Thursday, June 26, 2008

หมาขี้แพ้???

entry ที่แล้วไร้สาระมาแล้ว...
คราวนี้ขอแก้ตัวด้วยการมีสาระกันบ้าง
ให้สมกับที่เรียนปริญญาโท เหอๆๆๆๆ

(แต่ความมีสาระมักแปรผันตามกับจำนวนตัวอักษร เพราะงั้นทำใจนิดนึงนะคะ)

*****************************

พอดีวันนี้เข้าเรียนวิชา Japanese Society and Culture: Social Institutions and Life Course (โอ้ย อะไรจะชื่อยาวขนาด แค่ชื่อวิชาก็จำไม่ได้แล้วต้องไปเปิดดู เหอๆ)

ก็ discuss (จะใช้คำว่าอภิปรายก็ดูทางการไปหน่อย เลยขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ได้กระแดะนะคะ หุหุ) กันเรื่องว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นเนี่ย ถ้าคนไหนไม่ได้แต่งงานจะถูกตราหน้าว่าเป็น "หมาขี้แพ้" (負け犬)

จะบอกว่าแปลก ก็ไม่รู้ว่าแปลกหรือเปล่า ที่สังคมญี่ปุ่นมองว่าหน้าที่ของผู้หญิงในชีวิตมีอยู่สามอย่าง

ก่อนจะพูดถึงหน้าที่ผู้หญิง ขอเกริ่นก่อนว่า สังคมญี่ปุ่นสมัยโบราณแบ่งเป็นระบบชนชั้น ซึ่งมีสี่ลำดับขั้นด้วยกัน
คือ ชนชั้นปกครอง (ซามูไร)> เกษตรกร > ช่างฝีมือ > พ่อค้า (士農工商) มีชนชั้นจัณฑาลด้วย (新平民) ส่วนจักรพรรดิ (天皇)ไม่นับ เพราะนับว่าเป็นเทพ โดยการมีลำดับชั้นทางสังคมนี้ก็มีคนบอกว่าได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อที่รับมาจากจีน

แล้วจากความเชื่อของลัทธิขงจื๊อนั้นก็มีความเชื่ออีกว่าผู้หญิงนั้นเกิดมามีหน้าที่สำคัญอยู่สามอย่างตามธรรมชาติ คือ
เชื่อฟังพ่อเมื่อยังเยาว์ เชื่อฟังสามีเมื่อแต่งงาน และเชื่อฟังลูกชายเมื่อแก่เฒ่า

(ที่เขียนขึ้นมานี่ไม่ได้มั่วขึ้นมาแต่อย่างใด อยากอ่านเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในสังคมญี่ปุ่นร่วมสมัย ตามไปอ่านได้ที่ Robert J. Smith, “Gender Inequality in Contemporary Japan,” JSTRO: Journal of Japanese Studies 13, no.1: 25-1)

จะสังเกตได้ว่า ... ผู้หญิงเกิดมาแล้ว ต้องแต่งงาน และมีลูก (ถ้าไม่มีลูกก็ผิดอีกนะ จะถูกโทษว่า unproductive ทันที อันนี้อ่านเจอมาเหมือนกัน ไม่อ้างได้ไหม ... เดี๋ยวจะเป็นทำรายงานส่งอาจาีรย์ เหอๆ)

เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่ไม่แต่้งงาน ผิดเหรอคะ ...
จำเป็นหรือเปล่าที่ผู้หญิงที่ไม่แต่งงานคือ ผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกให้เป็นภรรยา หรือเป็นแม่ของลูก??

แล้วไอ้การที่เป็นหมาขี้แพ้เนี่ย ... เค้าไม่ได้ดูนะว่าผู้หญิงคนนั้นจะแต่งงานกับผู้ชายแบบไหน
คือการเป็นผู้หญิงเก่ง ทำงาน หาเงินได้เยอะแยะกว่าผู้ชายหลายๆคน ก็ยังเป็นหมาขี้แพ้อยู่ดีถ้าเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้ทำงาน แล้วแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่มีงานทำเหมือนกัน

แล้วผู้หญิงไม่มีสิทธิเลือกเหรอคะ???

