Sunday, December 09, 2012

โลกไร้สัญญาณ

จู่ๆโบว์ก็หายตัวไปจากเฟซบุ๊ค ทุกคนคงจะแอบตกใจ โบว์ไปเที่ยวแพกลางเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่ จ.สุราษฎร์ธานีมาค่ะ ซึ่งตอนแรกก็ไม่ทราบเลยจริงๆว่าจะไร้สัญญาณขนาดนี้ อย่าว่าแต่สัญญาณอินเตอร์เน็ทเลย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี เรียกได้ว่าถ้าเดินหลงป่าหรือจมน้ำกลางเขื่อนตายไปก็ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน

ตอนแรกที่รู้ว่าจะไร้สัญญาณคือตอนที่กำลังจะข้ามเรือจากบนฝั่งมาที่แพที่พัก วินาทีแรกที่คิดคือเราจะใช้ชีวิตได้อย่างไร เพราะนับตั้งแต่ได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า "สมาร์ทโฟน" มานั้น แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่เราจะต้องไม่เจอกัน ถ้าจะเปรียบกับความสัมพันธ์ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคู่แท้ที่ชีวิตจะขาดไปไม่ได้ เหมือนขาดเธอฉันขาดใจอะไรทำนองนั้นแหละค่ะ

โบว์เป็นคนที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยพอสมควร ทุกๆครั้งก่อนที่เดินทางโบว์จะเตรียมตัวหาข้อมูลไว้ก่อนว่าเราจะมีทางติดต่อกับสังคมของเราได้อย่างไรบ้าง มีหลายครั้งที่รู้ว่าคงจะไม่มีอินเตอร์เน็ทใช้ก็จะทำใจไว้ก่อน แต่ไม่มีสักครั้งที่จะขาดสัญญาณโทรศัพท์เหมือนอย่างในช่วงสามวันนี้

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในช่วงที่เดินทางไปรัสเซีย ตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่าตัวเองเป็นคนเสพติดสังคมออนไลน์มากๆ เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหน แวะสถานที่ท่องเที่ยวใด หรือแม้แต่รถจะติดไฟแดงเพียงแค่สองสามนาทีก็ตาม ผู้หญิงคนนี้จะต้องหยิบสมาร์ทโฟนที่แบตจะหมดแหล่มิหมดแหล่ขึ้นมาตามหาสัญญาณ Free Wifi ตอนนี้สามารถอวดได้เลยว่าสัญญาณ Wifi ไหนในประเทศรัสเซียต้องเข้าระบบยังไง ต้องกดปุ่มเปลี่ยนภาษาตรงไหน เรียกได้ว่าชำนาญมากๆ ..... อาจจะเป็นเพราะว่าในตอนนั้นโบว์รู้สึกว่ามีใครบางคนที่กำลังรอการติดต่อจากเราอยู่ ทำให้แรงขับเคลื่อนในการหาสัญญาณอินเตอร์เน็ทมีมากขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ

...ต่างจากช่วงชีวิตสามวันปราศจากสัญญาณที่บนแพกลางเขื่อนเชี่ยวหลาน ทางตอนใต้ของประเทศไทย ซึ่งใช้เวลาเดินทางมาถึงเพียงสองสามชั่วโมง

ระยะทางที่ใกล้กว่าไม่รู้กี่สิบเท่า แต่กลับมีความรู้สึกห่างไกลมากกว่าเดิม ตอนนี้ความกระวนกระวายใจในการที่จะต้องตามหาสัญญาณนั้นกลับน้อยลงไปอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะว่าภายในใจนั้นรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้มีใครบางคนที่รอคอยเพียง text สั้นๆ ที่มาบ้างไม่มาบ้างจากเราอยู่ ที่โบว์เรียกมันอย่างมีความสำคัญว่าการติดต่อที่ถึงแม้จะสั้นๆแต่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายที่เกิดขึ้นเพราะความพยายามอย่างแรงกล้าของคนส่ง

ชีิวิตไร้สัญญาณของโบว์สามวันเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่มีความหมาย โบว์ยังแอบเสียดายนิดๆที่เอาหนังสือที่ดองไว้รอการเปิดอ่านที่บ้านมาน้อยเกินไป เพราะเมื่อไม่มีสัญญาณแล้วเราก็จะทำสิ่งที่เราอยากทำได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคอยหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเฟซบุ๊คตลอดเวลาอย่างทุกวันนี้

ตอนนี้ก็กลับมาคิดได้ว่าจริงๆแล้วคนที่มีสังคมมากๆอย่างโบว์กลับมีความต้องการที่จะออกจากสังคมและทำตัวขาดการติดต่อ และนั่งดูดาวอยู่ตามลำพังบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่รู้ว่าเราไม่ต้องมาคอยกังวลรอคอยความเป็นไปได้ที่ว่าจะมีข้อความถูกส่งมาหรือไม่ส่งมาอยู่อย่างไร้จุดหมาย

ตอนนี้เลยกำลังคิดอยู่ว่าจะมีที่ไหนอีกบ้างที่จะจู่ๆเราสามารถหนีออกไปสักระยะ และขาดการติดต่อได้อีก เพราะตอนนี้โบว์รู้สึกชื่นชอบความเชื่องช้าของเวลาที่เดินผ่านไปแบบนี้เสียแล้วล่ะค่ะ

แต่ขอเป็นที่ๆอากาศเย็นๆหน่อยนะ เพราะที่นี่ร้อนจริงๆแทบขาดใจ :)))

ปล. เกิดการค้นพบอย่างหนึ่งในช่วงที่นั่งร้อนอยู่ (เพราะไฟฟ้ามาเป็นเวลา) และให้ไอโฟนแรนดอมเพลงไปเรื่อยๆ ว่าการฟังเพลงแจ๊ซช่วยทำให้รู้สึกเย็นขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ .... มีใครมีทฤษฎีสนับสนุนสมมติฐานนี้ไหมคะ???

