สวัสดีค่ะ
ช่วงสัปดาห์นี้ที่จุฬาฯมีกิจกรรมของคณะต่างๆหลายงานเหมือนกัน
หลายงานที่ว่าอ่ะเท่าที่รู้มันมีสองงานอ่ะนะ เหอๆๆๆ
จริงๆแล้วอยากจะไปงานกิฟท์ของคณะครุฯศิลป์อยู่เหมือนกัน แต่ว่ามันจัดงานวันพุธ-ศุกร์น่ะ แล้วเราออกไปเรียนวันพฤหัสฯวันเดียว ประกอบกับคณะเราก็จัดงาน"รัฐศาสตร์แฟร์"ครั้งที่ 4 เหมือนกัน
แหม คณะตัวเองจัดงานชนกะคณะอื่น จะให้ไปคณะอื่นได้ไงล่ะ จริงป่ะ เหอๆๆๆ
(ข้ออ้างน่ะ จริงๆแล้วขี้เกียจเดิน -_-")
งานรัฐศาสตร์แฟร์ปีนี้ จัดขึ้นใน theme เดิมคือ "งานวัด" หลังจากที่เริ่มจัด theme นี้เมื่อตอนเราอยู่ปีสาม คือครั้งที่สองน่ะนะ แล้วมันประสบความสำเร็จมากๆ คนมาเที่ยวงานเยอะมากกกกก
(ตอนจัดครั้งแรกไม่ค่อยมีคนมาเท่าไหร่ เพราะเหมือนออกแนววิชาการเกินไปมั้ง คนเรามักชอบเรื่องไม่มีสาระมากกว่าอยู่แล้ว เหอๆๆ)
งานนี้ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า เนื่องจากที่ได้แถลงการณ์ไปเมื่อไม่นานมานี้ว่ากล้องมันป่วยเล็กน้อย แต่ไม่ได้บอกว่า หลังจากวันนั้นอีกสองวันก็เอากล้องตัวเก่าที่เอาเข้าศูนย์ไปแล้ว ซ่อมเสร็จแล้วเอามาใช้ไปพลางๆ มันก็ได้... แตกอีก -_-" คืออาการเดียวกันเลย ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ทำกล้องตกเลยนะขอสาบานนนนนน เห็นพี่เราบอกว่าท่าทางอะไหล่ใหม่มันจะลดต้นทุนเลยคุณภาพห่วยลงไม่รู้จริงเปล่า (เพราะกล้องตัวเก่าเนี่ยก่อนเอาเข้าศูนย์อ่ะ ทำตกร่วมสิบรอบไม่เคยเป็นไรเลยนะ แล้วตอนนั้นเค้าเปลี่ยนจอให้เพราะจอมันเป็นรอยขีดข่วนเยอะ)
และจากสาเหตุดังกล่าว กล้องสองตัวนั้นก็ได้ถูกส่งตัวเข้าโณงพยาบาล ทุกวันนี้เลยไม่มีกล้องใช้ ต้องใช้กล้องมือถือเห่ยๆถ่ายไปพลางๆ เพราะงั้นถ้ารูปมันคุณภาพออกมาห่วยมองไม่ค่อยเห็นก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะเจ้าคะ
อ่อ เมื่อไม่นานพานี้พาไปเที่ยวงานวัดภูเขาทองมาแล้ว
คราวนี้ขอพาไปเที่ยวงานวัดจำลองกันบ้างเน้อ
เริ่มด้วย "สอยดาว"
สอยแล้วได้อะไรไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ไปสอย
ขายของทุกอย่างแม้กระทั่งเสื้อผ้า ผ้าห่มไรงี้ก็มีนะ เหอๆ
เห็น "ทาโกะยากิ" แล้วนึกถึงเตาทาโกะยากิที่ซื้อมาตอนอยู่ญี่ปุ่นด้วยราคาประมาณ 1,500 เยนเพื่อเอาไปทำขนมครก -_-" แบกกลับมาด้วยนะ แต่ว่าจนบัดนี้ยังใช้ไม่ได้ เพราะมันใช้ไฟ 110 ท่าจะซื้อหม้อแปลงก็คงแพงกว่าเครื่องอีกมั้ง เหอๆๆ ตอนนี้เลยใช้เป็นของประดับบ้านอยู่ เป็นที่ระลึกจะได้จำถึงความโง่ที่นำกลับมาจากญี่ปุ่น เหอๆๆ