เลือกที่จะไม่แต่งงานกับผู้ชายที่คิดว่าไม่ใช่ (พยายามจะไม่ใช้คำว่่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะรู้สึกเกลียดคำนี้มาก มันอธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงใช่ ทำไมถึงไม่ใช่ ... แต่จะใช้คำว่าไรดีล่ะช่วยคิดหน่อย ไม่เหมาะสม? หรือไม่ชอบ?)

เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่แต่งงานจนถึงบั้นปลายอย่างมีความสุข
นิทานหลอกเด็กชอบบอกว่าเจ้าหญิงกับเจ้าชายแต่งงานและมีความสุขไปชั่วกัลปวสาน
แต่ไม่มีใครเขียนต่อนะ ว่าหลังเจ้าหญิงแต่งงานกับเจ้าชายแล้ว เค้ามีความาสุขกันจริงหรือเปล่า???

เพราะจริงๆแล้วถึงแม้ผู้หญิงคนนึงจะไม่แต่งงาน .. ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะต้องอยู่คนเดียว
เธอก็ยังมีงาน มีสังคม มีเพื่อนอีกเยอะแยะมากมาย

แล้วมันก็ไม่ได้แปลว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีความสุขใช่ไหมคะ....

เราเชื่อว่าผู้หญิงแทบทุกคนอยากจะแต่งงาน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนที่เรารักไปตลอดชีวิต
แต่ถ้ามันจะต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก เพียงเพื่อจะไม่ให้เหงา มันจะดีกว่ากันเหรอคะ

โลกเราตอนนี้ จะยอมรับกันได้ไหมว่าผู้หญิงเยอะแยะที่มีความสามารถ และมีคุณค่าพอทีจะไม่ต้องคิดว่า สุดท้ายจะต้องแต่งงานกับผู้ชายรวยๆสักคน แล้วใช้ชีวิตอยู่บ้านตอนเช้าทำกับข้าวให้ลูก ถักนิตติ้ง ดูทีวี และผู้หญิงอีกหลายคนที่มีสมองพอที่จะหาเงินเลี้ยงดูตัวเองโดยไม่ยิึดติดกับคำว่าเป็น "ช้างเท้าหลัง"

ตอนนี้เดินไปตามท้องถนนในโตเกียว ก็ไม่แปลกใจกับการที่แม่ๆลูกอ่อน จะจับกลุ่มนั่งคุยกัน โดยมีลูกตัวเล็กๆอยู่ในรถเข็นคนนึง จูงเดินมาคนนึงในร้านกาแฟ สังคมญี่ปุ่นปัจจุบันเปลี่ยนไปแค่ไหน ภาพลักษณ์ของผู้หญิงญี่ปุ่นก็ยังคงติดอยู่กับการที่ต้องเสียสละตัวเองเพื่อทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของสามี เป็นแม่ที่ดีของลูกๆ อยู่ดี

เขียนมาถึงตอนนี้ เริ่มงงแล้ว เราจะจบยังไงดีหว่า

สรุปเข้ากลอนจากวรรณคดีเรื่องอิเหนาก่อนแล้วกัน...

"แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า"


ผู้หญิงทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง ... อย่าปล่อยให้เราเป็นฝ่ายเดียวที่ถูกเลือก
เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนที่เราจะอยู่ด้วยอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิต
คือคนที่เราเลือกเค้า ... และเค้าเลือกเราต่างหาก

และสุดท้ายแล้วถึงแม้เราจะไม่มีใคร ... เราไม่ใช่หมาขี้แพ้อย่างสำนวนญี่ปุ่น
แต่เพราะเราชนะกฏเกณฑ์ของสังคมที่ออกแบบมาให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายที่ถูกเลือก

และเราก็ชนะตัวของเราเอง ที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยขาของตัวเอง

*************************************

เขียนเอาไว้เตือนใจตัวเอง เผื่อว่าวันนึงไม่เจอใครคนนั้นขึ้นมาจริงๆ จะได้กลับมาอ่าน 55555555555+

Tuesday, June 24, 2008

เมื่อโดนสัตว์ป่าไล่ล่า

entry นี้ไร้สาระมาก ...
พอดีว่าไปดูรูปไปเที่ยวแคนาดาของพี่จูนมา
แล้วมีรูปหนึ่งถ่ายกับตุ๊กตาหมียักษ์ ... นึกขึ้นได้เราก็เคยนี่หว่า ฮ่าๆๆๆ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2006 เดือนสิงหาคม
ตอนนั้นมาแลกเปลี่ยนที่โอซาก้า แล้วก็ไปโครงการโฮมสเตย์ที่ฮอคไกโดมา
ตอนที่หนึ่ง
ตอนที่สอง
(แต่เสียดายรูปตอนไปโครงการนี้หายหมดเลย hard disk หนูพัง แง T_T)

หลังจากจบโครงการ พี่ๆจากเกียวโตก็ขับรถมาโฉบเอาตัวไปเที่ยวทั่วเกาะฮอคไกโดอีกหลายวัน (กี่วันจำไม่ได้ขออภัย)

แล้วมีอยู่วันหนึ่งไปเที่ยวหมู่บ้านไอนุ ... จำไม่ได้อีกแล้วว่าจังหวัดอะไร ฮ่าๆๆๆ
แล้วก็มีหมียักษ์สต๊าฟเยอะมาก ...
พวกเราซึ่งจริงๆแล้วเอกการละคร เห็นเป็นไม่ได้ต้องมีการแสดงท่าประกอบการถ่ายรูป หุหุ

เริ่มเลยละกันเพื่อไ้ม่ให้เป็นการเสียเวลา

ขอหนีคนเดียวก่อน ... ว๊ากหมีมาาาาาาาาาาาาาาาาา
Photobucket

หนีเป็นหมู่คณะ (โบว์ พี่ใหม่ พี่หลา)
สังเกตุว่าภาพไม่ชัดเนื่องจากวิ่งหนีไวมาก (จริงๆแล้วแสงไม่พอ หุหุ)
Photobucket

ยังไม่หมด ...
ตอนไปกินข้าวเย็นจำได้ เจอร้านแถวนั้นมีหมียืนอยู่
เลยขอหนึ่งคนหนึ่งท่า เหอๆ
(ดีนะร้านมันปิดแล้ว ไม่งั้นอาจสร้างความแตกตื่นให้ผู้คนได้)

พี่กี้เผชิญหน้ากับหมี...
Photobucket

พี่หลากำลังโดนหมีทำร้าย..
Photobucket

ว๊ากกก เราโดนหมีตะปบหัว
Photobucket

พี่โหน่งตกใจ...
Photobucket

สุดท้าย... พี่ใหม่กับท่าวิ่งหนีที่ไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไหร่ ฮ่าๆๆๆๆ
Photobucket

ไม่น่าเชื่อเน๊อะ... ว่าบุคคลในรูปเรียนด็อกเตอร์กันหมดแล้ว หึหึ
(ยกเว้นเรา ... รอดตัวไป)

Friday, June 13, 2008

ความไม่ยั่งยืน

เคยคิดไหมว่า ..
วันนึงที่เราตื่นขึ้นมา สิ่งรอบตัวเราอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

สำหรับเราเคยเกิดขึ้นหลายครั้งนะ
ที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วสิ่งที่เคยมีอยู่เมื่อวานมันก็ไม่มีอีกแล้ว
เคยต้องหยิกตัวเองบนที่นอนหลายครั้ง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องที่ฝันไป

วันนึงที่เราตื่นขึ้นมา คนบนโลกจากเราไปก็กี่คนแล้วไม่รู้
อาจจะเป็นคนที่เรารู้จัก หรือคนที่เราไม่รู้จัก
อาจจะเป็นการจากกันไปตลอดกาล หรือจากกันไปเพียงชั่วคราว
อาจจะเป็นการจากกันทางกาย หรืออาจจะเป็นการจากกันทางจิตใจ

ไปอ่านบล็อคของคุณนิ้วกลมตอนหนึ่งที่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์อันบอบบาง
มีตอนนึงเปรียบเทียบได้ดีที่เดียวว่า...

