก็หยิบไอโฟนไปให้มันแรนดอมเพลงอะไรก็ได้ที่อยู่ในเครื่องให้ฟังอยู่ตลอดเวลา

เหมือนกับว่าสองรูหูของตัวเองเนี่ยไม่เคยจะต้องขาดเสียงอะไรสักอย่างเลย
ประมาณว่าเป็นเด็กไฮเปอร์อยู่เงียบๆไม่ได้ว่างั้นเหอะ

นิสัยที่เปลี่ยนไปของตัวเองที่สังเกตได้เห็นอย่างชัดเจนคือ การเลิกฟังเพลง และพยายามให้หูของตัวเองได้สัมผัสความสงบสุขของความเงียบบ้าง....

เรื่องมันเริ่มขึ้นมาจากช่วงที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองดราม่าจนถึงขีดสุดแล้ว จนมาคิดได้ว่าวันนี้นี่แหละเราจะเป็นคนใหม่ เราจะเลิกดราม่ากินซ่าปาจิงโกะเสียที

ในเวลาที่กำลังรู้สึกว่า โอ้..พอกันที ฉันเบื่อที่จะใช้ชีวิตเฉกเช่นนางเอกหนังไทย ระบบแรนดอมเพลงในน้องไอโฟนเจ้ากรรมก็มักจะเลือกเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกหดหู่ใจมาให้ฉันฟังทุกที ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสตีฟ จ็อบส์ก่อนตายอาจจะได้พัฒนาระบบมันสมองของการแรนดอมไอโฟน ให้มันสามารถจับอารมณ์ความรู้สึกของผู้ใช้ได้หรือเปล่า

เคยเป็นไหมในช่วงที่รู้สึกว่าชีวิตมันเฮิร์ทเหลือเกิน ชอบหาเพลงกระแทกอารมณ์มาฟัง ประมาณว่า โอ้...เพลงนี้มันช่างโดนนนนน พลางคิดว่าคนแต่งเพลงนี้จะต้องเป็นฝาแฝดทางจิตวิญญาณของฉันแน่ๆ ในขณะที่น้ำตาไหลรินอาบแก้ม และมีกองกระดาษทิชชู่กองอยู่รอบๆตัว .... แต่เมื่อวันใดมีสติขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าการฟังเพลงโดนๆ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น

บางทีการที่ได้พักหู ไม่ฟังเสียงคน ได้นั่งอยู่เงียบๆ เราจะสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัวได้ดีขึ้น นอกจากจะได้ยินเสียงลม เสียงใบไม้ไหว เสียงหยดน้ำได้ดีขึ้นแล้ว เรายังสามารถใช้ช่วงเวลาที่เงียบๆนี้ฟังเสียงหัวใจของตัวเองได้ชัดขึ้นอีกด้วย

เสียงหัวใจของตัวเองที่ว่าคือได้ทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้น บางครั้งคำถามมากมายที่เราตั้งขึ้นกับตัวเองอาจจะเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วตัวเราเองยังไม่รู้จักตัวของเราเองดีพอก็ได้

จริงๆแล้วตอนนี้ยังหาไม่เจอ รู้ตัวเลยว่าตัวเองยังรู้จักตัวเราเองไม่เพียงพอ บางทีอาจจะไม่รู้จักเลยก็ได้ การที่เราบอกตัวเองว่าเราชอบอย่างนั้นชอบอย่างนี้ ฉันไม่เคยถามตัวเองอย่างจริงๆจังๆเลยว่า จริงๆแล้วฉันชอบอย่างนั้นจริงหรือ หรือจริงๆแล้วฉันชอบอะไร ถึงแม้จะหาเวลาในการอยู่เงียบๆคนเดียวได้ยากไปสักหน่อย แต่หลังจากได้มาฝึกตัวเองลองใช้ชีวิตอยู่เงียบๆดูบ้าง แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ฉันกลับมีความรู้สึกว่าฉันเริ่มจะรู้จักตัวฉันเองขึ้นมาที่ละนิดทีละนิด

หลายๆครั้งมีคนเคยบอกฉันว่า อย่าคิดที่จะเปลี่ยนคนอื่นเพราะเราไม่สามารถทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเราได้ แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนั่นคือเปลี่ยนที่ความคิดของตัวเอง

ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยคิดได้เลย จนกระทั่งวันที่ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถบังคับให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้ฉันสบายใจขึ้นได้ ฉันจึงเริ่มรู้สึกว่าวันนี้แหละเป็นวันที่ฉันจะต้องพยายามเปลี่ยนตัวเอง โดยหวังว่าเมื่อฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนความเชื่อบางอย่างของฉันแล้วไม่ใช่ฉันคนเดียวที่จะสบายใจ แต่มันจะทำให้คนอื่นๆที่ฉันอยากจะให้เขาสบายใจก็สบายใจด้วยเช่นกัน

เคยได้ยินมามากมายว่าคนเรานั้นควรจะรักตัวเองให้ได้มากๆก่อน แต่ฉันกลับคิดว่าหากเรารักตัวเองมากไปจนเราลืมนึกถึงคนอื่นที่เราแคร์ เราคงจะต้องมานั่งเสียใจในภายหลังกับความสุดโต่งนี้ ฉันจึงคิดได้ว่าฉันคงต้องรักตัวเองให้มากขึ้น และไม่ลืมที่จะใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย

นอกจากเปลี่ยนนิสัยตัวเองที่จะต้องเปิดเพลงตลอดเวลา และเปลี่ยนความคิดของตัวเองเพื่อคนอื่นแล้ว ฉันคิดว่าฉันยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องอาศัยเวลาในการค่อยๆคิดเพื่อตามหาคำตอบ เมื่อฉันสามารถตอบคำถามต่างๆนานาในหัวตัวเองได้แล้ว อาจจะยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันจะต้องเปลี่ยน โดยหวังว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนในทางทีดีค่ะ :)

Monday, February 04, 2013

MiND TRiCK - ใจเต้น (ในวัน) วาเลนไทน์

โปรดติดตาม pocket book ใหม่แกะกล่อง ชื่อ 'MiND TRiCK - ใจเต้น (ในวัน) วาเลนไทน์' ซึ่งรวบรวมแง่มุมความรักดีๆหลากหลายรูปแบบ 11 เรื่องราว จาก 12 นักเขียน (หน้าใหม่บ้างเก่าบ้างจากหลากหลายสาขาอาชีพ) เพื่อเป็นทริคเล็กๆในดูแลสุขภาพใจสำหรับทุกๆคนได้ที่แผงหนังสือใกล้บ้านท่าน เร็วๆนี้นะคะ :)

ปล. ได้มีโอกาสเป็นนักเขียนหน้าใหม่กับเขาด้วย ฝากผลงานด้วยนะคะ :)))


Monday, January 21, 2013

โลกเสมือน

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาโบว์พยายามลดการใช้อินเตอร์เน็ทให้น้อยลงค่ะ

เนื่องจากระยะหลังๆมานี้รู้สึกว่าตัวเองกำลังมีปัญหาในชีวิตเล็กน้อย จนมานั่งคิดทบทวนดูว่าสิ่งที่เรากังวล หรือสิ่งที่เรากำลังคิดว่ามีปัญหาอยู่นี้มันคืออะไร จนวันหนึ่งก็รู้สึกขึ้นมาว่าหรือว่าเราจะใช้เวลาของเราหมดไปกับการใช้ชีวิตอยู่บนโลกเสมือนมากจนเกินไป รับข่าวสารที่บางทีเราก็ไม่ค่อยอยากจะรู้มากเกินไป จนทำให้เราลืมการใช้ชีวิตที่มีความสุขของเราบนโลกแห่งความเป็นจริงไปหรือเปล่า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมในโลกดิจิตอลปัจจุบันนี้มีผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิต การพบปะผู้คน การรับรู้ข่าวสารต่างๆเยอะมากๆ ตัวโบว์เองเรียกได้ว่าถึงขั้นเสพย์ติดเลยทีเดียว เคยนั่งสังเกตพฤติกรรมตัวเองว่าในหนึ่งวันเราใช้เวลาไปบนโลกดิจิตอลไปกับกิจกรรมไม่กี่อย่างแต่ใช้เวลาไปกับมันเกินกว่าครึ่งหนึ่งของวัน นอกจากการทำงานที่จะต้องเข้าไปเช็คเพจของบริษัทอยู่บ้างแล้ว ส่วนตัวก็ต้องเช็ค new feed ใน facebook ทุกๆสองนาที เข้าไปอัพเดทข่าวสารว่าอะไรกำลังอิน กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้ตลอดเวลา โบว์รู้สึกใกล้ชิดเพื่อนๆมากขึ้น ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันแต่เหมือนกับว่าเราได้รับรู้เรื่องราวของเขาตลอดเวลา ได้เห็นพัฒนาการ ได้เห็นความสำเร็จ ได้เห็นความผิดหวังเสียใจ ได้เห็นปัญหาของพวกเขา

