Sunday, August 02, 2009

Lost soul in Seoul! Really!

ไม่ได้มาอัพบล็อคเสียนาน... หลังจากส่ง thesis ไปชีวิตก็ดูว่างเปล่าเคว้งคว้างเหลือเกิน
โคตรรรรรว่างงงงงงงงงงงงงงงง~ (ในขณะที่คนอื่นไม่ว่าง -"-)

จริงๆแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่งสอบจบไปค่ะ
ตอนนี้ก็เลยว่างของจริง...

กลายเป็นว่าเรียนจบอย่างไม่เป็นทางการ และตกงานอย่างเป็นทางการไปแล้วซะงั้น -"-

หลังจากสอบจบเสร็จ ที่เซมิก็วางแผนว่าจะไปเที่ยวเกาหลีกันค่ะ

(*มีคนที่ไม่ได้อยู่ญี่ปุ่นถามหลายคนแล้วว่าเซมิคืออะไร ลืมไป..ว่าคำนี้ใช้แต่ในประเทศนี้ เหอๆ
เดี๋ยวนี้เริ่มงงไปหมดแล้ว คำไหนมันใช้ในภาษาอะไรหว่า ปนเปมั่วซั่วไปหมด -"-
เซมิ (zemi) ที่ว่ามาจากภาษาอังกฤษคือ seminar ค่ะ ก็คือการสัมมนาในวิชาเรียน
ซึ่งในการเรียนระดับปริญญาโท และเอกที่ญี่ปุ่นทั้งหมด (มั้ง) จะนับว่าการเข้าสัมมนาเป็นวิชาบังคับอย่างหนึ่ง
โดยเข้าไปพบกับอาจารย์ที่ปรึุกษา และเพื่อนๆร่วมอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
ดังนั้นการไปกับเซมิก็คือไปกับอาจารย์ที่ปรึกษา และเพื่อนร่วมอาจารย์ที่ปรึกษา เช่นนี้นี่เอง)

จริงๆทริปเกาหลีครั้งนี้วางแผนไว้นานมากแล้ว เนื่องจากเงินมันเหลือเล็กน้อยจากที่ขอเบิกจากมงบุโช (กระทรวงศึกษา) เพื่อที่จะไปสัมมนาที่อเมริกาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
(คลิกดูที่นี่ค่ะhttp://sweet-choco-cookie.blogspot.com/2009/03/busy-february.html)

(ลองคิดดูแล้วกันว่ามันได้มาเยอะขนาดไหน ไปอเมริกาห้าวันเสียตังค์ตัวเองไปแค่ค่าอาหาร (บางมื้อ) และค่าช็อปปิ้ง ยังจะเหลือมาให้ไปเที่ยวได้อีก ... ที่กระทรวงศึกษามีงบประมาณส่วนนี้ไว้เนื่องจากเค้ามีนโยบายจะเปิดกว้างคนญี่ปุ่นสู่โลกกว้าง และพอเป็นนักเรียนต่างชาติก็มีสิทธิพิเศษอีก มันก็เป็นเช่นนี้แล สรุปมาเป็นนักเรียนต่างชาติที่นี่ก็เบิกมาคุ้มกับค่าเทอมที่เสียไปแล้วล่ะ 55555+)

เข้าเรื่องต่อ...
ตอนแรกอาจารย์ให้เลือกบอกว่า...เนี่ย เงินเหลือนิดหน่อยจะไปไหนดี ให้เลือกระหว่างเกาหลี กับชิบะ (ที่ๆเป็นที่ตั้งของสนามบินนาริตะ และดิสนีย์แลนด์)

แล้วใครมันจะเลือกชิบะคะคุณ!!!

สรุปเลยได้ไปเกาหลี ด้วยความช่วยเหลือจากโยชิ เพื่อนที่เซมิที่เคยไปใช้ชีิวิตสองปี รวมถึงไปแลกเปลี่ยนอีกครึ่งปีที่เกาหลี และมีแฟนเป็นคนเกาหลี ... ด้วยประการฉะนี้

แต่วันนี้ไม่ได้จะมาเล่าเรื่องเกาหลีอะไรมากมาย...ใครอยากทราบว่าไปไหนมาบ้างก็คลิกไปดูที่ลิงค์นี้นะคะ http://bowbowbow.multiply.com/photos/album/274/Shinohara_Zemi_in_Seoul_July_2009 มีรูปและคำบรรยายใต้ภาพเสร็จสรรพ