"ถ้าชีวิตเป็นเส้นทางคดเคี้ยวทอดตัวไปเรื่อยๆ
เราคงเริ่มออกเดินทางจากตัวคนเดียว
ได้พบเจอผู้คน สะสมมิตรภาพ เพื่อน คนรู้จัก ไปตามทาง
ผู้คนที่เข้ามาผูกพัน นับวันจะมีมากขึ้น
เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า จะดูแลกันได้ดีแค่ไหน"

http://roundfinger.exteen.com/page/11

ตอนแรกก็อยากจะเปรียบเทียบด้วยตัวเองอยู่หรอกนะ
แต่พออ่านของเค้าแล้วเค้าเปรียบได้ดีมากอยู่แล้วเลยขอยืมมาละกัน หุหุ

ชีวิตไม่ยั่งยืน ความสัมพันธ์ก็ไม่ั่ยั่งยืน
เห็นคนหลายคนรักษาความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดีทั้งๆที่ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่บอบบาง
ใจหนึ่งก็รู้สึกยินดีไปกับเค้าด้วย อีกใจหนึ่งก็รู้สึกอิจฉา
เพราะความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ไม่มั่นคง คงต้องใช้เวลาและความทุ่มเทในระดับหนึ่งในการดูแลความสัมพันธ์นั้นๆ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม...
การรักษาความสัมพันธ์ได้ยาวนาน ก็ไม่ได้แปลว่าความสัมพันธ์นั้นจะอยู่ตลอดไป
เพราะว่าความสัมพันธ์มันไม่ยั่งยืน ... ไม่เธอก็ฉัน ใครคนหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปก่อน
เพราะว่าชีวิตของเรานั้นไม่ยั่งยืน ... ไม่เธอก็ฉัน ใครคนหนึ่งก็ต้องจากโลกนี้ไปก่อน

ภายใต้วันเวลาชีวิตที่แสนสั้น เวลาและวันคืนที่เดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้จะรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ฤดูกาลแล้ว ฤดูกาลเล่า

เี่รารู้อยู่เต็มอกว่า ในปลายทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไปนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง ....

หลายคนเลือกที่จะมีความสุขในวันนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าการเวลาจะทำให้เกิดความผูกพัน
และความหวังที่ไม่มีวันสิ้นสุด

การที่มีความผูกพันและความหวังนั้นยิ่งทำให้จุดหมายปลายทางของเราเจ็บปวดยิ่งเสียยิ่งกว่า

รู้ทั้งรู้ว่าวันข้างหน้ายังไงก็ต้องเจ็บ แต่เราก็ยังดันทุรังเลือกที่จะอยู่กับความสุขในปัจจุบัน
โดยที่มองข้ามความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เมื่อคนที่เดินทางมากับเราตั้งแต่แรก จากเราไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับมา....
เหลือไว้เพียงเค่ความทรงจำของคนคนนั้น ซึ่งย้อนกลับมาทำให้เรายิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้ได้ในบางครั้ง

แต่เพราะการจะเดินข้ามผ่านความไม่ยั่งยืนของชีวิตไปได้นั้น...
มนุษย์เราคงไม่เข้มแข็งพอที่จะเดินข้ามผ่านมันไปได้คนเดียว

จึงไม่แปลกที่คนแทบทุกคนเลือกที่จะแสวงหาความสัมพันธ์
โดยคาดหวังว่าความสัมพันธ์นั้นจะยืนยาว และคาดหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เดินร่วมทางกันไป
จนถึงปลายทาง....

โดยไม่แคร์ว่า ปลายทางนั้นจะต้องเจ็บปวดสักเพียงใด....

รักษาความสัมพันธ์ของคุณไว้ให้ดีนะคะ
เราเชื่อว่าคนที่เดินอยู่ข้างๆ คงไม่อยากจะเดินทางต่อไปบนถนนที่คดเคี้ยวเ้้ส้นนี้

.......โดยที่ปราศจากคุณเดินอยู่้ข้างๆ.......

Thursday, June 12, 2008

มันจะเข้ากันมั้ย????

อ่านบล็อคของพี่มดเรื่อง "น้ำมะม่วงผสมมะพร้าว"
http://monmod.multiply.com/journal/item/35

ตอนแรกก็นั่งขำอยู่ เออมันจะกินได้ไหมน้อ
วันก่อนไปเดินๆซูเปอร์แถวสถานี...

เจอเจ้านี่ค่ะคุณ
Photobucket

ยังไม่ได้ลอง แต่คิดว่าน่าจะไม่อร่อย

ถึงแม้จะชอบกินมะม่วงขนาดไหน ... อันนี้ก็ไม่ค่อยอยากกินแฮะ เหอๆ
ทำไมคนญี่ปุ่นถึงมีความสามารถในการจับนู่นผสมนี่ จับแพะชนแกะได้เก่งขนาดนี้เนี่ย
แล้วซึ่งบางอย่างผสมๆกันไปมันก็ไม่ได้อร่อยขึ้นมาเลยนะ
ได้รสชาติของความสับสนมากกว่า เหอๆ

ใครลองมาแล้วช่วยบอกด้วยว่ามันอร่อยไหม ไม่อยากเป็นคนแรกที่ลอง หุหุ

Thursday, June 05, 2008

When the rain comes...



หน้าฝนแล้ว ...

ฝนตกมันทุกวัน วันละหลายๆรอบ
เบื่อมากๆ อาทิตย์ที่แล้วยังร้อนอยู่เลย อยู่ๆก็ฝนตก แล้วก็หนาว
ทำตัวไม่ถูกแล้วนะ ที่หลังตกลงกันก่อนได้ไหมว่าจะหนาวหรือจะร้อนแล้วค่อยปล่อยมาทีเดียว
(หมายถึงเทวดาอ่ะนะ เหอๆ)

พอฝนตกมากๆ สิ่งที่มักจะมาคู่กับละอองฝนก็มีหลายอย่าง เช่น

1. ยุง ... เหมือนเมืองไทยแหละ ฝนตกยุงวางไข่ บินกันให้ว่อน นอกจากนี้ยังมีแมลงญี่ปุ่นมากมายบินกันเต็มไปหมด คือความรู้เรื่องสิ่งมีชีวิตต่ำมาก ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นตัวอะไร รู้แต่ว่าช่วงนี้ทำบาปบ่อยมาก เพราะตบมันไปเยอะ เหอๆ

2. รา ... ขึ้นกันเข้าไปสิตามขอบหน้าต่างนะ ห้องน้งห้องน้ำเนี่ยชมพูไปหมดเลยนะยะ ตอนนี้ซื้อที่ดูดความชื้นมาใส่้ในตู้เสื้อผ้าแล้ว เกรงว่าน้องราจะมาเกาะตามเสื้อผ้า ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้

3. หวัด ... ฝนที่นี่ โทษนะ ไม่ตกเป็นเม็ดๆใหญ่ๆแบบไทยนะ เธอตกแบบเป็นละอองๆ แล้วกางร่มไปขอบอกว่าไม่ได้ช่วยให้คุณไม่เปียก เพราะมันมาทุกทิศทุกทาง ลมอย่างแรงอ่ะ บางที่กางร่มตรงๆหัวไม่ได้สามารถช่วยคุณได้ คุณต้องกางเอียงเป็นมุมเหมือนโล่ยังงั้นแหละ แต่ก็ไม่วายยังไงก็เปียกอยู่ดี เปียก ... แล้วก็ป่วย มาคู่กันเสมอ

