Sunday, September 20, 2015

40 สิ่งที่คนไทยที่ (เคย) เรียนที่ญี่ปุ่นเท่านั้นถึงจะเข้าใจ

เพิ่งได้อ่านบทความ 24 things only Thais who have studied in the UK will understand มาแล้วรู้สึกว่า จริงๆแล้วคนไทยที่เรียนที่ญี่ปุ่นนั้นจริงๆแล้วมันมีเรื่องประหลาดให้เล่า ให้ฟังเหมือนกัน …. เลยขอเป็นกระบอกเสียง (อีกแล้ว) แทนทุกท่านลิสต์ 40 ข้อนี้ขึ้นมา จริงๆถ้าเขียนสัก 20 ข้อก็จะใส่รูปให้มันสวยงามอยู่หรอก แต่นี่มันตั้ง 40 ข้อ ใส่รูปไม่ไหวจ้า 5555555+

ใครมีเพิ่มเติมเม้นท์ได้เลยนะคะ เผื่อจะได้สัก 100 ข้อ 5555+

cover.jpg

  1. คุณไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฤดูใบไม้ผลิคนเป็นหวัดกันเยอะจัง … จนคุณอยู่ญี่ปุ่นมาได้ 2-3 ปี หน้ากากอนามัยก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ เพราะจริงๆแล้วมันไม่ใช่หวัด แต่มันคือการแพ้เกสรดอกไม้!!
  2. ถ้าคุณเรียนคอร์สอินเตอร์ สิ่งที่คุณรู้สึกลำบากมากในช่วงแรกๆ คือการฟังสำเนียงภาษาอังกฤษของอาจารย์ ซึ่งตอนหลังคุณแทบจะพูดสำเนียงนั้นได้เลย
  3. คุณเป็นคนกินเหล้าไม่ค่อยเก่ง จนวันที่อาจารย์ชวนคุณไปปาร์ตี้โนมิโฮได (ดื่มไม่อั้น)
  4. ปาร์ตี้ของคุณและเพื่อนส่วนใหญ่จะไปจบลงที่ร้านคาราโอเกะ
  5. คุณไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ปาร์ตี้ให้จบในที่เดียว จน “นิจิไก” (ปาร์ตี้ต่อรอบสอง) กลายเป็นคำพูดที่คุณมักจะเอ่ยขึ้นมาเอง
  6. จักรยานแม่บ้านกลายเป็นพาหนะประจำกายของคุณ
  7. คุณมักจะขึ้นหรือเปลี่ยนสายรถไฟผิดเสมอ ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีคุณก็ยังเปลี่ยนผิดอยู่
  8. คุณเริ่มคุยโทรศัพท์ไปโค้งให้โทรศัพท์ไป
  9. เพื่อนที่จะมาเที่ยวญี่ปุ่นมักจะให้คุณแนะนำร้านอาหารให้ ซึ่งคุณจะลำบากใจมากเพราะปกติคุณกินแต่ข้าวโรงอาหาร
  10. ร้านเอเชียซูเปอร์สโตร์เป็นที่ที่คุณมักจะเซอร์ไพรส์เสมอเมื่อคุณได้เข้าไป (หรือเข้าไปดูในเว็บ) เพราะคุณจะได้พบของไทยหลากหลาย กระทั่งข้าวหลาม หรือหนังสือคู่สร้างคู่สม
  11. เวลาไปร้านอาหารไทยคุณมักจะบอกแม่ครัว หรือพนักงานเสิรฟ์ว่า “ขอรสชาติแบบคนไทย”
  12. คุณเริ่มฝึกทำอาหารไทยยากๆเพราะคุณคิดถึงอาหารไทยมาก หรือไม่ก็มักจะไปกินข้าวบ้านเพื่อนคนไทยที่ทำอาหารเก่งแทน
  13. ปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อนของคุณมักจะจบลงด้วยการนั่งหน้าหม้อไฟฟ้า ต้มนาเบะ (หม้อไฟ) กินร่วมกัน
  14. เมื่อคุณเริ่มพูดภาษาญี่ปุ่นได้ คนญี่ปุ่นมากจะพูดกับคุณว่า “日本語上手ですね!” (ภาษาญี่ปุ่นคุณเก่งมากๆ) ทั้งๆที่คุณเพิ่งพูดได้แค่สั่งอาหาร และเก็บตังค์
  15. คุณเริ่มหาวิธีการหลบหลีกการจ่ายเงินให้คุณลุง NHK ทั้งการฝึกพูดว่า “I don’t speak Japanese” หรือการพยายามบอกว่า โทรทัศน์เสีย
  16. คุณเริ่มรู้สึกว่าการลงทะเบียนไปร่วมงาน TSAJ Ski Trip ของสมาคมนักเรียนไทยในญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก  สิบนาทีเต็มเป็นไปได้ยังไง
  17. โคทัตสึ และผ้าห่มไฟฟ้ากลายเป็นอุปกรณ์คลายหนาวที่สำคัญของคุณในหน้าหนาว
  18. ถุงโชคดีเป็นสิ่งที่คุณปรารถนาเมื่อก้าวเข้าสู่วันปีใหม่ เพราะมันคุ้มมากมากกกก
