อ่านภาคหนึ่งเรื่องฮอลแลนด์ได้ที่นี่ค่ะ
................................................................................
มาอ่านกันต่อนะ..
วันที่ 2 พฤษภาคม ออกเดินทางออกจากบ้านกิ๊ฟท์ และเมือง Utrecht โดยรถบัสของบริษัท EuroLine เดินทางไปยังเมือง Brussels ประเทศ Belgium
บรัสเซลส์เป็นเมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยม และเป็นศูนย์กลางอย่างไม่เป็นทางการของสหภาพยุโรป
เขตตัวเมืองบรัสเซลส์มีประชากรประมาณ 140,000 คน แต่เขตมหานครบรัสเซลส์มีประชากรประมาณ 2 ล้านคน
เบลเยียมเป็นประเทศที่มีการแบ่งเขตของประชากรที่พูดภาษาดัทช์ (ทางเหนือ) และภาษาฝรั่งเศส (ทางใต้) โดยมีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน บรัสเซลส์นั้นอยู่ในเขตของดัทช์ แต่ภาษาอย่างเป็นทางการนั้นใช้ทั้งสองภาษา
บรัสเซลส์เป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง หน่วยงานสำคัญของสหภาพยุโรป 2 หน่วยงาน คือ คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) และคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (Council of the European Union) ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงบรัสเซลส์ นอกจากนี้บรัสเซลส์ยังเป็นที่ตั้งของนาโต (NATO) อีกด้วย ทำให้หลายประเทศมีสถานทูตในบรัสเซลส์ถึง 3 แห่ง คือ สถานทูตปกติของแต่ละประเทศ สถานทูตประจำสหภาพยุโรป และสถานทูตประจำนาโต
เมื่อไปถึงบรัสเซลส์ ก็เข้าที่พักก่อน เรากับกิ๊ฟท์เข้าพักที่ Youth Hostel ชื่อ Vincent Van Goh (แต่ไม่แนะนำนะ ใครจะไปก็อย่าไปพักมันเลย เหอๆ)
หลังจากนั้นก็เริ่มการผจญภัย โดยการหยิบแฟนที่คนละใบจากที่พัก แล้วก็ให้เจ้าหน้าที่วงสถานที่สำคัญต่างๆ แล้วก็ใช้บัตรบุฟเฟต์โดยสารอะไรก็ได้ตลอดวันที่ซื้อมาจากสถานีรถไฟ นั่งรถราง ต่อด้วยใต้ดิน (เห็นไหมมันมั่วมาก หลายต่อเหลือเกิน) ไปลงที่ Central station
เอาล่ะสิ.. แล้วไงต่อ
ตอนนันก็งงกันสักพัก คือสองคนนี้เป็นคนที่ดูแผนที่เก่งมากกกกกกก อาศัยเห็นอะไรสูงๆก็เดินตามไป
เอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ เดินตามๆ แล้วจู่ๆก็ฟลุ้คมาเจอสถานที่สำคัญ นั่นก็คือ Saint Michael and Gudula's Cathedral
Saint Michael and Gudula's Cathedral เริ่มต้นสร้างขึ้นในปี 1047 โดย Lambert II, Count of Leuven และถูกปรับปรุงให้มีลักษณะศิลปะแบบโกธิคในสมัยศตวรรษที่ 13
หลังจากนั้น เนื่องจากว่าจะบ่ายสามแล้ว (มัวแต่หลงอยู่) ยังไม่มีอะไรลงท้องน้อยๆของสองคนเลย เลยเอาวะ..กินอะไรก็ได้ เดินเจอร้านแซนด์วิชแถมนั้นก็เลยเข้าไป และได้โอกาสถามทาง คนที่ร้านก็ช่วยได้เป็นอย่างดี (แต่ช่วยทำอาหารให้อร่้อยไม่ได้อ่ะนะ) ทำให้เรารู้ว่าต่อไปเราจะเดินไปทางไหน
นั่นก็คือ... เดินตามกรุ๊ปทัวร์ไป 55555
แต่ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะว่ามันทำให้เราได้พบกับสถานทีสำคัญที่หนึ่งในบรัสเซลส์ นั่นก็คือ Grand Place หรือ Grote Markt
บริเวณนั้นมีกรุ๊ปทัวร์พูดภาษาอังกฤษมากมาย ทำให้้เราได้รับอานิสงค์ไปด้วย และไปเจอกับรูปปั้นที่เึ้ค้าบอกว่าถ้าลูบแล้วจะโชคดี แต่เรากับกิ๊ฟท์กลัวเป็นหิดเลยได้แต่มองอยู่ห่างๆ เหอๆ
สถานที่ที่สำคัญอีกที่หนึ่งในกรุงบรัสเซลส์ ก็หนีไม่พ้นที่จะเป็นรูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis)! ซึ่งทุกๆคนคงจะเคยได้เห็นหรือรู้มาจากที่ไหนกันมาก่อนกันบ้างใช่ไหม เราก็ได้ยินมานานแล้ว แล้วก็ได้ยินมาแล้วว่ามันเล็ก ก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะว่ามันจะเล็ก (ตัวเล็กนะ ... เอ๊ะ คิดอาร๊ายยย~)
เลยเดินตามฝูงชนเพื่อจะไปพบกับเด็กฉี่
แต่.....