4. ผ้าไม่แห้ง ... อันนี้เบื่้อที่สุด ปกติซักเสื้อชั้นในทุกวัน แล้ววันเดียวก็แห้งแล้ว ตอนนี้ก็ตากเข้าไปสิไม่มีวันแห้ง อาทิตย์นึงจะแห้งไหมเนี่ย

5. เท้าเปียก ... จะใส่แตะก็หนาวเท้า จะใส่หรือไม่ใส่ถุงเท้ามันก็เปียกเหมือนกัน เห็นคนญี่ปุ่นซื้อรองเท้าบู้ทยางมาใส่กัน ตอนแรกก็กะว่าจะซื้อมาใส่บ้างแ่ต่ไม่เอาดีกว่า ใส่ไปใส่มาเหมือนคนขุดท่อไม่ก็คนขัดห้องน้ำยังไงไม่รู้่

6. ความมัวหมองของจิตใจ ... อันนี้ขอบอกว่าเกี่ยวกับฝนมากถึงมากที่สุด อากาศไม่ดี ไม่อยากออกไปไหน แดดไม่ออก จิตใจขุ่นมัว ตกติดต่อกันมากๆอาจก่อให้สภาพจิตใจตกต่ำลงได้ ใครบอกฝนตกมาให้ชุ่มฉ่ำใจ ขอเถียงหัวชนฝา

7. สอบไฟน่อล ... นี่น่ากลัวที่สุด มาใกล้มาแล้ววววววววววววววววววว โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

แต่อย่างน้อยฝนก็พาอะไรดีๆมาให้ เช่น มีดอกไม้สวยๆบาน อย่างรูปที่โชว์เนี่ย ดอกอาจิไซ ออกกันสะพรั่งกลางสายฝน
เค้าบอกว่าดอกอาจิไซเป็นตัวแทนของคนหลายใจ เพราะว่าในดอกเดียวกันมีดอกเล็กๆอีกหลายดอก ไม่รู้ใครบอกมาเหมือนกันจำไม่ได้แฮะ

... แบบนี้ก็คงไม่ใช่ตัวแทนของเราอ่ะสิ อิอิ

ใครคิดอะไรออกว่าฝนจะมาพร้อมกับอะไรก็ช่วยๆกันเขียนหน่อยนะ หุหุ
ห้ามตอบว่า "เธอมากับฝน" เพลงมันเก่าแล้ว เหอๆ

Monday, June 02, 2008

เวลาชีวิตที่มักจะเดินไปเร็วกว่าปกติเสมอ

“โบว์เข้าห้องน้ำก็เร็วเนอะ”

เสียงพี่มามิพูดในขณะที่เรากำลังเดินออกจากห้องน้ำในร้านอาหารหลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ

นั่นสิ ... เพิ่งจะสังเกตว่าเรามักจะเป็นคนที่ทำอะไรเร็วเสมอในเกือบทุกๆเรื่อง

เรื่องกินคนส่วนใหญ่ที่เคยร่วมโต๊ะกันคงรู้อยู่แล้ว กินเร็วจนผู้ชายกลัว
เคยไปนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับชายฉกรรจ์สี่คน หลังจากที่จัดการข้าวแกงกะหรี่หมดเป็นคนแรกของโต๊ะ ชายหนุ่มหนึ่งในสี่คนนั้นถามเราว่า “น้องโบว์หิวมากเลยเหรอ” เหอๆ

เรื่องกินเร็วนี่เหมือนจะรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กๆแล้วว่า สปีดการนำอาหารเข้ากะเพาะจะเร็วกว่าคนอื่นเสมอ จำได้ว่าประมาณเจ็ดแปดขวบนี่แหละ ไปทานข้าวกับที่บ้าน มีลุงป้าน้าอาไปด้วยเต็มไปหมด เราสั่งช็อคโกแลตซันเดย์ ระหว่างที่กำลังจะนำช้อนที่ตักไอติมเข้าปากเป็นคำแรกมีเสียงท้าทายจากพี่ชายเราว่า “ถ้ากินหมดถ้วยนี้ภายในเจ็ดนาทีให้สามร้อย” ...

