หลายๆคนคงได้รับทราบปัญหาของเรามาสักพักใหญ่แล้ว
ตอนนี้ ใกล้จุดตายเข้าเต็มที แต่เราดันต้องมาอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเรากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ก็ขอเล่าให้ฟังคร่าวๆก่อนแล้วกัน
เมือเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เราสมัครหลังสูตรปริญญาโทของมหาวิทยาลัยวาเซดะที่โตเกียวไว้ โดยได้สมัครทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (แบบ recommend - หมายถึงทางมหาวิทยาลัยจะคัดเลือกและแนะนำเราให้กับทางทุนและทุนก็จะให้ตังค์เรามา)
โดยเหมือนเราได้เคยบอกไว้กับทุกคนแล้วว่า ชีวิตหนึ่งปีของเราในญี่ปุ่นน่ะ เราว่ามันพอแล้วล่ะ เราเบื่อแล้วไม่อยากกลับไปเรียนที่ญี่ปุ่นอีกแล้ว (หนึ่งเบื่อแล้ว สองเที่ยวหมดแล้ว สามถ้าไปเรีัยน IR เราว่าไปเรียนที่อื่นดีกว่า) แต่ที่สมัครไปก็ด้วยหวังว่าจะได้ทุนแล้วจะช่วยแบ่งปันค่าใช้จ่ายของทางบ้านได้
แต่เหมือนฟ้าลงโทษ ... สองเดือนต่อมาทางมหาวิทยาลัยวาเซดะตอบรับเราเข้าไปเรียน แต่ทว่าไม่ได้ให้ทุนการศึกษากับเรา นั่นก็หมายความว่าทางครอบครัวของเราต้องเป็นคนจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก ฯลฯ
เรา ... ตั้งแต่แรกแล้วได้บอกพ่อกับแม่ไว้ว่า เนี่ยถ้าไม่ได้ทุนจะไม่ไปนะญี่ปุ่นเนี่ย
เพราะอย่างที่บอก ไม่อยากไปแล้วญี่ปุ่น และัอีกอย่างเราอยากไปเรียนยุโรปมากกว่า ตั้งแต่เด็กๆเลยนะไม่เคยคิดเลยว่าจะอยากไปเรียนต่อญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าจะบ้าการ์ตูนญี่ปุ่น หรือดูละครญี่ปุ่นก็ตาม
แต่ ... เมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว พ่อกับแม่ก็อยากให้เราไปอยู่ดีั โดยมีเหตุผลว่าไปอยู่ญี่ปุ่นแล้วปลอดภัย อีกอย่างเีรา่เคยไปอยู่มาแล้ว มีเพื่อนแล้ว ภาษาก็พอได้แล้ว แล้ววาเซดะก็เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงนะ ฯลฯ
เราไม่ว่าจะยกเหตุผลต่างๆนานาอย่างไรมาอธิบายอย่างไร เช่นว่า เราอยากจะได้ทุนมากกว่า เราเลยกะว่าปลายปีนี้เราจะสมัครโครงการนี้ใหม่ รวมถึงจะสมัครทุนไปยุโรปด้วย ช่วงเวลาที่ว่างๆอยู่นี่เราจะไปฝึกงานที่ UNESCO ... แต่พ่อกับแม่ก็ยืนกรานว่าจะให้เราไป...
โดยแม่ก็ได้พูดออกมาว่า "ถ้าโบว์ไปญี่ปุ่นปะป๊าก็จะสบายใจ แต่ถ้าไปยุโรปโบว์ทนได้เหรอที่จะเห็นปะป๊าคอยเป็นห่วง ทำงานไม่รู้เรื่องแล้วคอยมานั่งคิดว่าโบว์จะเป็นยังไงบ้าง โบว์อยากให้ปะป๊าเป็นห่วงเหรอลูก"
.........
มาถึงตรงนี้ เราก็พูดไม่ออก
และไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป
วันจันทร์จะต้องโอนเงินแล้ว เราไม่รู้ว่าเราควรจะฝืนใจตัวเอง ไปเรียนทั้งๆที่ยังไม่พร้อม และในใจก็ยังอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่า หรือ ตามใจพ่อแม่เพื่อจะให้เค้าสบายใจดี
...................................................................................