ไม่คิดว่า....
มันจะเล็กขนาดนี้...
แบบว่า เกือบเดินผ่าน เหอๆ ช่างไม่ได้ตั้งอยู่ตรงจุดที่มีจุดสนใจใดๆทั้งสิ้น อยู่ในซอกมุมตึกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง
ตำนานของเจ้าเด็กฉี่ตัวนี้ก็ว่ากันมาหลากหลาย แต่ตำนานที่เราได้ยินมาก็คือตำนานที่เล่าว่้าในช่วงศตวรรษที่ 14 บรัสเซลส์ถูกยึดครองโดยต่างชาติ และมีัผู้วางแผนที่จะวางระเบิดถล่มกำแพงเมือง เด็กน้อยชาวบรัสเซลส์คนหนึ่งชื่อว่า Juliaanske ติดตามลุคคลเหล่านั้นในขณะที่กำลังวางแผนอยู่ เด็กน้อยจึงฉี่รถเปลวเพลิงและช่วยเมืองบรัสเซลส์เอาไว้ได้ ... จบ
นอกจากนี้เจ้าหนูนี่ยังเปลี่ยนเสื้อผ้าไปตามเทศกาลต่างๆด้วยนะ ได้ยินว่าตอนวันแรงงานที่ผ่านมาก็ใส่เสื้อ แต่ตอนที่เราไปถึงมันไม่มีเทศกาลอะไรเป็นพิเศษ ก็เลยโป๊ไปตามระเบียบ แต่ก็สงสัยนะ.. ว่าวันคริตมาสต์มันจะแต่งตัวเป็นซานตาครอสหรือเปล่า เหอๆ
หลังจากนั้นเราก็เดินไปที่ตึก the stock exchange
ตึกนี้ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี 1868 - 1873 ซึ่งได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ L. -P. Suys ซึ่งตึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนในการปรับปรุงเมืองใหม่ และเป็นส่วนหนึ่งในการขยายการค้าในเมืองบรัสเซลส์อีกด้วย
เดินจนเหนื่อย... ไปกินของขึ้นชื่อของเบลเยี่ยมกันดีกว่า วาฟเฟิลลลลลล~
รวมถึงช็อคโกแลตตตตต~
ระหว่างนั้นก็ช่างบังเอิ๊ญบังเอิญเจอพี่คนไทยเพื่อนกิ๊ฟท์ คือพี่ท็อปที่พาครอบครัวมาเที่ยวพอดี เราสองคนเลยขอร่วมวงไพบูลย์ด้วย เนื่องจากเดินสองคนชักจะไม่ปลอดภัย เหอๆ (ไว้จะเล่าให้ฟังตอนหลัง) แล้วก็ไปดู Grand Place ตอนกลางคืนกัน
คืนนั้นตอนแรกกะว่าจะไปดูเทศกาลดนตรีที่อยู่แถวที่พักของเรากัน แต่ว่าท่าทางโชคชะตาจะไม่เป็นใจ นั่งรถะเมล์หลงทาง!!! ออกไปนอกเมืองโน้นนนนน ดีนะไม่หลงคนเดียว แต่มีเพื่อนร่วมหลงทางด้วยอีกสาม เหอๆ ไม่งั้นอาจสติแตกได้ กว่าจะรู้ตัวว่าหลงทางก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว คนลงจากรถเมล์ไปเกือบหมด แต่ดีนะรถไฟต่างๆมันหมดตีหนึ่ง ไม่งั้นตอนนี้อาจเป็นเด็กขอทานอยู่ในเบลเยี่ยม เหอๆๆๆๆ
และแล้วก็ไปถึงสถานที่จัดแสกงดนตรี แต่ในวันนั้นมันยังไม่มีแสดงเลย งานนี้โทษเจ้าหน้าที่ที่พักเต็มๆเลยยยย เพราะฉะนั้นอย่าไปพักมันนะ เหอๆๆๆ
............................................................................
วันที่ 3 พฤษภาคม
วันนี้ตอนเช้าก็แอบมีหลงทางอีกเล็็กน้อย แต่ก็พอเอาตัวรอดได้ เหอๆ
เริ่มที่แรกที่ไปคือ Belgian Centre for Comic Strip Art หรือพิพิธภัณฑ์การ์ตูนของเบลเยี่ยม
ถ่ายกับ Astrix จำได้กันไหม
มาพิพิธภัณฑ์นี้ทำให้รู้หลายอย่างว่าการ์ตูนหลายเรื่องที่เรารู้จักกันเนี่ยเป็นคนเบลเยี่ยมวาดนะเนี่ย เช่น ตัวการ์ตูนที่นึกว่าเป็นของฝรั่งเศสมาตลอดคือ Tintin ก็เป็นของเบลเยี่ยมเหรอนี่
รวมถึง Smuf ด้วย
วาฟเฟิลก็ถูกเอามาวาดการ์ตูนหลายครั้ง
นอกจากนี้ก็ยังมีการ์ตูนเสียดสีการเมืองมาโชว์ด้วยนะ
สุดท้ายแอบไปถ่ายรูปกะตุ๊กตาในร้าน เหอๆๆ ไม่มีตังค์จะซื้อ
กิ๊ฟท์กับ Smuf
เรากับน้องหมาสีขาวของ Tintin ชื่อ Snowy
หลังจากนั้นก็นั่งคิดกันอยู่สักพักว่าจะไปไหนต่อดี เพราะว่าจริงๆแล้วบรัสเซลส์เที่ยววันเดียวก็หมด เลยตกลงไปกันที่ the Royal Palace
แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ๆกษัตริย์ของเบลเยี่ยมประทับอยู่หรอกนะ เพราะที่จริงแล้วพระองค์ทรงประทับอยู่ที่ Royal Castle of Laeken ซึ่งอยู่ที่ชานเมืองของบรัสเซลส์
นอกจากนี้ตรงสวนข้างหน้าวังยังมีนิทรรศการรูปถ่ายที่บังเอิ๊ญบังเอิญจัดตอนนั้นพอดี เลยแวะไปเดินชมสักหน่อย
กิ๊ฟท์กับรูปป่าหัวใจในฝรั่งเศส
เรากับรูปดอกไม้ที่ความจริงโกร๋นไปหมดแล้วววว ในฮอลแลนด์ แงแงแง
สุดท้ายมีรูปเมืองไทยอยู่หนึ่งรูป
ให้ทายก็ทายไม่ถูกว่าเรื่องอะไร....
นั่นก็คือรูป........
ปลาเค็ม..
อำลาบรัสเซลส์ด้วยรูปสุดท้าย คือ St. Jacques' Church at the Coudenberg
...........................................................................
ขอเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญในบรัสเซลส์ให้ทุกคนฟังกันต่อ นอกจากเรื่องที่เรา กิ๊ฟท์ และเพื่อนผู้โชคร้ายที่สองท่านได้ประสบในค่ำคืนหนึ่งในบรัสเซลส์ นั่นคือเหตุการณ์หลงทางกันมาแล้ว
เหตุการณ์ต่อไปนี้หลายๆท่านที่เคยไปบรัสเซลส์มาแล้วอาจจะไม่เคยพบเคยเห็น (เพราะไปทัวร์กันใช่ป่าวส่วนใหญ่ ไม่ก็ไปกันเยอะๆ) แต่สำหรับสาวสวยอย่างเราสองคน (แหวะ!) ได้เจอมาแล้วววว
************
1. สิ่งที่บรัสเซลส์เป็นเมืองที่ไม่ทำให้เราประทับใจนั้น ไม่ใช่เพราะว่าสถาปัตยกรรมต่างๆ (เพราะมันสวยมากจริงๆประทับใจ) แต่เป็นเพราะ "คน" ซึ่งที่สังเกตุเห็นส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกที่อพยพเข้ามาอยู่ในเบลเยี่ยมกัน (หน้าตาไม่ฝรั่งเลยซะคน)
เนื่องจากเป็นผู้หญิง เดินทางกันสองคนก็ไม่วายจะโดนคน "แซว" เริ่มจาก
"Bonjour!"
"หนีห่าว" (เวร... ไม่ใช่คนจีน)
"ซาโยนาระ" (อ่าว อะไรยังไม่ทันไรมาบ๊ายบายกันซะแล้ว"
จนถึงกระทั่ง... "อยากแต่งงานด้วยจังเลย"
เหอๆๆๆๆๆๆ น่ากลัวป่ะล่ะ ทันใดที่ได้ยินคำทักเหล่านั้นเรากับกิ๊ฟท์ก็ได้แต่ตีจากทันที
แล้วพอไปรวมตัวกับกลุ่มพี่คนไทย ก็ไม่โดนแซวอีกเลย...