Saturday, November 24, 2012

รีวิวเครื่องดัดขนตาไฟฟ้า Panasonic รุ่น EH-SE60

พอดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซื้อเครื่องดัดขนตาไฟฟ้ามาเลยมีเพื่อนๆอยากจะให้รีวิวให้ชมว่าเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เลยจัดให้ค่ะ

ก่อนหน้านี้โบว์เคยใช้เครื่องดัดขนตาไฟฟ้ามาอยู่แล้วแต่เป็นรุ่นเก่าค่ะ ได้ซื้อรุ่นใหม่มาหน้าตาแปลกไปเยอะเลย ประกอบกับได้ไปลองเทสต์ของแล้วชอบเลยไปถอยมาค่ะ (ตัวซ้ายคือรุ่นเก่าที่ใช้มาอยู่หลายปี ตัวขวาคือตัวใหม่ค่ะ)


วันนี้ิจะรีวิวตัวนี้ค่ะ เครื่องดัดขนตาไฟฟ้า Panasonic รุ่น EH-SE60 ใหม่ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวที่เมืองไทยและพร้อมกันทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา


วิธีการใช้ของเครื่องดัดขนตารุ่นนี้คือต้องเปิดรอสักพักให้สีม่วงๆเปลี่ยนสีเป็นสีชมพูก่อน เพราะว่าจะร้อนได้ที่ค่ะ



ขอโชว์สภาพตาโล้นๆก่อนเลยนะคะ ไม่กล้าให้เห็นทั้งหน้าให้เห็นแค่ตาพอ 555


 แต่เนื่องจากว่าถ้าเป็นโล้นๆแบบนี้จะเห็นไม่ชัด จึงขอปัดมาสคาร่าก่อนจะได้เห็นชัดขึ้นนะคะว่าเด้งจริงหรือเปล่า


สังเกตได้ว่าขนตาแค่เข้มขึ้นแต่ยังไม่งอนค่ะ ตอนนี้ยังเป็นแนวทิ่มไปข้างหน้าอยู่ ต่อไปเราจะจัดการปัดค่ะ โดยเครื่องดัดขนตารุ่นนี้จะเป็นแบบหมุนได้ มีหมุนเข้ากับหมุนออก ถ้าหมุนออกก็จะได้แนว natural look ไม่งอนมาก แต่เนื่องจากวันนี้เราต้องการให้มันเด้งมากเราจัดให้มันหมุนออกค่ะ (ปุ่มหมุ่นจะอยู่ที่เดียวกับปุ่มเปิดปิดค่ะ)



 เสร็จแล้วก็จะได้ขนตาเด้งมากๆแบบนี้ (ไม่แน่ใจว่าเห็นชัดหรือเปล่าแต่พยายามแล้วนะ หะๆ) สังเกตได้ว่าจากขนตาแบบทิ่มไปข้างหน้าก็งอนขึ้นเลยค่ะ



 แต่เนื่องจากจะออกจากบ้านเราขอเติมอายไลเนอร์หน่อยนะคะ ไม่งั้นออกจากบ้านไม่ได้ค่ะ หะๆ (ปกติแล้วโบว์จะกรีดตาก่อนค่อยดัดขนตา แต่วันนี้ดัดก่อนไม่งั้นมันจะดำไปหมดมองเห็นไม่ชัดค่ะ)


หน้าผมพร้อมออกงานและค่ะ :D






มีเพื่อนๆถามมาด้วยว่ามันเป็นความร้อนแบบนี้มันจะทำให้หนังตาไหม้หรือเปล่า ขอยืนยันเลยนะคะว่ามันไม่ได้ร้อนขนาดน้านนนนนน ไม่ทำให้ขนตาหรือหนังตาคุณไหม้นะคะ ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเทคนิคการดัดขนตาว่าให้เอาไดร์เป่าผมมาเป่าที่ดัดขนตาไหมคะ หลักการเดียวกันเลยค่ะ

ปล. ไม่ได้จะมาขายของแต่อย่างใด แต่ใช้ดีจึงบอกต่อ ^^








Wednesday, November 14, 2012

คนที่ถูกลืม



เพื่อนๆเคยเป็นไหมคะว่า เมื่อก่อนนี้เวลาเราเปลี่ยนอะไรใหม่สักอย่าง เช่น ลง account ICQ หรือ MSN ใหม่ (ปัจจุบัน MSN ปิดไปแล้ว น่าเศร้า...) history ที่เราเคยคุยกับเพื่อนๆก็จะหายไปโดยที่กู้กลับไม่ได้

โบว์เป็นคนหนึ่งที่ชอบเก็บสะสม chat history มากๆ เมื่อก่อนนี้จำได้เลยว่าถ้าเล่น MSN จะต้องไปลง add on เพื่อนที่เราจะสามารถเก็บ chat log ของคนที่เราคุยด้วยมานั่งอ่านบ่อยๆ เรียกได้ว่าโบว์เป็นคนหนึ่งที่เสพติดความทรงจำเก่าๆ เพราะบางทีเวลาเราลองคุ้ยมันออกมาอ่านอีกครั้งหนึ่งเราก็แอบอมยิ้มเล็กๆไม่ได้

จริงๆแล้วในโลกใบนี้มีเพียงไม่กี่คนที่โบว์มักจะหวงแหนความทรงจำแล้วเก็บข้อความที่เคยคุยกันกลับมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มีหลายๆครั้งที่คอมพิวเตอร์ของโบว์โดนไวรัสกิน หรือเผลอลบ chat log ไปโดยไม่ได้ตั้งใจความทรงจำเหล่านั้นก็จะหายไปด้วย ทิ้งไว้เพียงความเสียดายอดีตที่เราไม่สามารถกู้มันกลับมาได้อีกแล้ว