  19. คุณเริ่มมีความอดทนในการต่อแถวมากขึ้น
  20. คุณมักจะวิ่งออกจากรถไฟไปรับโทรศัพท์ พร้อมกับเข้าใจว่า Manner Mode คือการปิดเสียงโทรศัพท์ในรถไฟไม่ใช่การมีมารยาทอย่างอื่น
  21. คุณเริ่มเคยชินกับแผ่นดินไหวเพราะมันเกิดขึ้นทุกวัน เวลาเกิดขึ้นตอนนนอนคุณจะเริ่มรู้สึกว่า เออดี...เหมือนมีคนมาเขย่าเปลกล่อมให้นอน เอ่เอ๊
  22. คุณเคยประหลาดใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงหลับแล้วตื่นมาตรงสถานีที่จะลงตลอด จนคุณเริ่มทำได้เอง
  23. ไม่ว่าคุณจะพูดกับใครก็ตามคุณมักจะหลุดคำว่า “เดโช้ว” “โยโรชิคุ” หรือ “อี้เน้”
  24. สำหรับคนโสด คุณมักจะอยู่บ้านในวันคริสต์มาสอีฟ และวันวาเลนไทน์
  25. คุณเริ่มมีภูมิต้านทานในการไม่นอนจนถึงเช้าด้วยสองเหตุผล คือ หนึ่งคุณนั่งปั่นงานวิจัยยันเช้า หรือสองคุณไปปาร์ตี้จนพลาดรถำฟเที่ยวสุดท้ายกลับบ้าน
  26. คุณไม่เคยรู้มาก่อนว่าหน้าร้อนของญี่ปุ่นนั้นร้อนมาก จนบิลล์ค่าไฟมาถึง … หลังจากนั้นคุณก็เลยไปซื้อพัดลมมาใช้แทนการเปิดแอร์ หรือไม่ก็ไปนอนตากแอร์ที่แล็ปทุกวันแทน
  27. คุณแทบไม่ไปหาหมอที่ญี่ปุ่นเลยถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ เพราะการหาหมอที่นี่มัน เอิ่ม…
  28. หมอฟันก็เช่นกัน
  29. เพื่อนคนไทยที่จบหมอมาแล้วไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นจึงมักจะเป็นที่พึ่งของคุณ
  30. คุณไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเข้าห้องน้ำ เพราะตามสถานีรถไฟหรือร้านสะดวกซื้อก็จะมีห้องน้ำให้คุณเข้า
  31. คุณรู้สึกเขินอายมากในตอนแรกๆที่ต้องยกถ้วยซุปขึ้นมาซด หรือการสูดเส้นราเม็งเสียงดัง …. จนตอนหลังคุณดันเอากลับมาทำที่ไทยด้วย
  32. รวมถึงคุณเขินอายสุดๆในครั้งแรกที่คุณต้องแก้ผ้าเข้าออนเซ็นร่วมกับเพื่อนๆ … จนเวลาผ่านไปคุณก็แก้ผ้าเข้าออนเซนแถมเม้าท์มอยกับเพื่อนพลาง แช่น้ำพลางเป็นชั่วโมง ปราศจากความเอียงอายอีกต่อไป
  33. ถ้าคุณเรียนที่โตเกียวคุณจะถนัดยืนชิดซ้ายบนบันไดเลื่อน ถ้าคุณไปเรียนที่โอซาก้าคุณจะถนัดยืนชิดขวา แต่ถ้าคุณไปเรียนทีเกียวโตคุณจะไม่ถนัดด้านไหนเลย
  34. คุณกะเวลาในการเดินทางได้เก่งมากเพราะทุกอย่างมีตารางเวลา แถมมาตรงเป๊ะ แม้กระทั่งรถเมล์ แต่ทุกอย่างพังทลายลงเมื่อคุณกลับมาเมืองไทย….
  35. คุณเดินได้อึดมากขึ้นมากๆ จนหลายๆคนมีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง
  36. คุณยืนจ้องให้ประตูรถแท็กซี่เปิดเอง แถมจำกลับมาใช้ที่ไทยด้วย จนคนขับแท็กซี่ด่า
  37. คุณชินกับการมีบัตรใบเดียวขึ้นรถไฟสายไหนก็ได้ รถเมล์สายไหนก็ได้
  38. แถมคุณยังชินกับการที่ทุกอย่างอัตโนมัติ ทั้งประตูเปิดเอง น้ำก๊อกไหลเอง หรือแม้แต่ส้วมยังเปิดฝาได้เอง
  39. ตอนแรกคุณไม่คิดว่าจะมีเพื่อนคนไทยมากมายเพราะกลัวจะไม่ได้ภาษา แต่เพื่อนคนไทยกลับเป็นเพื่อนที่คุณรักมากที่สุด ไม่ว่าจะกลับมาเมืองไทยแล้วก็ตาม
  40. คุณมักจะติดปากและพูดออกมาเสมอเวลาคุยกับใครก็ตามว่า “ตอนที่เราอยู่ญี่ปุ่นนะ….” เพราะช่วงเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำของคุณ :)