เมื่อกี้แม่เพิ่งจะงอนออกไป โดยที่บอกเราว่าถ้าเราไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปนะ เพราะถ้าเป็นยังไงปะป๊ากับแม่จะบาปมากเลยนะที่ทำให้ลูกทุกข์
แต่เราก็อยากจะบอกแม่ว่า
ถ้าเราไม่ไป เราก็คงจะบาปที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ และที่ต้องทำให้พ่อเป็นห่วงเหมือนกัน
5 comments:
เข้ามาให้กำลังใจนา ลูกโบว์
อืมม คงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจลำบากอยู่
อย่าเครียดมากนะ
อาจจะลองคุยกับป๋าใหม่ ว่าปีหน้าก็ยังมีโอกาส
เพราะคนที่ไปญี่ปุ่นมาแล้ว ยังงัยก็มีโอกาสมากกว่า
เราอยากได้ทุน เพื่อความภูมิใจของป๋าม้า เหมือนกัน
แล้วก็บอกในทำนองว่าเราก้อยังอยากไปญี่ปุ่นอยู่
สุดท้ายก็ต้องเป็นโบว์นะ ที่จะมาเรียน มาใช้ชีวิต
ถ้าคิดว่ามาแล้วทุกข์มากกว่าสุข ป๋าม้าจะทุกข์กว่านะ
สู้ๆจ้า
ขอปีารอทุนอีกปีดีป่ะ
เพราะยังไงก็ขอทุนไปญี่ปุ่นอยู่ดี
แตปีนี้อยากทำงาน อะไรก็ว่าไป
เป็นลูกสาว อ้อนๆ หน่อยจิ
อืมม์ ก็พ่อแม่อะนะ คงคิดหนัก
แต่พี่สนับสนุนว่าให้สอบทุนให้ได้
จากประสบการณ์เด็กทุนพก.
อยู่ญี่ปุ่นโดยที่ต้องประหยัดเนี่ย
บางทีมันก็ไม่ค่อยมีความสุขเหมือนกัน
(ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดีมากกกกกก
ถ้ามาเงินเหลือใช้)
แล้ววาเซดะมันก็แพงกว่ามหา'ลัยรัฐซะด้วย
แต่จริงๆ พี่ก็โดนทางบ้านกดดันเหมือนกัน
เพราะดันสอบทุนมงฯ ไม่ได้สองปีซ้อน
จริงๆ จะรอปีหน้า
แต่ที่บ้านบอกว่าเสียเวลา
แต่พี่ว่าถ้าเราจะได้ฝึกงานใน UNESCO ล่ะก็
มันเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ
พี่ก็ทำงานซักพัก ถึงจะไปเรียนต่อเหมือนกัน
ไม่ต้องรีบเรียนหรอก
ถ้าพี่พูด ป๊าจะเชื่อพี่มั้ยน้าาาา (แต่สงสัยจะไม่มีผล... อุตส่าห์ช่วยคิดไปตั้งเยอะแล้วอ่ะเน๊อะ)
เห็นใจโบว์นะ เพราะว่าสุดท้ายสิ่งที่ได้หรือเสียกับการตัดสินใจครั้งนี้มันอยู่ที่โบว์ ตอนก่อนพี่มาเรียนพี่ก็มีเคืองๆกันกับแม่เหมือนกัน เหตุผลคล้ายๆป๊าคืออยากให้มาเรียนเร็วๆ แต่เราก็หัวชนฝา อยากทำงาน อยากรอทุนก่อน ให้กรอบไว้สองปี ถ้าระหว่างนั้นยังหาทุนไม่ได้ ก็จะยอมไปด้วยทุนแม่ โชคดี... มาได้ซะก่อน
พี่มองวิธีการของวาเซดะครั้งนี้ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ วาเซดะเป็นมหาวิทยาลัยมีคุณภาพ มีชื่อเสียงก็จริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้ามีปัญญา+มีเงิน ก็เข้าได้ไม่ยากหรอก ที่สำคัญพี่เห็นด้วยกับโอ๊คนะ โอ๊คจะเป็นคนบอกโบว์ได้ดีที่สุดว่าการใช้ชีวิตในโตเกียวโดยไม่มีทุน มันเป็นยังไง ถ้าที่บ้านโบว์คิดว่าการให้โบว์มาเรียนที่ญี่ปุ่นจะทำให้เค้าสบายใจ โบว์ตั้งข้อแม้กับที่บ้านได้มั้ยว่า "ถ้าไปเรียนที่ญี่ปุ่น โบว์ขอเวลาภายในกี่ปีๆ ขอโอกาสให้โบว์หาทุนก่อน ถ้าภายในช่วงนี้หาไม่ได้ ก็จะยอมไปเรียนด้วยเงินป๊ากับม๊า"