โบว์เพิ่งเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ค่ะ

ถึงแม้จะเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ chat log ใน application กลับไม่หายไปด้วย แต่...ยังคงมีบาง application ที่เราไม่สามารถที่จะกู้ความทรงจำเก่าๆกลับมาได้ และเมื่อไม่นานมานี้โบว์ก็ต้องกลับมานั่งเสียดายความทรงจำเก่าอีกครั้ง บทสนทนาที่ทำให้เรามานั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวทุกครั้งที่นั่งอ่านวนไปวนมา ปัจจุบันนี้มันไม่มีอีกแล้ว และมันก็ไม่อาจจะกู้มาได้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เราทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดก็คือต้องพยายามลืมมันไปเสีย

ทำให้โบว์รู้สึกว่าบางครั้งในการที่จะลืมอะไรบางอย่างที่จริงๆแล้วเราไม่ได้อยากจะลืมมัน ความไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้มันค่อยๆเลือนไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราไม่มีสิ่งที่เตือนความทรงจำในอดีตอีกต่อไป ความทรงจำของมนุษย์เรามันจะยาวนานได้มากแค่ไหนกันเชียว.... อาจจะไม่ต้องรอนานจนถึงวันที่คุณเป็นอัลไซเมอร์เหมือนโฆษณาบริษัทประกันบริษัทหนึ่ง หรือไม่ต้องรอให้คุณเป็นเนื้องอกในสมองเหมือนมิวสิควีดีโอซีรีส์เพลงหนึ่งก็ได้


ความคิดที่ว่าเวลาจะช่วยรักษาความเจ็บปวดในจิตใจได้ก็คงยังจะคลาสสิคอยู่เสมอ เพราะบางทีถึงแม้เราจะใจไม่แข็งพอที่จะ delete ความทรงจำนั้นไปได้ด้วยตัวเอง บางทีความบังเอิญก็จะบังคับทำให้คุณลืมมันได้ ไม่ว่าวันนั้นคุณจะอยากลืมมันหรือไม่ก็ตาม

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆคนคงอยากจะเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่แล้วใช่ไหมคะ :)

Thursday, October 11, 2012

อาการปวดฟัน


เพื่อนๆที่ติดตาม facebook โบว์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคงจะทราบกันว่าโบว์ปวดฟัน (เนื่องจากโบว์บ่นบ้าๆบอๆของโบว์ทุกวัน)

จริงๆช่วงระยะเวลาตลอดหนึ่งปีกว่าๆที่ผ่านมาเนี่ยโบว์มีปัญหาสุขภาพค่อนข้างเยอะ แต่ก็ยังไม่ถึงกับตายนะคะ แค่ไปโรงพยาบาลบ่อยมากดั่งเป็นบ้านหลังที่สอง แต่ก็ยังไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ หือเดินๆอยู่เป็นลมล้มพับไป (มีเกือบๆบ้างๆในบ้างครั้ง หะๆ)

เรื่องปวดฟันเนี่ยจะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่คาราคาซังของโบว์มาสักระยะหนึ่งแล้วค่ะ คือเมื่อสองสามปีที่แล้วตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นเนี่ยก็มีอาการปวดฟันกรามทางด้านซ้ายอย่างนี้แหละ ปวดมากกกกก ปวดจนต้องตื่นมาตอนดึกดื่นเพื่อมาทานยาแก้ปวดจึงจะหลับต่อได้ ตอนนั้นไปหาหมอฟันข้างบ้านชื่อคุณซูซูกิ (สามารถรามอ่านเรื่องของคุณซูซูกิได้ที่นี่ค่ะ ^^ http://sweet-choco-cookie.blogspot.com/2009/04/blog-post_17.html) เวลาผ่านไปก็คิดว่าหายแล้วนะเนี่ย

แต่อนิจจังเมื่อประมาณไม่กี่เดือนที่ผ่านมาโบว์มีปัญหากับฟันซี่เดิม โดนตอนนั้นคิดว่าเป็นเพียงอาการเริ่มต้นคือรู้สึกเสียวฟัน แต่ตอนนั้นคิดว่าเป็นอาการเพียงชั่วคราวเท่านั้น มาแป๊บๆเดี๋ยวก็ไป ที่ไหนได้เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนตอนนี้จากอาการเสียวฟันเล็กๆน้อยๆกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่คือปวดฟัน (มากๆ) ในตอนนี้นั่นเองค่ะ

ตอนที่รู้สีกว่าความเจ็บปวดที่เริ่มจากการเสียวฟันเล็กๆน้อยๆมันจะเป็นความเจ็บปวดเรื้อรัง โบว์ก็ตัดสินใจว่าจะต้องไปหาหมอฟัน แต่เนื่องจากเหตุผลหลายๆอย่างทำให้โบว์ไม่สามารถไปหาหมอฟันเพื่อรักษารากฟันได้ในเวลาทันท่วงที จนถึงวันที่เริ่มทนไม่ไหวแล้วโบว์จึงตัดใจทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่างในวันนั้นเพื่อไปหาหมอฟัน ... ช่วงเวลาที่รอเวลาอยู่พร้อมกับความเจ็บปวดที่เพิ่มมรกขึ้นทุกที โบว์ได้รับคำแนะนำจากพี่ซึ่งเป็นหมอฟันคนหนึ่งว่าในการที่จะทำให้โบว์หายเจ็บปวดจากอาการเรื้อรังนี้ได้มันต้องใข้เวลาในการรักษารากฟันอย่างจริงจัง ซึ่งระยะเวลาหลายเดือนนี้อาการเจ็บปวดนี้จะค่อยๆทุเลาไปจนหายขาด แต่ในตอนแรกนั้นสิ่งที่จะต้องทำเพื่อระงับความเจ็บปวดให้ได้อย่างเฉียบพลันคือการตัดเส้นประสาทที่ฟันซี่นั้นออกเสียในทันที

หากจะให้เล่าเรื่องอนาโตมีของฟันนั้นโบว์คงจะเล่าให้ถูกต้องไม่ได้ แต่จากประสบการณ์ที่ถูกตัดเส้นประสาทฟันออกไปก็ทำให้เข้าใจอะไรหลายๆอย่างค่ะ ^^

เมื่อแรกที่ถูกตัดเส้นประสาทฟันออกไปนั้น ความเจ็บปวดในช่วงแรกนั้นได้หายไปจริงๆ แต่ความสบายใจนั้นเป็นไปได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาเดียวเท่านั้นเอง อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยาชาที่ค่อยๆหมดไป ความเจ็บปวดจาดแผลที่ต้องเปิดเพื่อตัดเส้นประสาทออกไปนั้นก็ค่อยๆกลับมาอีกครั้ง จนโบว์กลับมาคิดว่าจริงๆแล้วเส้นประสาทที่บอกว่าได้ถูกตัดไปนั้น จริงๆแล้วมันถูกตัดไปจริงหรือเปล่านะ หรือว่าอาการทุเลาเพียงชั่วครู่นั้นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะยาชา .... จริงๆแล้วควมรู้สึกเจผ้บปวดนั้นมันก็ยังคงอยู่ต่อไป เมื่อเส้นประสาทเชื่อมกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งแต่เรายังคงเมินเฉยไม่ใส่ใจที่จะไปรักษารากฟันอย่างจริงจัง ความเจ็บปวดมันก็จะไม่หายไป และก็ยังจะคงเรื้อรังอยู่แบบนี้ตลอดไป

สำหรับโบว์แล้ว โบว์ไม่แน่ใจว่าความเจ็บปวดครั้งนี้จะยังคงอยู่อีกนานไหม ไม่แน่ใจว่าถึงแม้จะยินยอมในการตัดเส้นประสาทฟันออกไปเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดในครั้งนี้สุดท้ายแล้วมันจะเจ็บปวดไปอีกนานแค่ไหน และก็ไม่แน่ใจว่าถึงแม้จะใช้เวลารักษารากฟันไปอีกเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วความเจ็บปวดในครั้งนี้มันจะยังคงอยู่ตลอดไปเพียงแค่ทุเลาลงเท่านั้นหรือเปล่า...

ปัจจุบันโบว์ยังปวดฟันอยู่ค่ะ ปวดมากด้วย บางครั้งอาการปวดฟันก็กระทบไปถึงการดำเนินชีวิตประจำวันทุกอย่างของโบว์ในตอนนี้ ก็ยังคงพึ่งยาแก้ปวดเพื่อให้อาการทุเลาลงเป็นครั้งเป็นคราวไป แต่ก็หวังนิดๆว่าถ้าเวลาผ่านไปถึงแม้ความเจ็บปวดจะไม่หายไปเป็นปลิดทิ้ง มันก็อาจจะดีขึ้นบ้างนะคะ ^^

ปล. เบื่อไหมที่ชอบเขียนอะไรเป็นสัญลักษณ์? ^^

Saturday, September 29, 2012

อาการของคนไม่มีเหตุผล


โดยปกติแล้วจะมีเพื่อนโบว์อยู่คนหนึ่ง (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ เกรงว่าจะกระทบกับสิทธิส่วนบุคคล 555) ที่เรามักจะมีกิจวัตรประจำเดือนรวมกันคือการที่จะต้องออกจากบ้านมาเจอกันเดือนละครั้ง เพื่อที่จะมานั่งเล่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาให้กันฟัง กิจวัตรที่เรามีร่วมกันนี้เราสองคนได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาได้ประมาณปีหนึ่งได้แล้วมั้งคะ ... ถึงแม้ระยะหลังๆมาเราอาจจะมีเวลาเจอกันได้น้อยลงเพราะเหตุผลและธุระส่วนตัวก็ตาม

ทุกๆครั้งในหนึ่งเดือนที่ได้คุยกับเพื่อนคนนี้ โบว์รู้สึกถึงความอิสระอย่างประหลาด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราแชร์กัน เล่าให้กันฟังนั้นทำให้โบว์คิดอะไรใหม่ๆออกมาได้ในทุกครั้ง หรือบางทีอาจจะไม่ใช่อะไรใหม่ๆ แต่เป็นคำตอบของปัญหาที่เราถามตัวเองมาตลอดและเรามองข้ามไปเสมอก็เป็นได้

นั่นนำมาสู่การที่จะนำเรื่องเล็กๆน้อยๆที่คิดได้ในวันนี้มาเล่าให้ทุกคนฟังกันค่ะ :)

จริงๆแล้วเมื่อวานนี้เรานัดกันค่ะ แต่เนื่องจากเพื่อนทำงานธนาคารทำให้เมื่อวานซึ่งเป็นวันปิดปีนั้นเป็นวันที่ยุ่งมาก กว่าจะเลิกงานก็ปาเข้าไปห้าทุ่มครึ่งแล้ว เป็นสาเหตุให้เสื้อผ้าหน้าผมที่จัดเต็มไปเมื่อวานนี้ไม่ได้ออกจากห้องนอนไปพบใครเลย 5555+

เนื่องด้วยภาวะงานที่รัดตัวของเราทั้งสองคน (เมื่อวานโบว์ก็รู้สึกว่าโบว์เหนื่อยมากจากการทำงานตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเบี้ยวนัดมาบ่อยแล้วเลยตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องออกไปเจอให้ได้) ทำให้เมื่อเช้านี้เราตื่นมานั่งคุยกันถึงเรื่องการทำงาน ความสุข ชีวิต และเหตุผล

เพื่อนโบว์คนนี้ทำงาน Finance ค่ะ ตลอดเวลาโบว์ไม่เคยมองไม่เห็นความเหมาะสมของตัวเขาและงานของเขาเลยสักครั้ง ตัดสินไปแล้วว่ายังไงเขาก็ไม่น่าจะเหมาะกับงานแบบนี้ ... ทำไมน่ะเหรอคะ?