Thursday, January 01, 2015

สนามบิน

เชื่อว่าหลายๆคนคงจะมีความรู้สึกเกี่ยวกับสนามบินที่แตกต่างกันไป 

โบว์เป็นคนหนึ่งที่ใช้บริการสนามบินค่อยข้างบ่อย และมีความผูกพันธ์กับสนามบินมากพอสมควร อาจจะเป็นเพราะปะป๊าเป็นคนที่เดินทางบ่อยมาก ทำให้ตั้งแต่เด็กๆโบว์จะมารับ มาส่ง มาเดินเล่นที่สนามบินอยู่เป็นประจำ ทำให้ได้สังเกตุอะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในสนามบินมาแล้วเป็นเวลานาน

ถ้าใครได้ดู Love Actually คงจะจำเนื้อเรื่องส่วนหนึ่งโดยเฉพาะตอนจบของเรื่องนี้ได้ว่า สนามบินนั้นเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความรัก ความสุขของคนที่ได้กลับบ้าน ความคิดถึงของคนที่มารอรับ มันช่างเป็นสถานที่ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นและความสุข

แต่สำหรับโบว์แล้ว สนามบินเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ...

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาโบว์มีโมเม้นต์ของการเดินทางคนเดียวบ่อยมาก ... บ่อยจนเริ่มรู้สึกแล้วว่าการเดินทางคนเดียวนี่มันช่างคล่องตัวอะไรอย่างนี้ จะเดินไปไหน จะเช็คอิน จะผ่าน ต.ม. เดินซื้อของ ฯลฯ ก็เป็นไปได้โดยอัตโนมัติ เหมือนแทบจะหลับตาเดินแล้วสเต็ป 1-2-3-4 ไปได้เลยโดยไม่ต้องมีคุณพ่อคุณแม่มาลากให้ไปตรงนั้นตรงนี้เหมือนตอนเด็กๆ