ประเด็นที่สอง... ป๊ากับม๊าอาจจะไม่รู้่ว่าจริงๆตอนนี้สังคมที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อนนะ ความปลอดภัยถึงแม้ว่าจะยังถือว่ามีเยอะกว่าประเทศอื่นๆหลายๆที่ แต่พี่ว่ามันแย่ลงเยอะในช่วงสามสี่ปีนี้ และก็คงจะแย่ไปเรื่อยๆ ข่าวฆาตกรรม ข่าวอาชญากรรมมีออกทีวี ลงหนังสือพิมพ์ตลอด แต่ละคดีกึ่งโรคจิตด้วยซ้ำ ปัญหาที่เกิดกับระบบการทำงานขององค์กรในญี่ปุ่นมันก็เริ่มแดงออกมาที่ละเรื่อง สองเรื่อง ethical issues ในหลายๆอย่างก็แย่ลงเยอะ คนเห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเองมากขึ้น ฯลฯ ถ้ามองในมุมนี้ บางครั้งพี่ยังรู้สึกเลยว่า สังคมที่นี่ไม่น่าอยู่นะ เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่คนอื่นทำ เค้าทำด้วยความคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือว่าทำเพราะว่ากฏเกณฑ์ทางสังคมบีบให้ทำ จะได้ดูเหมือนว่าเป็นคนดี เรียน IR ด้วยกรอบความคิดแบบนี้ จะไหวรือออออ (หรือว่าเน้นสร้างภาพอยู่แล้ว.. อิอิ)
ถ้าเป็นไปได้... ให้ป๊ากับม๊ามาอ่านบล๊อกโบว์ก็ได้นี่ เผื่อจะได้มี third++ opinion ว่าพี่ๆ เพื่อนๆ คนอื่นๆคิดเห็นกันยังไง เผื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ หรืออาจจะทำให้เข้าใจโบว์มากขึ้น
ตัดสินใจครั้งนี้ครั้งเดียว บ่งบอกอนาคตเราไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี (หรืออาจจะนานกว่านั้น) เพราะฉะนั้นคิดดีๆ ถ้าเราคิดว่าจะรับกับมันได้ ก็ต้องยอมรับ ถ้าคิดว่าจะรับกับมันไม่ได้ ก็ต้องยอมค้าน โบว์เชื่อมั้ยว่าความสุขของพ่อกับแม่ก็คือการได้เห็นลูกมีความสุข ได้เห็นลูกประสบความสำเร็จ? พี่เชื่อว่าไม่ว่าโบว์เลือกทางไหน โบว์จะทำให้ท่านภูมิใจได้ ขอให้ทบทวนดีๆว่าสิ่งที่เลือก จะเป็นสิ่งที่จะทำให้เราเสียใจภายหลังรึเปล่านะ ถ้าตัดใจเลือกแล้ว ก็เดินหน้าต่อไป อย่าให้มีคำว่า "ตอนนั้น เราน่าจะ..."
พี่เอาใจช่วย
เครียดน่าดูเลยนะ...ก็อยากให้โบว์คิดดีๆคิดนานๆ
แต่จริงๆแล้วอยากให้ลองมีโอกาสฝึกงานหรือทำงานก่อน ทั้งให้ตัวเองมีเวลาคิดตัดสินใจและให้มีประสบการณ์มากขึ้น ลองประสบการณ์ใหม่ๆ ชีวิตทำงานกับชีวิตเรียนต่างกันมากๆๆๆๆๆๆ
ขอยกตัวอย่างเพื่อนเราจบแล้วไปเรียนต่อโทเมกาเลยมุ่งมั่นมากๆ เต็มใจและตั้งเป้าตั้งแต่แรก แต่กลายเป็นว่าตอนนี้อยากเลิกเรียน อยากทำงานแทน.....
ส่วนเราก็มาค้นพบว่าจริงๆแล้วหลังจากทำงานมาปีกว่าก็คิดถึงการเรียนมากคิดถึงการอ่านหนังสือการทำproject ตอนนี้ก็ได้มีเวลามาพักมาคิดเรื่องเรียนต่อ.....
การตัดสินใจที่ดีมันก็ไม่ถูกเสมอไปหรอก แต่อย่างที่พี่ใหม่บอก...อย่าให้มีคำว่า "ตอนนั้น เราน่าจะ..."
ขอให้มีความสุขกับการตัดสินใจนั้นนะจ๊ะ
Post a Comment