จนบางครั้งโบว์ลืมไปเลยว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้เจอหน้าพูดจาเป็นส่วนตัวกับคนเหล่านั้นมานานมากแล้ว

เราใช้เวลาอยู่บนโลกดิจิตอลมากขึ้น เรามีเครื่องมือที่ทำให้เรารู้สึกสะดวกสบายขึ้นในการนัดเจอกันในแต่ละครั้ง ไม่ต้องเสียเวลาโทรไปจิกทีละคน แค่ส่ง invitation รวดเดียวรู้ข่าวสารกันหมดร้อยคน แต่ความรู้สึกที่เราควรจะเจอกันแบบส่วนตัวมันกลับน้อยลงไปทุกที

ในโลกเสมือน เราต่างสร้างโลกขึ้นมาอีกหนึ่งใบ ในโลกใบนั้นเรามีเพื่อนมากมาย เราเป็นได้ทุกอย่างที่เราอยากจะเป็น เราอยากให้เพื่อนๆในโลกของเรามองคนเป็นแบบไหนเราก็สามารถสร้างขึ้นมาได้

ในโลกเสมือนเราสามารถเป็นเพื่อนกับใครก็ได้เพียงแค่ส่ง friend request แต่ในทางกลับกันหากเราต้องการตัดสัมพันธ์กับใครเราก็เพียงแค่ unfriend กับเขาเท่านั้น โดยทั้งๆที่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนมันสามารถเริ่มต้นขึ้น และตัดกันขาดง่ายๆเพียงแค่คลิกเดียวจริงๆหรือ และเมื่อคนสองคนที่ unfriend กันไปแล้วมาเจอหน้ากันในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งเราจะสามารถทำตัวดั่งเช่นคนไม่รู้จักกันได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ

ตัวเราเองก็เช่นกัน เมื่อเราแสดงออกในโลกเสมือนมากขึ้นเท่าไหร่ ความสับสนในความเป็นตัวเราเองของเราก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ภาพที่เราสื่อออกไปทำให้คนอื่นมองเราเป็นแบบนั้น แต่เราเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่าจริงๆแล้วเราเป็นคนแบบไหนกันแน่ เราแยกตัวตนของเราจริงๆกับตัวตนที่เราสร้างขึ้นในโลกเสมือนได้หรือเปล่า

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาโบว์พยายามลดการใช้อินเตอร์เน็ทให้น้อยลงค่ะ

ต้องยอมรับว่าโลกเสมือนนั้นทำให้เราติดต่อกันสะดวกสบาย และรวดเร็วขึ้นจริงๆ แต่ในบางทีมนุษย์เราก็อาจจะอยากหาพื้นที่ในโลกแห่งความจริงเพื่อที่จะได้ขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนอื่นดูบ้าง เอาเท้าเปล่าสัมผัสพื้นหญ้าบ้าง สูดหายใจลึกๆให้เต็มปอดบ้าง ใช้เวลาในการอ่านหนังสือหรือทำงานอดิเรกที่เราชอบอย่างอื่นบ้าง เจอเพื่อนๆเพื่อนเจอหน้า และสังเกตสีหน้า อารมณ์ของเขาเวลาพูดคุยกันบ้าง

สองสามวันที่ผ่านมาโบว์จดจ้องกับโทรศัพท์มือถือน้อยลง อ่านหนังสือจบไปสองเล่ม ได้แง่คิดดีๆให้กับชีวิตเพิ่มขึ้นไม่แน่ใจว่ากี่ข้อ ออกไปนอกบ้านพบเจอเพื่อนเก่าหลายคน ถักนิตติ้งเสร็จไปหนึ่งงาน และได้ใช้เวลาเพื่อทำความรู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นในอีกระดับหนึ่งค่ะ :)

Wednesday, January 16, 2013

ชิ้นส่วนที่หายไป

เปลโต ปราชญ์ชาวกรีกได้เคยกล่าว เอาไว้ว่ามนุษย์เราทุกคนนั้นจริงๆแล้วเกิดมาเป็นร่างผสม คือ มีสี่แขน สี่ขา หนึ่งหัวแต่มีสองหน้าที่หันไปมองฝั่งตรงข้ามกัน เมื่อมีลักษณะแบบนี้มนุษย์ร่างผสมนี้ก็มีความแข็งข้อกับเทพเจ้าเนื่องจากสามารถทำอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ วันหนึ่ง Zeus จึงได้ลงโทษโดยการผ่าเจ้ามนุษย์ร่างผสมนี้ออกครึ่งหนึ่งทำให้มีสองแขน สองขา และหนึ่งหน้า และจึงไม่แปลกที่เราจึงมีความรู้สึกที่จะต้องตามหาอีกครึ่งหนึ่งที่ขาดหายไปเพื่อจะเป็นตัวตนของเราที่สมบูรณ์