เพราะจริงๆแล้วก็ไม่ได้ไปเที่ยวอะไรเท่าไหร่หรอก เนื่องจากอาจารย์บอกว่า "เราเอาเงินเซมิที่ควรจะใช้ในการศึกษาไปกันส่วนหนึ่ง ดังนั้นเราต้องมาเรียนและได้ความรู้กลับไปด้วย" (อาจารย์เป็นนักประวัติศาสตร์ เหอๆ)

ดังนั้นช่วงเวลากลางวันทั้งหมด..ก็หมดไปกับการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์สงครามในเกาหลี เช่น ความโหดร้าย แร้นแค้นของชาวเกาหลีในช่วง 36 ปีที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครอง ประวัติศาสตร์การต่อสู้กับญี่ปุ่น (ประเทศเพื่อนบ้านกันน่ะค่ะ ก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ดูอย่างไทยกับพม่าซิ) และประวัติศาสตร์สงครามเกาหลีเป็นต้น

ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอเอาวีดีโอที่ถ่ายจากพิพิธภัณฑ์ The War Memorial of Korea เกี่ยวกับบทบาทของกองทัพไทยในการช่วยเหลือเกาหลีใต้ในช่วงสงครามเกาหลีมาให้ชมกันเป็นความรู้เล็กๆน้อยๆ (เป็นภาษาไทย)



เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งใน 54 ประเทศที่ส่งทหารไปช่วยรบในสงครามเกาหลี ทำให้ปัจจุบันนี้เราไม่ต้องไปทำวีซ่าเพื่อเข้าประเทศเกาหลีไงก๊ะ

*****************************************

Multiply

การไปเกาหลีครั้งนี้...ได้อะไรกลับมาหลายอย่าง
นอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์สงครามในเกาหลี และได้ช็อปปิ้ง (แลกเงินไป 200 USD เหลือเงินกลับติดลบ เหอๆ) แล้ว ยังได้รับความไม่ประทับใจเล็กๆน้อยๆกลับมาด้วย ไม่ทราบว่าเป็นคราวซวยของขจีภรณ์หรืออย่างไร เพราะทำไมขจีภรณ์เจอซ้ำซ้อน แถมบางเรื่องยังเจอคนเดียวอีกด้วย (ทั้งๆที่ไปด้วยกันหลายคน) -"-

ืทุกเหตุการณ์ที่จะยกตัวอย่างให้ทราบกันนี้เกิดขึ้นที่ "เมียงดง" (เป็นย่านช็อปปิ้งเหมือนสยามบ้านเรา)
Multiply

ขอแจกแจงเป็นข้อๆ สามข้อดังนี้

1. คุณลุงญี่ปุ่นขี้หื่น
- เนื่องจากตอนกลางวันเราเหน็ดเหนื่อยกับการหาความรู้ใส่หัวกันแล้ว ตอนกลางคืนก็เลยขออาจารย์ไปช็อปปิ้ง โดยไปกับเพื่อนสาวชาวจีน ชื่อ ฟานซัง

ฟานซังเป็นคนที่ใช้เวลาคิด และลังเลกับการเลือกของเป็นอย่างมาก อันนี้เราจะไม่พูดถึงเนื่องจากนิสัยแต่ละคนต่างกัน (ทุกๆท่านคงทราบอยู่ว่าขจีภรณ์เป็นคนทำอะไรเร็ว เหอๆ) แต่ในขณะที่กำลังเดินเลือกของ และกินไอติมชื่อดังที่มีขนาดสูง 1 ฟุตกันอยู่สองคนนั้น ก็ได้ป๊ะกับคุณลุงชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง
Multiply

คุณลุงกลุ่มนั้นได้ถามเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "ซื้อที่ไหน" (ย่านเมียงดงคนพูดญี่ปุ่นกันได้เกือบทุกคน บางร้านมันโฆษณาหน้าร้านประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการรู้ภาษาญี่ปุ่นมีประโยชน์กว่าภาษาอังกฤษ)

ก็เลยชี้และตอบกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "ตรงนั้นค่ะ"

คุณลุงกลุ่มนั้นก็ตกใจแล้วถามว่าคนญี่ปุ่นหรือ (เวรกรรม แล้วถามตูเป็นญี่ปุ่น แล้วคิดว่าตูจะตอบกลับเป็นภาษาไรล่ะคะ)
ก็เลยบอกไปว่า ไม่ใช่ๆ เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น คุณลุงก็เลยถามมาว่า..

"ไปคาราโอเกะกันมั้ย?"