****************
2. อีกเรื่องหนึ่ง คือเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก ไปคลี่เสื้อเค้าดู เค้าก็บอกให้เราดูที่แปะไว้ที่ผนัง เราก็โอเค พับเสื้อให้เค้าด้วยนะ แล้วก็เดินดูสักพัก กำลังจะเดินออก ตาลุงก็ทักบอกไม่ซื้ออะไรเหรอ.. เราก็บอกไม่อ่ะ ลุงก็หันขวับมาด่าเราเลย "นี่เป็นงานอดิเรกเธอเหรอ เข้ามาดูของในร้านเค้า คลี่เลื้อๆ แล้วก็ไม่ซื้ออ่ะฮะ" ฯลฯ
เรางง แล้วก็เดินออกไป
ลุึงท่าจะบ้า..
*****************
3. เรื่องตื่นเต้นเรื่องสุดท้าย เป็นตอนใกล้จะกลับพอดี.. เรากับกิ๊ฟท์ไปตรงตามเวลาจะขึ้นรถบัสของบริษัทเดิมกลับไปยัง Utrecht ไปถามที่ออฟฟิศ เฮียที่ฮอฟฟิศบอกว่า
"ฟังนะ.. คือเรื่องนี้เกิดขึ้นเพียงแค่สองสามปีครั้งเท่านั้นเอง ฟังก่อนนะ.."
เออออ... ฟังอยู่วววววววววววว
"คือว่า รถพัง .. แต่เรามีตัวเลือกให้คุณเลือกสองข้อคือให้คุณรอรถบัสของเรารอบสามทุ่มซึ่งจะไปถึง Utrecht ตอนตีหนึ่ง (เช้าวันต่อไปเรากลับเมืองไทย) หรือ ไปซื้อตั๋วรถไฟกลับเอง แล้วเราจะคืนเงินให้ที่เนเธอร์แลนด์เพราะสาขาเนเธอร์แลนด์เป็นคนรับเงินคุณ เบลเยี่ยมคืนให้คุณไม่ได้..."
เออ เอาล่ะสิ ถ้ากลับถึงตีหนึ่งรถเมล์จะกลับบ้านกิ๊ฟท์ก็หมดซะแล้ว แล้วจะจัดของวุ่นวายมากเนื่องจากยังไม่ได้จัดกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านใดๆทั้งสิ้น
อีกทางเลือกหนึ่งคือซื้อตั๋วรถไฟกลับเองก็ไม่รู้จะมีเงินพอหรือเปล่า เพราะกิ๊ฟท์เหลือตังค์ 50 เซนต์ เราเหลือประมาณเกือบๆห้าสิบยูโร แล้วไม่ได้เอาบัตรอะไรมาเลยยยยยย ที่เอาเงินมาน้อยและไม่ได้เอาบัตรเครดิตมาก็เพราะว่านอน youth hostel ไง นอนรวมกับชาวบ้าน กลัวมันหาย เหอๆๆๆ ด้วยความคิดเพียงชั่ววูบเท่านั้น ลำบากทีเดียว เหอๆๆๆ
เรากับกิ๊ฟท์เลยวิ่งไปถามราคาตั๋วรถไฟที่สถานีรถๆไฟ แล้วสรุปว่าเรามีตังค์พอสำหรับสองคน เลยรีบวิ่งจะไปถามรายละเอียดเรื่องรถอีกทีที่ออฟฟิศของ EuroLine เฮียคนเมื่อกี้รีบวิ่งมาตามเราแล้วก็บอกว่า "มีรถแล้วววววววว"
สรุป กลับ Utrecht และกลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพค่ะ เหอๆๆๆ
สุดท้ายขอทิ้งภาพแห่งความไม่ประทับใจของบรัสเซลส์ คือความสกปรกของรถไฟใต้ดิน (ตรงอื่นก็สกปรกนะ) ในกรุงบรัสเซลส์
........................................................................
อย่าลืมติดตามภาคสามกันต่อนะคะ จะมาอัพเดทในเร็วๆนี้ค่้ะ
4 comments:
ไม่บอกกันก่อนว่าจะไปบรัสเซล ตอนนี้พี่ทอฟฟี่ไปทำงานอยู่นั่นแหล่ะ
แกนี่ เที่ยวที เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับสถานที่นั้นได้หมดเลยว่ะ
นับถือๆ
oiiii smurf naruk makkkkkkzzzzzzzzzSSSSSSSSSS!!!!!
btw,dai PC leaw na jaaa...thank u lai+ lai+++
miss meung gun na haaaa..
yuk pai tiew mung arrrrTOT
pai read your 1st day ma...mai wai+ kor post eek rob!....IT CHAAAAAAA
frd's room souy mak (noijai jap room la!!small jing wei!)...that house gor souy mak....arghh yuk pai tiewww
Post a Comment