ตอนนั้นก็คิดนะว่า ‘จะบ้าเหรอเจ็ดนาทีใครมันจะไปกินหมด’

ก็เลยค่อยๆละเลียดกินตามสปีดปกติไปเรื่อยๆ ไม่ทันไรพอหมดถ้วย พี่ชายเรายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู สรุปแล้วเราใช้เวลาเพียงสามนาทีกว่าๆเท่านั้นในการจัดการกับช็อคโกแลตซันเดย์ถ้วยใหญ่

ส่วนเงินสามร้อยนั้นถ้าจำไม่ผิด ... รู้สึกว่าจะไม่ได้นะ เหอๆ

เข้าห้องน้ำเร็วนี่ก็เคยทำผู้ชายอายมาแล้ว ... ออกมาก่อนผู้ชายที่เข้าไปพร้อมกัน เหอๆ ...
แต่เรื่องเข้าห้องน้ำเร็วนี่มีสาเหตุนะ ... จำได้ว่าสมัยอยู่เซนต์ฟรังฯ เวลาพักจะมีคนต่อแถวเข้าห้องน้ำเยอะมากๆๆๆๆๆๆ ... ตอนนั้นก็คิดนะว่าเราจะต้องรีบเข้าให้มันเร็วๆ คนข้างหลังจะได้ไม่ต้องรอนาน

อันนี้เรื่องจริงนะ .. หลังจากนั้นเลยติดนิสัยเข้าห้องน้ำเร็ว

มีอะไรอีกล่ะ ... ทำข้อสอบเร็ว มักจะออกจากห้องเป็นหนึ่งในสามคนแรกเสมอไม่ว่าจะวิชาอะไร
ตอนสอบเข้าเตรียมฯ เคยทำพ่อตกใจมาแล้ว พ่อโกรธเลยว่าทำไมมันไม่ตั้งใจออกจากห้องสอบมาเร็ว เหอๆ สอบเอ็นท์ก็ยังไม่เว้น ดิฉันทำข้อสอบเสร็จนั่งกินข้าวหมดไปหนึ่งจานพร้อมขนมอีกหนึ่งถ้วยเพิ่งจะหมดเวลาสอบ

พูดเร็ว ... อันนี้ขอโยงกับการคิดเร็วละกัน เหมือนคิดอะไรได้เร็วอ่ะ กลัวจะพูดไม่ทันเลยรีบๆพูด เดี๋ยวลืม 5555+ (คิดยังงั้นจริงๆนะ -_-") โดนแม่ด่าเสมอเพราะมันเสียบุคลิก จะรีบพูดไปไหน เหอๆ

พิมพ์เร็ว ... เวลาทำรายงานมักได้รับหน้าที่ให้เป็นคนพิมพ์เสมอ เพราะมันพิมพ์เร็วมากกกกกก
เลยโง่มาจนถึงทุกวันนี้ งานใช้สมองไม่เคยใช้ ใช้แรงงาน (นิ้วอย่างเดียว) อันนี้พิมพ์เร็วเนื่องจาก
เล่น ICQ ตั้งแต่เด็กๆ ... แช็ทเยอะ คิดเร็วไง เลยต้องพิมพ์เร็วไปด้วย เดี๋ยวมันไม่ทันสิ่งที่อยากพูด ฮ่าๆๆๆ
แต่สังเกตได้ว่าพิมพ์ผิดบ่อยและเยอะมาก แบบว่าเ็ร็วเิกิน เหอๆ

เดินเร็ว ... อันนี้ขอบอกว่าสูสีคนญี่ปุ่น ใครว่าคนญี่ปุ่นเดินเร็วเหมือนตามควายขนาดไหน ดิฉันเดินแซงเสมอ ... เวลาไปเดินกะผู้ชายสองคน (เอาผู้ชายมาเปรียบเสมอ เหอๆ) คนที่เดินไปด้วยมักจะตกใจ เพราะปกติผู้ชายจะก้าวยาวกว่าแล้วเดินเร็วโดยไม่รู้ตัวมักจะโดนผู้หญิงที่ไปด้วยด่าเสมอ แต่กรณีนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับดิฉัน เพราะดิฉันไม่เคยเดินตามไม่ทัน เหอๆ

