Monday, August 19, 2013

ได้เวลาถามตัวเอง

โพสนี้เกิดขึ่นหลังจากเริ่มงานใหม่ได้ 1 สัปดาห์ หลังจากที่เดินทางตามหาตัวเองมาเนิ่นนาน สำหรับใครที่กำลังตามหาตัวเอง กำลังจะเลือกสายเรียน กำลังจะเรียนต่อ กำลังหางานใหม่ กำลัง กำลัง กำลัง อะไรต่างๆที่ต้องการที่จะนำไปสู่จุดเปลี่ยน ลองอ่านดูเผื่อประสบการณ์เล็กๆของเราจะพอช่วยคุณได้

1. ก่อนจะเลือกสายเรียน คณะที่จะเรียน ถามตัวเองให้แน่ๆก่อนว่าเราอยากจะทำสิ่งนั้นไปตลอดชีวิตหรือเปล่า

- ตอนเด็กๆโบว์ตัดสินใจเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพียงด้วยความคิดที่ว่าเราชอบอะไรที่เป็นต่างประเทศ ชอบฟังเพลงฝรั่ง ชอบเรียนภาษา ชอบเดินทาง ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากเป็นทูต อยากไปทำงานหลายๆประเทศ มันเท่ดี ทั้งๆที่ตอนนั้นปราศจากความรู้เลยว่าการจะไปเป็นข้าราชการทางการทูตนั้นคืออะไร เค้าทำอะไรบ้าง แม้แต่หลักสูตรที่เค้าสอนที่คณะรัฐศาสตร์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเนี่ยเค้าเรียนอะไรกันบ้างตอนนั้นก็ยังคลุมเครือ

สิ่งที่อยากจะบอกคือก่อนที่จะเลือกคณะ (ในกรณีที่คุณเลือกได้) ให้ศึกษาให้ดีก่อนว่าเค้าสอนอะไร แล้วคุณอยากเรียนอันนั้นจริงหรือเปล่า ลองใช้เวลาคิดดูให้ดีๆ เพราะมันจะส่งผลต่อการทำงานของคุณในอนาคตที่จะกล่าวในข้อต่อๆไป

2. เรียนจบมาแล้ว อยากเปลี่ยนสายทำไงดี
- สิ่งที่รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดอย่างหนึ่งในชีวิต คือ การที่ไปเรียนต่อเลย (ในสายการศึกษาเดิม) โดยที่ยังไม่ได้ทำงานเลยสักนิด ถ้าย้อนเวลาได้ ตอนนั้นอยากจะไปทำงานอะไรก็ตามก่อนที่จะไปเรียนต่อ เพราะถามว่าชอบวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไหม ตอบได้เลยว่าชอบมากๆ และโคตรภูมิใจเลยเวลาที่เราสามารถคิดอะไรได้แบบที่นักรัฐศาสตร์คิด ทุกวันนี้ยังภูมิใจมากๆอยู่ที่ได้เรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่คิดว่าจะเอาไปทำมาหากินอะไร ตอบไม่ถูกเลยทีเดียว ความคิดที่บอกว่าอยากเป็นทูตๆตอนเด็กๆ พอโตมาก็รู้แล้วว่าไม่อยากทำงานราชการ แต่เนื่องจากจังหวะ และโอกาสหลายๆอย่าง ทำให้ไปเรียนต่อป.โทที่ญี่ปุ่นทันทีหลังจากที่เรียนจบป.ตรี

สำหรับคนที่กำลังจะจบป.ตรี และตัดสินใจอยู่ว่าจะเรียนต่อหรือทำงานดี ขอบอกเลยว่าให้ไปทำงานก่อน ทำงานสักสองสามปี (ปีเดียวก็ยังไม่พอนะ พูดเลย) ตอนนั้นเราจะเริ่มรู้แล้วว่าเราอยากทำอะไร ก่อนจะเข้าไปทำงานเราไม่รู้หรอกในบริษัท (หรือหน่วยงานต่างๆ) เค้ามีตำแหน่งอะไรบ้าง แล้วแต่ละตำแหน่งเค้าทำหน้าที่อะไร พอสองสามปีถ้าเราโอเคกับงานที่ทำ เราก็อาจจะเลือกเรียนต่อสิ่งเดิม หรือไม่ต้องไปเรียนเลยก็ได้ด้วยซ้ำ บางทีปริญญาตรีมันก็พอแล้วแหละ บอกตรงๆ ... แต่ถ้าเกิดเราทำงานไปทำงานมาแล้วรู้สึกว่า ไม่นะ..นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ชั้นอยากทำ ก็แนะนำให้ไปเรียน ป.โทในสายอื่นที่มันจะสามารถเบนไปได้ ซึ่งมันเป็นเป็นใบเบิกทางให้คุณไปสมัครงานที่ใหม่ได้ดีขึ้น