เอ่อะ....

2. แท็กซี่สุดเอาเปรียบ
- คืนวันเดียวกันขณะที่กำลังจะกลับจากเมียงดงไปโรงแรมโดยใช้บริการแท็กซี่ (ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว เกือบๆห้าทุ่มได้ และฝนตกปรอยๆ) ก็เดินไปเจอแท็กซี่จอดอยู่หน้าปากซอย เลยเข้าไปบอก (เป็นภาษาญี่ปุ่นอีกแล้ว) ว่าจะไปที่นี่ๆ

ลุงแท็กซี่...พูดญี่ปุ่นคล่องมาก ก็บอกว่า "เนี่ย..โรงแรมนี้ใช่ไหม แต่ว่าตอนนี้นะมันปิดบริการแล้วนะ เพราะฉะนั้นเนี่ยขอคิดเป็นสองคน 10,000 วอน โอเคไหม"

เอ่อะ...ตูไม่ได้โง่นะ ตอนตูมา 3,000 วอน นี่จะมาปิดมิเตอร์เอาเปรียบผู้บริโภคเหรอยะ

ก็เลยเดินหนีไปและไปขึ้นคันอื่น

(เหมือนเคยเจอเหตุการณ์ประเภทนี้ที่เมืองไทยอย่างไรก็ไม่ทราบ...เข้าใจเลยว่านักท่องเที่ยวที่เจอแบบนี้รู้สึกยังไง เหอๆ)

3. โรคจิตโชว์ของ!!!
- อันนี้เด็ดสุด เพราะสองเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเจอสองคน แต่อันนี้ถึงแม้จะไปด้วยกันสองคน แต่ดันเห็นคนเดียวค่ะคุณ!

พอดีว่าหลังจากที่กำลังจะออกจาเมียงดง (ที่เจอเหตุการณ์สองเหตุการณ์ข้างต้น) ฟานซังนึกได้ว่าลืมถุงช็อปปิ้งถุงหนึ่งไว้ที่ไหนซักที พอย้อนกลับไปร้านที่คิดว่าลืมของไว้ก็ปิดไปแล้ว วันต่อมาเลยกลับมาที่เมียงดงอีกครั้งเพื่อตามหาถุงดังกล่าว อันนี้เพืือนๆทุกคนและอาจารย์ก็มาด้วย แล้วก็เจอถุง ก็ดีใจไปตามระเบียบ สักพักอาจารย์ก็ปล่อยให้เป็นฟรีไทม์ ฟานซัง (เนื่องจากอยากได้กระเป๋าใหม่มาก แต่เมื่อวานเนื่้องจากเจ้ใช้เวลาเลือกของนานไปหน่อย ร้านมันก็เลยปิดหมด) เลยชวนขจีภรณ์ไปหาซื้อกระเป๋า ค่ะ..ขจีภรณ์ก็เลยไปด้วย

แต่ไม่รู้เกิดเหตุอาเพศอะไรขึ้นมา ... วันนั้นมันคนเยอะมากกกก (ทั้งๆที่เป็นวันธรรมดา สงสัยปิดเทอม)
แล้วขณะที่เดินเบียดกับฝูงชนอยู่นั้น ขจีภรณ์ดันเหลือบมองต่ำขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจ... แล้วก็เห็น!!!

ชายคนหนึ่ง ไม่รูดซิบกางเกง ไม่ใส่กางเกงใน และเิดินโชว์น้องชายอยู่โทงๆ

ตกใจสิคะ!

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้...เพราะคนเดินไปเดินมาเยอะมาก
คิดว่าวันนั้นขจีภรณ์ไม่ได้เห็นคนเดียว แต่คงมีผู้โชคร้ายทางดวงตาต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าวอีกหลายคน
ทว่า...ทำไมเพื่อนตูไม่เห็นฟระ!

(มีคนบอกว่า..น่าจะเอามือถือมาถ่ายให้มันอาย แต่เข้าใจไหม..วินาทีนั้นใครมันจะไปคิดทัน ได้แต่ตกใจ เหอๆ)


*************************************

อุทธาหรณ์ที่ได้จากเหตุการณ์ที่เกาหลีครั้งนี้...ถ้าเป็นสตรีเพศ ควรจะนำบุรุษเพศติดตัวท่านไปด้วย ท่านจะไม่พบเหตุการณ์เช่นนี้



จบเรื่องราวของประเทศเกาหลีแต่เพียงเท่านี้...สวัสดีค่ะ

No comments: