Sunday, May 19, 2013

"เหตุผล" กับ "อารมณ์"

คำคนแปล จากหนังสือปีกปริศนา จิระนันท์ พิตรปรีชา
(The Soul Bird by Michal Snunit)

Credit: Dr. Matana Kettratad

ในภาษาส่วนใหญ่ของมนุษยชาติ 
คำว่า "เหตุผล" กับ "อารมณ์" มักถูกจัดแยกเป็นขั้วตรงข้ามที่ไม่มีอะไรร่วมกันเลย
... "อารมณ์"...[มัก]ถูกมองเป็นด้านที่ด้อยกว่า และอ่อนแอกว่า "เหตุผล"เสมอ
ทั้งๆที่อารมณ์หลายอย่างเป็นเรื่องสร้างสรรค์และทำให้คนเรารู้จักสะเทือนใจ หัวเราะ ร้องไห้ ได้อย่างที่ควรจะเป็น
...การกักกันตนเองในกรอบความคิดแบบนี้จนเคยชิน ทำให้เราเชื่อใน "เหตุผล" ของตนอย่างไร้เหตุผลเสียงเอง
จริงๆแล้ว นั้นก็เป็นเพียงอารมณ์หลุ่มหลงไปอีกแบบเท่านั้น
กรอบความคิดนี้ทำให้เราไม่กล้ายอมรับว่า

อารมณ์ไม่ใช่คู่แฝดจอมปวกเปียกขี้อิจฉาของเหตุผลผู้สูงส่งและแสนดี
แต่ทั้งสองอยู่ในตัวเราพร้อมกัน และเป็นคนเดียวกัน
ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากตัวเราเอง

ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง และไม่รู้จักจัดสมดุลให้สิ่งที่รวมอยู่ในตัวเราโดยเริ่มจากข้อเท็จจริง
เราก็จะรู้สึก อึดอัด สับสน และบางครั้งก็รู้สึกผิดโดยไม่จำเป็น 

หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องพูดออกมาว่า "ฉันเห็นด้วย ฉันเข้าใจ แต่ฉันทำไม่ได้"
นั่นเป็นเพราะเรายังไม่ได้สะสางความคิดเกี่ยวกับตนเองให้กระจ่างแจ้ง
และคำว่า "เห็นด้วย" หรือ "เข้าใจ" ที่กล่าวออกไปราวกับรู้เหตุรู้ผล รู้ผิดชอบดีชั่ว ทุกประการ
ก็มาจากภาวะอารมณ์ "เกรงใจ" อันคลุมเครือเท่านั้น

แต่ถ้าตัดความเกรงใจหรือเกรงกลัวออกไป
อย่างน้อยคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังมีสิทธิที่จะสะสางตัวเอง แล้วพูดเสียงดังว่า 
"ฉันไม่รู้ ไม่เข้าใจ ฉันจึงทำไม่ได้" หรือ "ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันจึงต้องทำ"
ไม่ว่ามันจะหมายถึงการทำสิ่งที่ดีงามหรือสิ่งตรงกันข้าม
ในขณะที่เด็กๆต้องยอมรับการชี้นำและอำนาจของผู้ใหญ่
โดยไม่อาจเรียกร้องหรือพิทักษ์สิทธิในการเข้าใจและตัดสินใจด้วยตนเอง....
เมื่อเด็ก..โตขึ้น เราสอนพวกเขาให้ปรับอารมณ์ให้เข้ากับเหตุผลที่เรายึดถือกันอยู่ 
และเริ่มใช้มาตรฐานแห่งความผิดชอบชั่วดีมาจำแนกตัดสินและลงโทษพวกเขา
แต่น่าเสียดายที่กรอบความคิดเดิม ทำให้เรามองไม่ออกว่า
การทำความเข้าใจกับกลไลการทำงาน
ของจิตใจเบื้องลึกน่าจะเป็นเรื่องสำคัญก่อนอื่น

ถ้าหากเราใช้เหตุผลของเราไปกดข่มอารมณ์ของเด็กๆเพียงเพราะเราคิดว่า
ในเมื่ออย่างหนึ่งถูก อีกอย่างหนึ่งก็ต้องผิด
และเด็กๆ "ต้องรู้ ต้องเข้าใจ ต้องทำ" ตามที่เราเห็นว่าถูกต้องสมควรทุกประการ
ในที่สุดก็อาจกลายเป็นการทำร้าย หรือกระทั่งทำลายในนามของความรักและความหวังดี

...

--------------------------------------------------------
สรุปคือ 
1. หลายๆครั้งเรานึกว่าเราเข้าใจแต่จริงๆเราไม่เข้าใจทั้งสถานการณ์และการทำงานของจิตใจเราเอง
เราเพียงแต่จำได้ว่า สังคมบอกเราว่า แบบนี้ควรหรือไม่ควร ถูกหรือผิด
2. ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สิ่งที่ควรฝึกคือมองเข้ามาข้างในให้เข้าใจอารมณ์ตัวเองก่อน 
(ก่อนที่จะด่วนกดอารมณ์นั้นไว้)
ให้จัดสมดุลอารมณ์กับเหตุผล โดยเฉพาะการมองให้เห็น ความกลัว ความเกรงในใจตัวเองก่อน
ก่อนที่จะจำเป็น pattern ว่าแบบนี้สังคมบอกว่าผิดหรือถูก 
3. เมื่อมองเห็นจนเกิดปัญญาแล้วก็จะเข้าใจจริงๆ คราวนี้ก็จะไม่มีความขัดแย้งภายใน
เมื่อสะสางได้จริงจะมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ต่างๆแค่ 2 ทางคือ
"ฉันไม่รู้ ไม่เข้าใจ ฉันจึงทำไม่ได้" หรือ "ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันจึงต้องทำ

ข้อ 3 นี้ น่าสนใจจริงๆ 
"ฉันรู้ ฉันเข้าใจแต่ทำไม่ได้" เป็นคำพูดติดปากใครหลายคน....
หรือที่แท้เรายังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย? 

Tuesday, May 14, 2013

- 10 things I hate about you -

I hate the way you talk to me, 
and the way you dye your hair.
I hate your bad-temper while driving your car, 
I hate it when you stare. 

I hate your same old slip on shoes 
and the way you read my mind. 
I hate you so much it makes me sick,
it even makes me rhyme. 

I hate the way you’re always right, 
I hate it when you never try. 
I hate it when you make me laugh,
even worse when you make me cry. 

I hate it when you’re not around, 
and the fact that you kept me waiting for your call. 
But mostly I hate the way I don’t hate you, 

not even close…

not even a little bit… 

not even at all.