นอกจากความคล่องตัวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ได้ทำคือการนั่งสังเกตและพิจารณาพฤติกรรมของคนที่สนามบิน

สนามบินอาจจะไม่ใช่แค่ที่ที่ดูผิดที่ผิดทางเพราะมีคนแต่งตัวแตกต่างกันอย่างสุดขั้วมารวมอยู่ด้วยกันในที่เดียว เช่น คุณอาจจะเห็นคนใส่กางเกงขาสั้นรองเท้าแตะยืนต่อแถวแลกเงินแถวเดียวกับคนที่ใส่รองเท้าบู้ทหนังสูงและพาดเสื้อโค้ทไว้ที่แขน หรือสถานที่ที่อบอวลไปด้วยความรักเสมอไป แต่มันยังแอบซ่อนไปด้วยความเศร้าและความเหงาไปพร้อมๆกัน ซึ่งในหลายๆครั้งโบว์ก็เป็นเช่นนั้น

หลายครั้งที่เดินทางคนเดียว โดยเฉพาะในช่วงที่ต่างประเทศใกล้จะเปิดเทอมจะเห็นเด็กวัยรุ่นตาแดงๆนั่งกอดกระเป๋ารออยู่ที่ Gate คนเดียวอยู่เสมอ น้องคนนั้นอาจจะต้องกำลังจากบ้าน จากคนที่รักไปเรียนในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนในชีวิตคนเดียว .... ซึ่งสิ่งนั้นก็เคยเกิดขึ้นกับโบว์ในช่วงอายุใกล้ๆกันแบบนั้นมาก่อนเช่นกัน

แต่เชื่อเถอะว่า การเดินทางคนเดียว (ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรก) ของน้องคนนั้น จะไม่ใช่การเดินทางคนเดียวครั้งเดียวของเค้าแน่นอน ยิ่งถ้าเค้าเป็นคนที่เดินทางบ่อยแบบโบว์ด้วยแล้ว ... เพราะในอนาคตเราไม่สามารถกำหนดได้หรอกว่าการเดินทางของเรานั้นจะมีคนเดินร่วมทางไปด้วยหรือเปล่า ถ้ามีก็ดีเพราะคงไม่เหงา แต่ถ้าไม่มีก็คงจะดีกว่าถ้าเราจะสามารถทำใจล่วงหน้าเอาไว้ก่อน เพราะจริงๆแล้วการเดินทางคนเดียวคงจะเหงาแค่เฉพาะตอนเดินทางเท่านั้น แต่เมื่อถึงจุดหมายแล้วมันจะยังมีเรื่องราวอีกเยอะที่เราต้องเจอ และอาจจะลืมหรือไม่มีเวลานึกถึงความเหงาเพียงชั่วขณะนั้นไปเลยก็ได้

วันนี้โบว์ขึ้นเครื่องบินที่สนามบินเพื่อเดินทางมาเชียงใหม่คนเดียว นอกจากความคล่องตัวแล้วก็ยังแอบรู้สึกเหงานิดๆไม่ได้ แต่พอคิดถึงว่าปลายทางนั้นมีคนที่รออยู่แล้ว ความเหงาชั่วแป๊บๆก็ดูเหมือนจะไม่สำคัญอะไร

หากเปรียบชีวิตคือการเดินทางแล้ว สนามบินอาจจะเป็นเพียงจุดพักผ่อนหย่อนใจให้คุณเดินเล่น ซื้อของดิวตี้ฟรี กินขนมของว่างก่อนรอขึ้นเครื่อง แต่ก็เป็นแต่การพักผ่อนแค่ชั่วคราว เพราะถ้าผ่านเข้าจุด check-in แล้วคงยากที่จะหันหลังกลับและไม่เดินทางต่อ

แต่อย่าลืมว่าจุดหมายปลายทางนั้นโดยมากแล้วคุณจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะไปที่นั่น หรือไม่ไป

สวัสดีปีใหม่ทุกคนค่ะ ขอให้ปีนี้เป็นการเดินทางที่ราบรื่นและไม่ตกหลุมอากาศนะคะ :)