ตอนโบว์ทำงานมาได้สักพักหลังเรียนจบ โบว์ก็เริ่มรู้แล้วว่าสิ่งไหนโบว์ชอบ สิ่งไหนโบว์ไม่ชอบ โบว์ก็จะเลือกหางานใหม่ในสาขาที่โบว์ชอบ ถ้าที่ไหนเรียกเราไปสัมภาษณ์ในสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็ไม่เอาเลย แต่ปัญหาของโบว์อย่างที่บอกคือโบว์เรียนมาไม่ตรงสายงานที่เราอยากทำ เรียนป.โทก็เรียนจบมาแล้วจะให้ไปเรียนใหม่อีกเร๊อะ ทำให้การหางานใหม่ที่ไม่ตรงสายที่จบมานี่มันยากมากๆขอบอก

3. คอนเนคชั่น
- อันนี้ออกเป็นปัญหาส่วนตัวเล็กน้อย นี่ขนาดตัวเองเป็นคนที่หาเรื่องคุยกับชาวบ้านได้ง่ายมาก คิดว่าเป็นคนปรับตัวในสังคมใหม่ๆได้เก่งพอสมควร ตอนนี้ยังรู้สึกเหงาเลยขอบอก เนื่องจากที่บอกว่าย้ายสายงานมาทำในสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับที่เรียนมาตอนป.ตรีและป.โทเลย ทำให้เพื่อนๆที่ที่ทำงานใหม่นี่เราไม่สามารถนับญาติได้เลย เทียบกับที่เก่า เช่น "อุ๊ย..จบคณะเดียวกันเลย (ถึงรุ่นจะห่างกันเป็นสิบปี...) รู้จักอาจารย์...ไหม" หรือ "อุ๊ย..เรียนญี่ปุ่นมาเหมือนกัน อยู่เมืองอะไรเหรอ" พอมาที่ใหม่นี่ไม่รู้จะนับญาติอย่างไร รู้สึกเคว้งคว้างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคิดว่าคงต้องใช้เวลาปรับตัวในระดับหนึ่ง (...แอบคิด นี่ถ้าชั้นไปทำงานกระทรวงต่างประเทศนะ เพื่อนนี่เกือบร้อย)

ไม่ใช่แค่นี้แต่ในหลายๆองค์กร การมีคอนเนคชั่นที่ดีมันจะช่วย facilitate งานในหลายๆอย่าง เช่น ก่อนหน้านี้ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา โชคดีมากไปเรียนที่ญี่ปุ่น มีเพื่อนๆพี่ๆจบมาเป็นอาจารย์กันให้เพียบ จะเข้าไปติดต่อมหาวิทยาลัยก็สะดวกสุดๆ เนื่องจากมีคนในช่วยแทงเรื่องไปให้ เป็นต้น

เคยไปบรรยายในการศึกษาต่อญี่ปุ่นชอบมาคุณพ่อคุณแม่มาขอคำปรึกษาว่าอยากให้ลูกไปเรียนป.ตรีที่ญี่ปุ่นเลยจะดีไหม ... จริงๆอันนี้มันแล้วแต่เลยนะว่าจะดีไหม ถ้าถามเราเราก็จะบอกว่าเราสนับสนุนให้เรียนป.ตรีที่ไทยก่อนเพื่อที่จะมีสังคม มีคอนเนคชั่น ต่อไปถ้าจะกลับมาเมืองไทยแล้วจะทำอะไรก็จะมีเพื่อนๆกันอยู่ โดยเฉพาะในสายวิชาเดียวกันด้วยแล้ว ... แต่ทั้งนี้มันแล้วแต่ครอบครัวจริงๆ บางคนไม่ต้องใช้คอนเนคชั่นอะไรเลยด้วยซ้ำก็เจริญรุ่งเรืองไปได้ก็ได้นะ แต่ถ้าให้โบว์เลือกโบว์ก็ว่ามีคอนเนคชั่นไว้ก่อนดีกว่า (ซึ่งบางทีคุณพ่อคุณแม่จะไม่เชื่อโบว์นะ แบบทำไมลูกเพื่อนไปเรียนตั้งแต่ม.ต้น ไม่เห็นเค้าแคร์ไรเลย... ก็อันนั้นเค้าไม่แคร์อ่ะค่ะ ถ้าคุณพ่อไม่แคร์ก็ส่งไปได้เลยค่าา)

ดังนั้นเลยอยากจะวนไปที่ข้อแรกที่บอกว่าให้หาตัวเองให้เจอก่อนที่จะเลือกคณะ เพราะนี่ตอนนั้นยังหาไม่เจอ มาหาเจอหลังจากที่เวลาล่วงเลยไปนานมากแล้ว (แต่ยังนับว่าโชคดีที่ยังเปลี่ยนได้ทัน ไม่รอไปนานกว่านี้จนเปลี่ยนไม่ได้แล้ว) ลองใช้เวลาไตร่ตรองถามตัวเองดูสักนิดว่าเราชอบอะไร ดูจากงานอดิเรกที่เราทำก็ได้แล้วก็เอามาพลิกแพลง เพราะอาชีพที่เราจะทำแล้วมีความสุขไปตลอดชีวิตนั้น มันต้อง base on ความชอบ และความสุขของเราเป็นหลักนะคะ

คนเริ่มหาตัวเองเจอก่อน คนนั้นได้เปรียบ อันนี้พูดเลย

Monday, August 12, 2013

Are you sure you want to permanently delete the selected message?