เพราะโบว์รู้สึกว่าเราสองคนจริงๆแล้วเป็นคนที่ emotional มาก อ่อนไหวไปกับทุกเรื่องราวและทุกสิ่ง (ไม่แปลกที่บางครั้งเรื่องที่ดูไม่เป็นเรื่องโบว์กลับต้องใช้เวลาในการพาตัวเองกลับมาในสภาวะปกติของร่างกายและจิตใจค่อนข้างนาน... ถึงนานมากเลยทีเดียว) แต่ศาสตร์ที่เรียกว่าคณิตศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน ชัดเจน วัดผลได้ ตรงไปตรงมา .... โบว์จึงคิดมาเสมอว่าคนที่มีลักษณะแบบโบว์ไม่น่าจะเหมาะกับศาสตร์ที่ใช้เหตุผลมากกว่าความสุนทรีย์อย่างนี้เป็นแน่ ซึ่งเพื่อนโบว์คนนี้ก็ไม่น่าจะเหมาะเช่นกันล่ะมั้ง ก็เรามันคนประเภทเดียวกันนี่นา

ซึ่งเจ้าตัวเองตอนนี้ก็เริ่มคิดเช่นนั้นเช่นกัน แต่ปัญหาก็คือ การที่เป็คนเก่งไปเสียทุกเรื่อง ทำให้บางครั้งเราใช้เหตุผลในการเลือกสิ่งที่มันเหมาะสมกว่า มากกว่าสิ่งที่เราพอใจกว่า หรือสิ่งที่มีเหตุผล มากกว่าสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข

หลายครั้งที่โบว์ถูกถามเรื่องเหตุผลของเรื่องบางเรื่อง ก็น่าแปลกที่โบว์กลับให้คำตอบที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ กลับบอกได้เพียงว่าเรา 'รู้สึก' เช่นนั้น (ขอย้ำคำว่า 'ความรู้สึก' ที่ให้ความหมายที่ยั่งยืนมากกว่าคำว่า 'อารมณ์' นะคะ ^^)

คิดมาถึงตอนนี้แล้วโบว์ก็เริ่มสงสัยตัวเองขึ้นมาหน่อยๆว่า จริงๆแล้วเราเป็นเพียงคนที่ไม่มีเหตุผลหรือเปล่า เพราะเพียงการบอกแค่ว่า 'รู้สึก' เช่นนั้น ถึงแมัจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่สามารถวัดเป็นรูปธรรม และไม่สามารถทำให้เชื่อได้ว่ามันคือ 'เรื่องจริง'

โบว์เชื่อมั่นนิดๆว่าโบว์เป็นคนจริงใจค่ะ (หลายๆคนคงทราบดี ^^) โบว์คิดอย่างไร โบว์พูดอย่างนั้น แต่บางครั้งที่รู้สึกว่าคิดไม่ดีก็จะไม่พูดออกไป ซึ่งหลายๆครั้งที่โบว์ถูกถามถึงเหตุผลของอะไรบางอย่าง แล้วโบว์หาเหตุผลไม่ได้ โบว์ก็ไม่สามารถที่จะแต่งเรื่องหรือหาเหตุผลอะไรก็ได้มาประกอบกับสิ่งที่เราคิดให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น (อย่างกับมานั่งเขียน thesis อีกรอบ) โบว์ก็จะบอกได้แค่ว่า เพราะโบว์รู้สึกอย่างนั้น หรือเพราะโบว์มีความสุขที่ได้ทำอย่างนั้น

ซึ่งเวลาที่พูดไป ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนที่ชอบสิ่งที่แน่นอน วัดผลได้อย่างคณิตศาสตร์ จะเข้าใจในสิ่งที่คนที่มีสุนทรีย์อย่างเราพูดหรือเปล่า เพราะสำหรับเราแล้ว เพียงแค่นี้ ไม่ต้องมีเหตุผลอะไร ก็ตอบคำถาม ตอบปัญหาของเราได้ทุกอย่าง และเป็นสิ่งที่มั่นคงและจริงใจที่สุดเท่าที่เราจะสามารถบอกเค้าได้

สำหรับโบว์แล้ว โบว์มักจะเลือกสิ่งที่เราทำแล้วสบายใจและมีความสุขมากกว่าสิ่งที่มีมีเหตุผลประกอบมากมายหลายพันประการ ... เพราะสุดท้ายแล้วเราจะสามารถทนเห็นตัวเองไม่มีความสุขไปได้นานแค่ไหนกันเชียว

ถามว่าสุดท้ายแล้วถ้าโบว์มีเหตุผลให้คุณเพียงแค่นี้ คุณจะเชื่อโบว์ไหมคะ? :)

Monday, September 10, 2012

ผู้หญิงอย่าหยุดสวย!

