โพสนี้เกิดขึ่นหลังจากเริ่มงานใหม่ได้ 1 สัปดาห์ หลังจากที่เดินทางตามหาตัวเองมาเนิ่นนาน สำหรับใครที่กำลังตามหาตัวเอง กำลังจะเลือกสายเรียน กำลังจะเรียนต่อ กำลังหางานใหม่ กำลัง กำลัง กำลัง อะไรต่างๆที่ต้องการที่จะนำไปสู่จุดเปลี่ยน ลองอ่านดูเผื่อประสบการณ์เล็กๆของเราจะพอช่วยคุณได้
1. ก่อนจะเลือกสายเรียน คณะที่จะเรียน ถามตัวเองให้แน่ๆก่อนว่าเราอยากจะทำสิ่งนั้นไปตลอดชีวิตหรือเปล่า
- ตอนเด็กๆโบว์ตัดสินใจเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพียงด้วยความคิดที่ว่าเราชอบอะไรที่เป็นต่างประเทศ ชอบฟังเพลงฝรั่ง ชอบเรียนภาษา ชอบเดินทาง ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากเป็นทูต อยากไปทำงานหลายๆประเทศ มันเท่ดี ทั้งๆที่ตอนนั้นปราศจากความรู้เลยว่าการจะไปเป็นข้าราชการทางการทูตนั้นคืออะไร เค้าทำอะไรบ้าง แม้แต่หลักสูตรที่เค้าสอนที่คณะรัฐศาสตร์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเนี่ยเค้าเรียนอะไรกันบ้างตอนนั้นก็ยังคลุมเครือ
สิ่งที่อยากจะบอกคือก่อนที่จะเลือกคณะ (ในกรณีที่คุณเลือกได้) ให้ศึกษาให้ดีก่อนว่าเค้าสอนอะไร แล้วคุณอยากเรียนอันนั้นจริงหรือเปล่า ลองใช้เวลาคิดดูให้ดีๆ เพราะมันจะส่งผลต่อการทำงานของคุณในอนาคตที่จะกล่าวในข้อต่อๆไป
2. เรียนจบมาแล้ว อยากเปลี่ยนสายทำไงดี
- สิ่งที่รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดอย่างหนึ่งในชีวิต คือ การที่ไปเรียนต่อเลย (ในสายการศึกษาเดิม) โดยที่ยังไม่ได้ทำงานเลยสักนิด ถ้าย้อนเวลาได้ ตอนนั้นอยากจะไปทำงานอะไรก็ตามก่อนที่จะไปเรียนต่อ เพราะถามว่าชอบวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไหม ตอบได้เลยว่าชอบมากๆ และโคตรภูมิใจเลยเวลาที่เราสามารถคิดอะไรได้แบบที่นักรัฐศาสตร์คิด ทุกวันนี้ยังภูมิใจมากๆอยู่ที่ได้เรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่คิดว่าจะเอาไปทำมาหากินอะไร ตอบไม่ถูกเลยทีเดียว ความคิดที่บอกว่าอยากเป็นทูตๆตอนเด็กๆ พอโตมาก็รู้แล้วว่าไม่อยากทำงานราชการ แต่เนื่องจากจังหวะ และโอกาสหลายๆอย่าง ทำให้ไปเรียนต่อป.โทที่ญี่ปุ่นทันทีหลังจากที่เรียนจบป.ตรี
สำหรับคนที่กำลังจะจบป.ตรี และตัดสินใจอยู่ว่าจะเรียนต่อหรือทำงานดี ขอบอกเลยว่าให้ไปทำงานก่อน ทำงานสักสองสามปี (ปีเดียวก็ยังไม่พอนะ พูดเลย) ตอนนั้นเราจะเริ่มรู้แล้วว่าเราอยากทำอะไร ก่อนจะเข้าไปทำงานเราไม่รู้หรอกในบริษัท (หรือหน่วยงานต่างๆ) เค้ามีตำแหน่งอะไรบ้าง แล้วแต่ละตำแหน่งเค้าทำหน้าที่อะไร พอสองสามปีถ้าเราโอเคกับงานที่ทำ เราก็อาจจะเลือกเรียนต่อสิ่งเดิม หรือไม่ต้องไปเรียนเลยก็ได้ด้วยซ้ำ บางทีปริญญาตรีมันก็พอแล้วแหละ บอกตรงๆ ... แต่ถ้าเกิดเราทำงานไปทำงานมาแล้วรู้สึกว่า ไม่นะ..นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ชั้นอยากทำ ก็แนะนำให้ไปเรียน ป.โทในสายอื่นที่มันจะสามารถเบนไปได้ ซึ่งมันเป็นเป็นใบเบิกทางให้คุณไปสมัครงานที่ใหม่ได้ดีขึ้น