ห้าโมงเย็นของวันศุกร์สุดท้ายของการทำงานของฉัน
ฉันเก็บเอกสาร เครื่องเขียน ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาทั้งหมดที่สะสมไว้กว่าสามปีกว่าลงกล่อง
ที่นี่มีความทรงจำมากมาย ทั้งสนุกสุดเหวี่ยง ยุ่งเป็นบ้า หัวเสียถึงที่สุด หัวเราะจนท้องแข็ง
และน้ำตาไหลรินจนหมดตัว ... 

ห้าโมงสิบห้าของวันศุกร์สุดท้ายของการทำงานของฉัน
ฉันย้ายไฟล์ข้อมูลงานทั้งหมดลงใน external hard disk เพื่อเตรียมส่งต่องานให้คนต่อไป
ฉันเคลียร์ฮาร์ดดิสก์และเมลบ็อกซ์ของฉันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อที่จะดูให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้ลืมเซฟข้อมูลสำคัญเพื่อส่งต่อ 

ห้าโมงยี่สิบห้าของวันศุกร์สุดท้าของการทำงานของฉัน
ฉันบังเอิญเจออีเมลที่ฉันเคยเก็บไว้ในโฟลเดอร์ที่ลึกที่สุด ฉันเกือบจะลืมไปแล้วว่าฉันเคยได้รับอีเมลฉบับนี้
ฉันเคยมีความสุขมากเมื่อได้รับอีเมลนี้ และก็เสียใจมากเช่นกันเมื่อฉันได้อ่านมันอีกครั้ง
ความทรงจำบางอย่างมักจะสวยงามและเจ็บปวดได้ถึงแม้จะเป็นความทรงจำเดียวกันก็ตาม

ห้าโมงครึ่งของวันศุกร์สุดท้ายของการทำงานของฉัน
"Are you sure you want to permanently delete the selected message?"
"Yes"

ฉันยิ้ม ปิดคอมพิวเตอร์และก้าวเดินต่อไป :)

Friday, August 09, 2013

Thank you, Panasonic

Dear all,

Everybody always tells me that I'm such a talkative one ...
But for myself, I think my writing skill is far more better than my talking skill,
especially during the time I want to express my deepest feeling.

Maybe because I'm fast; I eat fast, I think fast, I speak fast ... too fast until I know
that I may not be able to tell you everything I want to tell because my thinking keep
speeding around. So I decided to write you this e-mail.

This is my last working day at PMT. I spent almost four years working here which is
similar to the time most people spend in university. So PMT is equivalent to my school.
That's why it's very hard to decide to leave here.

I came to PMT in the end of 2009, right after I graduated my Master's degree from Japan.
I was then clueless, without any understanding of corporate culture. With the help of management and
colleagues, I have learned to understand about working life little by little, and most of all I  have learned to
understand my own self which I was trying to find the answer for the almost 30 years of my life.

I may not be me today without the opportunity given by MD Yasuo (also, MD Murakami),
Ito san, Abe san P'Jiab Kesorn and Takayanagi san.

I may not be able to know that bosses are not evil as we always consume from soap opera
without a chance of working with P'Muay Sirirat and P'Dao who have become my sisters in real life.

I may not know that friendship among colleagues is real and precious without spending time with P'Por Nipa,
P'Jaa Sasalak, P'Noom Velawat, P'Nut Nuttika,, P'Kwan Ruechuda and P'Aoi Rungnapha.

I may not be able to understand the great working environment without working with the best team
on earth together with P'Nan Sangduen and P'Bai Chanon.

I may not know that colleagues are not just colleagues but they have become my family
without knowing each and every PMT members.

I may not passed though many new and challenging tasks without working with P'Mee Supatchara,
P'Jew Chartree, P'Put Puttaraksa, P'Bok Weeranuch, N'Pim Choltida from PAT,
P'Nok Busakorn and P'Tuum Chutimon from PST.

I may not be able to get my work done without the support of Panasonic Scholarship members
and Takahama san from PC, Junie, Fizzah, Viktoriya, Kan san, Cathy and Tsuchiya san from PA,
HR functional group, environmental functional group and group companies' members.

And last but not least, I may not be me today if I didn't have a chance  to work for Panasonic.

I don't know if can I find a place that has the best combination of everything like PMT has now or not in the future.
However, since life is like a journey, it is time for me to start a new path to walk. Please, continue your support for
my supervisor, P'Muay Sirirat, while waiting for my replacement to come.

I thought I had already got used to saying goodbye.
But after writing this e-mail to you, I know that even how many times we used to say goodbye,
we will never avoid the feeling of lost.

So I am not going to say goodbye but thank you for everything.
Because you know where to find me (...maybe on 'The Voice', but definitely not on 'Take Me Out Thailand').
I'm sure we'll meet again. Let's keep in close touch.

http://www.facebook.com/kajeeporn
kajeeporn@gmail.com

長い時間、お世話になりありがとうございます。凄く感謝致します。
ขอบคุณมากๆจริงๆที่ดูและกันมาตลอดค่ะ

Family forever.