คุณเคยประสบปัญหาอายไลเนอร์ของคุณไม่ติดแน่นทนทานมากพอหรือไม่? คุณคิดว่าอายไลเนอร์กันน้ำของคุณเมพมากแล้วใช่ไหม? เชื่อว่าสาวๆหลายๆคนหากผ่านสมรภูมมิมาแล้วคงไม่สามารถรั้งความคมชัดของอายไลเนอร์ของคุณได้ตลอดทั้งวันอย่างแน่นอน

วันนี้เรามีอายไลเนอร์แบบซูเปอร์กันน้ำมารีวิวให้ทุกท่านชม ... ดีนะที่มันกันน้ำได้ดี ไม่งั้นอาจจะต้องใช้ permanent marker มาลงแทน

มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ







 นี่คือสภาพดวงตาและคราบอายไลเนอร์ที่หลุดลอกออกมาอย่างไม่มีชิ้นดีหลังจาก ผ่านสมรภูมิมาหนึ่งวันเต็ม สภาพเยี่ยงนี้คงไม่เป็นผลดีของสาวๆแน่ อายไลเนอร์แท่งเก่าที่ไม่ทนทาน จงโยนทิ้งไปค่ะ


แต่ก่อนเราจะลงไปถึงอายไลเนอร์เราไปพูดถึงอุปกรณ์อื่นๆที่จะเป็นตัวช่วยให้ คุณสาวๆดูสวยสดใสเสมอไม่ว่าจะผ่านสมรภูมิมาเพียงใด เราขอแนะนำ concealer เลือกเป็นสีที่อ่อนกว่าสีผิวหนังหน้าของคุณเล็กน้อย แล้วตบแป้งลงไปบางๆค่ะ















ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะลืมกันไปว่าเมื่อคุณสาวๆขยี้ตาอาจจะทำให้อาย แชร์โดว์ที่เปลือกตาบนของคุณลอกร่อนไปด้วย ดังนั้นให้ลง eyeshadow primer ด้วยนะคะ










ต่อไปมาถึงขั้นตอนการเขียนอายไลเนอร์นะคะ เนื่องจากอายไลเนอร์แท่งเก่าไม่สามารถติดทนนานและกันน้ำได้ดั่งใจต้องกันเรา จึงโยนทิ้งไปแล้วเปิดกล่องใหม่ วันนี้ขอนำเสนอ Powerpoint Eye Pencil สีดำของ MAC ค่ะ สุดยอแห่งการกันน้ำและติดแน่นทนนาน













 หลังจากนั้นอย่าลืมเติมคิ้วปัดขนตานะคะสาวๆ ที่ดัดขนตาไฟฟ้าของพานาโซนิคซื้อที่ญี่ปุ่นนะจ๊ะรุ่นนี้ที่ไทยไม่มีขายจ้าา จะทำให้ขนตาคุณเด้งตลอดวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น














มาดูให้เห็นกันจะๆ แม้ว่าจะเป็นสมรภูิมิไหนๆ ผ่านการโดนน้ำมาแล้วกี่ชั่วโมงก็ตาม (เหมาะกับช่วงเล่นน้ำสงกรานต์เป็นที่สุด แพนด้าจะบอกลาคุณไปตลอดกาล) ดวงตาของสาวๆก็จะยังคงคมเข้มและจิกได้ เหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยตลอดวันค่ะ








อย่าลืมว่าผู้หญิงอย่าหยุดสวยนะคะ :))))

Sunday, August 05, 2012

เมื่อการจากลาเป็นเรื่องที่ยากขึ้น...

"ให้คิดว่าเค้าไปเที่ยวต่างประเทศนานๆก็แล้วกัน"

เป็นประโยคหนึ่งที่คุณพ่อพูดกับโบว์ไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อนในวันที่โบว์ได้สูญเสียเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันกลับ

ในชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อ่อนวัยเกินไปกว่าที่จะยอมรับกับการสูญเสียได้ เมื่อการสูญเสียเดินทางมาถึงประตูหน้าบ้านสิ่งนั้นก็ยากเกินกว่าที่จะยอมรับและทำใจ

ในสมัยสิบกว่าปีก่อนถ้าคิดว่า "เค้าไปเที่ยวต่างประเทศนานๆ" ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทำใจได้ง่ายขึ้น แต่ถามว่าถ้าวันนี้เราคิดว่าเค้าไปเที่ยวต่างประเทศนานๆแล้วเราจะยังคงทำใจได้ไหม???

ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็ว (มาก) อย่างทุกๆวันนี้ คุณเคยคิดหรือเปล่าคะว่าหากเราต้องการที่จะบอกลาคนคนหนึ่งอย่างตั้ังใจเราจะสามารถทำได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า..

โบว์รู้สึกว่าโบว์เป็นคนโชคดีที่สมัย ม.ต้น โบว์มีโอกาสไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ความผูกพันธ์แบบเด็กๆในตอนนั้นทำให้วันที่โบว์กับเพื่อนๆที่ต้องแยกย้ายกลับ ประเทศไปต้องเสียน้ำตา พร้อมกับโบกมือลากันไปด้วยความรู้สึกที่ว่าเราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วใน ชีวิตนี้ ....

แต่พอการสื่อสารเป็นไปได้อย่าง่ายขึ้น ความรู้สึกแบบนั้นกลับหายไปโดยที่เราไม่รู้ตัว....

ในช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิตโบว์ จะมีช่วงหนึ่งที่เพื่อนฝูงที่สนิทชิดเชื้อกันเริ่มจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือแม้แต่ตอนที่โบว์ไปเรียนต่างประเทศเองในวันที่ต้องบอกลาเพื่อนๆที่ต้องแยกย้ายกลับประเทศของตัวเองกัน ... น่าแปลกไหมที่ความใจหายที่ว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกนาน หรือเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยนั้นมันเริ่มหายไปทีละนิด เพราะเรารู้สึกว่าวันนี้เราโบกมือลากันที่สนามบิน พรุ่งนี้เราจะโบกมือสวัสดีกันผ่านทาง skype, facetime, facebook ฯลฯ

ในทางกลับกัน หากวันหนึ่งเราต้องการที่จะลืมใครบอกคน สิ่งนั้นกลับทำได้ยากขึ้นทุกที...

เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา โบว์สูญเสียรุ่้นน้องคนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันกลับ ซึ่งโบว์ไม่สามารถทำใจคิดว่าเค้าเดินทางไปต่างประเทศนานๆเหมือนที่โบว์เคยทำตอนเด็กๆได้อีกแล้ว ... เพราะวันที่รู้ข่าวว่าน้องจากไป ใน facebook contact list ของโบว์ก็ยังมีน้องคนนั้นอยู่ และจนถึงตอนนี้ถึงแม้ว่าน้องคนนั้นคงไม่สามารถที่จะตอบกลับข้อความ happy birthday ของเราได้เหมือนเดิมทุกๆปีอีกแล้ว โบว์ก็ยังไม่สามารถลบน้องคนนั้นออกจาก contact list ได้

เทคโนโลยีทำให้เี่รารู้สึกว่าคนที่จากไปยังอยู่ใกล้ๆตัวเราเสมอ ทุกครั้งที่เรานึกถึงเขาเราก็ยังสามารถเข้าไปใน page ของเขาและอ่านเรื่องราวที่เราเคยคุยกัน รูปภาพที่เราเคยถ่ายด้วยกันได้ตลอดเวลา

แต่ทว่า....มันกลับทำให้การทำใจยอมรับความจริงของเรามันยากขึ้นกว่าในอดีต และทำให้การจากลาที่เป็นความจริงในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ยากขึ้นทุกทีๆ


Thursday, April 19, 2012

เมื่อสายลมพัดมา...

เดือนเมษายน...ต้นซากุระออกดอกสวยงามเต็มต้น
เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อสายลมพัดมา...
ไม่ว่าจะยื้อไว้ได้นานเท่าไหร่
ดอกไม้สวยงามนั้นก็ถึงเวลาที่จะโรยลา
เมื่อถึงเวลาของมัน

เมื่อสายลมพัดมา...
สีเขียวของใบไม้ใบใหม่ก็จะมาแทนที่สีชมพูของดอกไม้
ที่แม้จะสวยงามแต่ก็บอบบางนัก

หรือว่าอันที่จริงแล้วความงามที่เราชื่นชม
อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่กับเราตลอดไป

เมื่อสายลมพัดมา...
ฉันก็คิดได้ว่า...เราคงไม่สามารถเชื่อมั่นในความงามดั่งดอกซากุระได้
เพราะดอกไม้นั้นก็มักจะถูกพัดหลุดลอยไปตามสายลมอ่อนๆเสมอ

เมื่อสายลมพัดมา...
ฉันจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
ซึ่งจะไม่ใช่การเดินทางตามหาความงามที่บอบบางอีกต่อไป
แต่จะเป็นการเดินทางเพื่อตามหาต้นไม้ใหญ่
ที่ถึงแม้ลมจะพัดมาแรงเพียงใด
ต้นไม้นั้นก็จะไม่ลู่ไปตามสายลม

*ฉัน

Sunday, April 01, 2012

เดือนเมษายน

เดือนเมษายน จริงๆแล้วอาจจะเรียกได้ว่่าเป็นเดือนแห่งการเริ่มต้นของอะไรหลายๆอย่่าง สำหรับคนไทยอาจจะเป็นการเริ่มต้นของเดือนที่ร้อนที่สุด การเริ่มต้นเข้าสู่ปีใหม่ สำหรับคนญี่ปุ่นหลายๆอย่างก็เริ่มต้นในเดือนเมษายนเช่นกัน ดอกซากุระเริ่มผลิบาน แสดงถึงการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ การเริ่มต้นของภาคการเรียนใหม่ การเริ่มต้นของปีงบประมาณใหม่ สำหรับนักเรียนไทย...อาจจะเป็นการเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่... ทั้งเดินทางไป และเดินทางกลับ

ทุกครั้งที่ได้ไปสัมผัสประเทศญี่ปุ่น โบว์มีความรู้สึกหลากหลายอย่างที่เปลี่ยนไปในทุกๆครั้ง ครั้งนี้ได้มาสัมผัสญี่ปุ่นเป็นเวลาสั้นๆในช่วงปลายเดือนมีนาคม และเดินทางกลับในวันที่ 1 เมษายนพอดี การมาในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วันแต่ก็สามารถใช้เวลาในช่วงนั้นคิดอะไรได้หลายๆอย่าง เรื่องหนึ่งที่ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นมาหลายปีก็ตามแต่เพิ่งจะมารู้สึกได้ตอนนี้ก็คือเรื่องที่ว่าเราจะเลือกทำตามความต้องการในใจจริงๆหรือเลือกทำสิ่งที่ควรจะทำ คิดๆดูแล้วมันก็เชื่อมโยงกับเดือนเมษายนได้อย่างประหลาด

โบว์มีโอกาสที่ดีมากที่ได้พบเจอกับเพื่อนๆนักเรียนไทยทั้งรุ่นที่กลับไปแล้ว รุ่นที่กำลังเรียนอยู่ และรุ่นที่เพิ่งจะเดินทางไปใหม่ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้โบว์รู้สึกว่าเดือนเมษายนจริงๆแล้วอาจจะเป็นเดือนหนึ่งที่ถึงแม้บรรยากาศจะไม่ค่อยให้เท่าไหร่นักแต่ยังคงแฝงไปด้วยความเหงาที่ลอยมาตามสายลมเย็นอ่อนๆและกลีบดอกไม้่ที่ร่วงหล่นอยู่ในสายน้ำ...