ตอนโบว์ทำงานมาได้สักพักหลังเรียนจบ โบว์ก็เริ่มรู้แล้วว่าสิ่งไหนโบว์ชอบ สิ่งไหนโบว์ไม่ชอบ โบว์ก็จะเลือกหางานใหม่ในสาขาที่โบว์ชอบ ถ้าที่ไหนเรียกเราไปสัมภาษณ์ในสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็ไม่เอาเลย แต่ปัญหาของโบว์อย่างที่บอกคือโบว์เรียนมาไม่ตรงสายงานที่เราอยากทำ เรียนป.โทก็เรียนจบมาแล้วจะให้ไปเรียนใหม่อีกเร๊อะ ทำให้การหางานใหม่ที่ไม่ตรงสายที่จบมานี่มันยากมากๆขอบอก
3. คอนเนคชั่น
- อันนี้ออกเป็นปัญหาส่วนตัวเล็กน้อย นี่ขนาดตัวเองเป็นคนที่หาเรื่องคุยกับชาวบ้านได้ง่ายมาก คิดว่าเป็นคนปรับตัวในสังคมใหม่ๆได้เก่งพอสมควร ตอนนี้ยังรู้สึกเหงาเลยขอบอก เนื่องจากที่บอกว่าย้ายสายงานมาทำในสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับที่เรียนมาตอนป.ตรีและป.โทเลย ทำให้เพื่อนๆที่ที่ทำงานใหม่นี่เราไม่สามารถนับญาติได้เลย เทียบกับที่เก่า เช่น "อุ๊ย..จบคณะเดียวกันเลย (ถึงรุ่นจะห่างกันเป็นสิบปี...) รู้จักอาจารย์...ไหม" หรือ "อุ๊ย..เรียนญี่ปุ่นมาเหมือนกัน อยู่เมืองอะไรเหรอ" พอมาที่ใหม่นี่ไม่รู้จะนับญาติอย่างไร รู้สึกเคว้งคว้างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคิดว่าคงต้องใช้เวลาปรับตัวในระดับหนึ่ง (...แอบคิด นี่ถ้าชั้นไปทำงานกระทรวงต่างประเทศนะ เพื่อนนี่เกือบร้อย)
ไม่ใช่แค่นี้แต่ในหลายๆองค์กร การมีคอนเนคชั่นที่ดีมันจะช่วย facilitate งานในหลายๆอย่าง เช่น ก่อนหน้านี้ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา โชคดีมากไปเรียนที่ญี่ปุ่น มีเพื่อนๆพี่ๆจบมาเป็นอาจารย์กันให้เพียบ จะเข้าไปติดต่อมหาวิทยาลัยก็สะดวกสุดๆ เนื่องจากมีคนในช่วยแทงเรื่องไปให้ เป็นต้น
เคยไปบรรยายในการศึกษาต่อญี่ปุ่นชอบมาคุณพ่อคุณแม่มาขอคำปรึกษาว่าอยากให้ลูกไปเรียนป.ตรีที่ญี่ปุ่นเลยจะดีไหม ... จริงๆอันนี้มันแล้วแต่เลยนะว่าจะดีไหม ถ้าถามเราเราก็จะบอกว่าเราสนับสนุนให้เรียนป.ตรีที่ไทยก่อนเพื่อที่จะมีสังคม มีคอนเนคชั่น ต่อไปถ้าจะกลับมาเมืองไทยแล้วจะทำอะไรก็จะมีเพื่อนๆกันอยู่ โดยเฉพาะในสายวิชาเดียวกันด้วยแล้ว ... แต่ทั้งนี้มันแล้วแต่ครอบครัวจริงๆ บางคนไม่ต้องใช้คอนเนคชั่นอะไรเลยด้วยซ้ำก็เจริญรุ่งเรืองไปได้ก็ได้นะ แต่ถ้าให้โบว์เลือกโบว์ก็ว่ามีคอนเนคชั่นไว้ก่อนดีกว่า (ซึ่งบางทีคุณพ่อคุณแม่จะไม่เชื่อโบว์นะ แบบทำไมลูกเพื่อนไปเรียนตั้งแต่ม.ต้น ไม่เห็นเค้าแคร์ไรเลย... ก็อันนั้นเค้าไม่แคร์อ่ะค่ะ ถ้าคุณพ่อไม่แคร์ก็ส่งไปได้เลยค่าา)
ดังนั้นเลยอยากจะวนไปที่ข้อแรกที่บอกว่าให้หาตัวเองให้เจอก่อนที่จะเลือกคณะ เพราะนี่ตอนนั้นยังหาไม่เจอ มาหาเจอหลังจากที่เวลาล่วงเลยไปนานมากแล้ว (แต่ยังนับว่าโชคดีที่ยังเปลี่ยนได้ทัน ไม่รอไปนานกว่านี้จนเปลี่ยนไม่ได้แล้ว) ลองใช้เวลาไตร่ตรองถามตัวเองดูสักนิดว่าเราชอบอะไร ดูจากงานอดิเรกที่เราทำก็ได้แล้วก็เอามาพลิกแพลง เพราะอาชีพที่เราจะทำแล้วมีความสุขไปตลอดชีวิตนั้น มันต้อง base on ความชอบ และความสุขของเราเป็นหลักนะคะ
คนเริ่มหาตัวเองเจอก่อน คนนั้นได้เปรียบ อันนี้พูดเลย
No comments:
Post a Comment