ทำรายงานเร็ว ... คือชอบทำไรให้มันเสร็จเร็วๆอ่ะ ไม่ชอบกังวลหลายวันก็มักจะกำหนดไว้เลย เหมือนวางแผนไว้แหละว่าวันนี้ถึงวันนี้ชั้นจะทำวิชานี้นะ ต่อมาชั้นจะทำวิชานี้นะ แล้วก็จะเสร็จเร็วก่อนกำหนด

เคยมีี่พี่คนนึงบอกว่าน้องโบว์เป็นคนที่มีพลังเยอะเสมอ ที่ดูมีพลังเยอะเสมอนี่เพราะเราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วดูรีบร้อนหรือเปล่านะ
พอรีบร้อนเลยเหมือนพลังเยอะ ไฮเปอร์ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

แต่บางที่การทำอะไรเร็วๆเสมอของเราก็เป็นข้อเสียเหมือนกันนะ

ทำอะไรเร็วนี่ ... อาจะเรียกได้ว่าใจร้อนหรือเปล่านะ
อะไรไม่ทันใจเนี่ยจะหงุดหงิดสุดๆ แบบอยากรู้ไรต้องรีบๆรู้ ไม่อยากเก็บไปคิดหลายวัน

แบบเมื่อก่อนตอนทะเลาะกับแฟน มันจะต้องให้ได้คำตอบเดี๋ยวนั้นเลย ใจร้อน .. แล้วไอ้การรีบคะยั้นคะยอคำตอบเนี่ย มันมักจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ แล้วมักจบท้ายด้วยความวิบัติ เหอะๆ

มานั่งคิดๆดูนะ ... ทำไมตูจะรออีกหน่อยนึงให้มันหายอารมณ์เสีย หรือหายโกรธก่อนแล้วค่อยมาคุยกันไม่ได้หรือไงว้าาาาา ก็รู้ทั้งรู้อะไรที่มันมีอารมณ์มาเจือปนเนี่ย มันมักจะเปิดโอกาสให้เจ้า “อารมณ์” เนี่ยวิ่งมาบังนางเอกที่ชื่อว่า “เหตุผล” เสมอ

เคยบอกตัวเองหลายครั้งนะว่าเลิกได้แล้วไอ้นิสัยคะยั้นคะยอคำตอบเนี่ย เพราะจริงๆแล้วมันไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นหรอก
บางอย่างมันก็ต้องช้าๆอ่ะนะ ... พี่ป็อปเคยส่งเพลง "หยดน้ำ" ของพี่เบิร์ดมาให้ฟัง
มันก็จริงเน๊อะ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ... แต่ไม่รู้ทำไม ขจีภรณ์บอกตัวเองยังไงก็ไม่เคยทำได้สักทีโดยเฉพาะเมื่อเวลาที่มีอารมณ์มาบังคับจิตใจ


*********************************************


พยายามปลอบตัวเองว่าที่ตัวเองเป็นแบบนี้ก็เพราะเวลาชีิวิตของเราเดินไปเร็วกว่าคนอื่นเสมอ
แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ใช่หรอก ... เพราะเวลาของคนทุกคนนั้นเดินไปพร้อมๆกัน

และถึงแม้เวลาจะไม่สามารถย้อนกลับมาได้ เวลาในอนาคตที่กำลังจะมาถึงเราก็จะสามารถควบคุมมันได้เสมอ
เพื่อที่จะไม่ให้มันเดินเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป

เพียงแค่เรารู้ตัวเองเสมอในการกระทำ ... เท่านั้นก็น่าจะพอ

เฮ้อ ... ต่อไปจะค่อยๆคิดแล้วค่ะ