เพราะ...การเดินทางครั้งใหม่ของใครคนหนึ่ง ทิ้งความเหงาและความห่วงใยไว้ภายในใจของใครอีกคน การเริ่มต้นครั้งใหม่ของใครคนนั้นกลับนำจุดจบมาให้กับใครอีกคนหนึ่ง

ก่อนจะมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ เรื่องบังเอิญเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือเพื่อนๆหลายคนที่มีปัญหาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามต่างเข้ามาคุยกับโบว์และเล่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลายๆคนยังคงสับสนว่าควรจะเลือกทำตามความต้องการของตัวเอง หรือเลือกทำในสิ่งที่ควรจะทำซึ่งถึงแม้จะไม่ตรงกับความต้องการของเราเสียทีเดียวแต่อาจจะเสี่ยงน้อยกว่่าและทำร้ายตัวเองน้อยกว่าเลือกทำในสิ่งตามใจเรา โบว์ใช้เวลานานพอสมควรเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้และทุกๆครั้งเมื่อมองย้อนกลับไปโบว์ก็มองเห็นว่าสิ่งที่ควรจะทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าจะเลือกทำมากกว่าการเลือกทำตามใจตัวเอง ... และทุกๆครั้งอีกเช่นกันที่โบว์มักจะเลือกทางที่เสี่ยงและทำตามใจตัวเองมากกว่าที่จะเลือกทำในสิ่งที่ควรทำ แปลกดีไหมล่ะคะ?

ถ้าเลือกได้...โบว์ก็ไม่อยากจะเลือกที่จะเสี่ยงอะไรสักอย่าง เพราะจริงๆแล้วถ้ามองภายนอกโบว์จะดูเป็นคนกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรใหม่ๆ แต่ลึกๆแล้วโบว์เป็นคนขี้กลัว กลัวที่จะเสี่ยง กลัวจนกระทั่งไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลยโดยเฉพาะเรื่องของตัวเอง... ซึ่งทุกๆครั้งมันก็จบลงแบบเดิมๆทุกที เหมือนคนดื้อด้าน เจ็บแล้วไม่ยอมจำเสียที

จริงๆแล้วคนแต่ละคนต่างก็มีความต่างกันในแต่ละแบบ บางครั้งโบว์ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเราถึงไม่เลือกทางที่ดูเหมือนจะปลอดภัยกว่า แต่กลับไปเลือกทางขรุขระที่มองเห็นอยู่ชัดๆว่าถ้าถีบจักรยานไปทางนั้นมีโอกาสที่จะล้มหน้าคว่ำถลอกปอกเปิกไปหมดประมาณ 90% ... ซึ่งแปลกมากที่คนขี้ขลาดอย่างโบว์ก็มักจะเสี่ยงที่จะปั่นจักรยานไปตรงเส้นทางขรุขระนั้นโดยกุมความหวัง 10% ที่มีอยู่เอาไว้ จนตอนนี้มีแผลเป็นตามร่างกายเยอะแยะมากมาย ซึ่งมองกลับไปแต่ละแผลก็จะนึกตลกตัวเองทุกครั้งว่าจะเสี่ยงทำอะไรแบบนั้นทำไมกันนะ 

โบว์เป็นคนถีบจักรยานไม่แข็ง ถึงแม้ว่าจะหัดมาหลายปีแล้ว ทำยังไงก็ไม่แข็งเสียที ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นกรรมจากชาติปางก่อนหรือเปล่าที่ทำให้โบว์ไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ แต่...โบว์ก็ยังไม่เลิกที่จะลองขี่จักรยานพร้อมกับถือความหวัง 10% อันน้อยนิดไปด้วยทุกครั้ง และท่องเอาไว้ในใจว่าขอให้สิ่งเล็กๆที่เราเชื่อมั่นจะทำให้เราได้ภูมิใจมากกว่าการเลือกไปเดินเส้นเรียบ เพราะสุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่่างไรการลองเสี่ยงไปในทางที่ยากกว่าเราจะได้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้ในเส้นทางธรมดาเก็บกลับบ้านไปด้วย

วันที่ 1 เมษายน 2555 เวลา 12:00 น. ณ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น โบว์มองย้อนกลับไปในสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามนึกภาพต่อไปในอนาคต หากโบว์เริ่มต้นใหม่ในวันนี้ไปพร้อมกับกลีบดอกซากุระที่กำลังจะผลิบานสิ่งที่สวยงามก็คงจะรอเราอยู่ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีเมื่อวันเวลาผ่านไป กลีบดอกซากุระร่วงโรยไปตามสายฝนโดยที่เรายังไม่ได้พยายามรั้งให้ดอกมันร่วงโรยช้าลงเพื่อจะชมความงามของมันต่ออีกสักหน่อยโบว์ก็คงเสียดายหากไม่ได้ลองทำ ถึงแม้จะรู้ว่ามีโอกาสเพียง 10% เท่านั้นที่ดอกซากุระจะอยู่กับเราได้ยาวนานกว่าเดิม ก็อยากจะดื้อขอยืดเวลาความสุขออกไปอีกหน่อยก็ยังดี ไม่แน่ใจเหมืิอนกันว่าการเสี่ยงในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร รู้อย่างเดียวว่ามันคือความเสี่ยงมากๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงอยากจะลองดูสักหน่อย อย่างน้อยก็ได้พิสูจน์ว่าเราได้พยายามแล้วครั้งหนึ่ง 

เดือนเมษายนนี้ของโบว์จึงอาจจะไม่ใช่เดือนแห่งการเริ่มต้นใหม่ แต่คงเป็นเดือนแห่งความพยายามครั้งใหม่ กับความหวังอีก 10% ที่โบว์ยังคงถือเอาไว้แนบอก พร้อมกับภาวนาไปด้วยว่าจะไม่ได้แผลกลับมาจากการขี่จักรยานบนทางขรุขระในครั้งนี้ ขาลายไปมากกว่านี้สงสัยคงต้องเลิกปั่นจักรยานแล้วล่ะค่ะ :)