ถ้าเชื่อตามที่เปลโตเคยกล่าวไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้นจึงไม่แปลกเลยที่มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาเพื่อตามหาความรักและตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ขาดหายไป แต่สิ่งหนึ่งที่เปลโตไม่เคยกล่าวไว้เลยก็คือถ้าหากเราตามหาอีกครึ่งหนึ่งของเราไม่เจอเราตะยังคงเป็นตัวตนของเราอยู่หรือเปล่า

ในการเดินทางตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตมีหลายครั้งที่อีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นครึ่งที่ไม่สามารถประกอบกันเป็นตัวตนของเราอย่างสมบูรณ์ได้ หลายๆครั้งเราพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเราให้เข้ากับอีกครึ่งหนึ่งที่เราเจอด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมที่ว่าเราจะสามารถเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ แต่การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเราเองเพื่อหาความสมบูรณ์แบบนั้นมักแลกมาด้วยความเจ็บปวด บางทีถึงแม้จะพยายามเปลี่ยนแปลงรูปร่างมากเพียงใดสุดท้ายแล้วเมื่อชิ้นส่วนทั้งสองไม่สามารถประกอบกันได้ก็คงต้องตามหาชิ้นส่วนที่เข้ากันใดพอดีต่อไป ทิ้งไว้เพียงบาดแผลและการเปลี่ยนแปลงในจิตใจที่ทำให้รูปร่างของเราสมบูรณ์ขึ้นได้ด้วยตัวเองทีละน้อยทีละน้อย

เคยสงสัยกันไหมคะว่าการตามหาชิ้นส่วนที่หายไปของแต่ละคนในปัจจุบันมันดูยากขึ้นและซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ในอดีตรุ่นพ่อแม่ของเรา ในยุคที่การสื่อสารยังไม่รวดเร็วขนาดนี้การตามหาชิ้นส่วนที่หายไปทำไมมันช่างดูรวดเร็วผิดจากสมัยนี้จัง เคยสังเกตไหมว่าทำไมตอนนี้ทำไมกว่าจะได้เจอชิ้นส่วนแต่ละชิ้น (ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ประกอบกันได้สมบูรณ์หรือเปล่าเลยนะ) ทำไมมันดูยากจังทั้งๆที่เราดูเหมือนจะเจอคนหลากหลายขึ้นและเยอะกว่าสมัยก่อนด้วยซ้ำ

หรือเมื่อเราเจอคนมากขึ้น ทำให้เราเจอชิ้นส่วนที่ผิดมากขึ้น ยิ่งเจอชิ้นส่วนที่ประกอบกันไม่ติดมากขึ้นเท่าไหร่ เราเองกลับเปลี่ยนสภาพจากร่างดิมที่เราเคยเป็นในอดีต เป็นตัวตนใหม่ที่สมบูรณ์ได้ด้วยตัวเอง

หลายคนตามหาส่วนที่หายไปพบแล้ว หลายคนยังคงเดินทางค้นหาชิ้นส่วนที่หายไปโดยความหวังเต็มเปี่ยมที่ว่าจะหาอีกครึ่งหนึ่งที่ Zeus ได้พรากจากเราไปเมื่อในสมัยโบราณกาล ในขณะที่ยังมีอีกหลายคนที่เมื่อเวลาผ่านไปกลับสามารถเติบโตและเติมเต็มเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องตามหาอีกครึ่งหนึ่งอีกต่อไป

สุดท้ายแล้วความสมบูรณ์ที่เราตามหาอยู่นั้นมันก็คือรูปแบบที่เราพอใจเสียมากกว่าที่จะเป็นไปตามรูปแบบที่เปลโตได้กล่าวเอาไว้หรือเปล่านะ

ยินดีกับทุกคนที่ตามหาความสมบูรณ์เจอแล้ว และเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเดินทางตามหาความสมบูรณ์นั้นอยู่ เรารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยในการตามหาความสมบูรณ์นั้นเพราะเราเองก็ยังหาไม่เจอเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเราเชื่อว่าทุกคนจะได้เจอความสมบูรณ์นั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งค่ะ ขอให้โชคดีทุกคนค่ะ :)