"ไอติมโบราณรสถั่วดำ" อยากกินได้ติมถั่วดำมานานแล้วได้กินซะที หลังจากอยู่ญี่ปุ่นกินแต่ไอติมถั่วแดง เหอๆ
ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่า ชื่อของกินที่ตามด้วยคำว่า "โบราณ" เนี่ย มันจะทำให้รู้สึกว่ามันอร่อยขึ้นหรือเปล่านะ เห็นฮิตกันเหลือเกิน ไอติมโบราณเอย เฉาก๊วยโบราณเอย กาแฟโบราณเอย ฯลฯ โบราณแล้วมันจะทำไมฟระ ชั้นไม่เห็นจะรู้สึกไรเลย
่อ่อ เดี๋ยวจะหาว่าทำตัวไม่วิชาการเลย จริงๆแล้วมันออกจะเป็นงานวิชาการนะ มีโครงงานฟรีเซนต์เรื่องใกล้ตัวที่คนนึกไม่ถึงว่ามันจะเกี่ยวกับการเมืองเหมือนกันนะ
ในรูปคือโครงงานของปีสี่เรื่อง "gender"
มีโครงการ "แนะน้องมองรัฐศาสตร์" ด้วย ก็มีน้องๆนักเรียนมาดูงาน มาแข่งตอบคำถามอะไรงี้เหมือนกันนะ
งานวัดจะขาด "ชิงช้าสวรรค์" ไปได้อย่างไรจริงไหม
แต่เราไม่ได้ขึ้นนะ กลัวชิงช้ามันรับน้ำหนักเราไม่ไหวแล้วพังลงมา เหอๆๆๆๆๆ
มีโชว์วงดนตรีลูกทุ่งด้วย โดยมีคณะครุศาตร์มาแจมด้วย เต้นแรงมากกกกกกกกกกกน้องจ๋าาาา
จริงๆแล้วถ่ายวีดีโอไว้ด้วยนะ แต่เนื่องจากมันเป็นมือถือ เลยเป็นวีดีโอคุณภาพต่ำมากกกก รูปเล็กปลายนิ้วโป้ง อีกอย่างมันเป็นไฟล์นามสกุลไรไม่รู้ ต้องใช้ nokia pc suit เท่านั้นจึงจะเปิดดูได้ เลยไม่สามารถนำความแรงของวงดนตรีลูกทุ่งมาให้ดูได้ ได้แต่เอารูปไกลลิบๆมาให้ดู (กล้องมันซูมมืออ่ะนะ ต้องเดินเข้าไปซูมด้วยตัวเอง เดินเข้าไปได้แค่นี้แหละคุณขาาาา)
มีมุขนึงคิดได้ไงไม่รู้ "คณะรัฐศาสตร์กับครุศาสตร์ก็เหมือนกับเป็นพี่น้องกันนะคะ เพราะเรามีคำว่าศาสตร์เหมือนกัน"
-_-"
จริงๆแล้วเป็นงานที่สนุกทีเดียวนะ มีอะไรให้ทำหลายอย่าง มีคนมาเที่ยวงานเยอะแยะ ของกินเยอะด้วย เหอๆๆๆ
แต่เราเองไม่ค่อยชินเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่รัฐศาสตร์แฟร์ครั้งที่ 1 เมื่อสามปีที่แล้วเราก็ต้องมีหน้าที่ทำอะไรมาตลอด ไม่เคยได้มาเดินเที่ยวงานว่างๆแบบนี้เลย ปีแรกเป็นประชาสัมพันธ์ ปีที่สองทำโครงของปีที่ ทำโครงเกี่ยวกับสหประชาชาติ ขายลูกชิ้นปิ้งด้วย (ตอนปีที่สามไม่อยู่อ่ะนะ) พอมาปีนี้มันไม่ได้ทำอะไรอ่ะ คือจะไปทำได้ไงมันก็คงถึงวัยที่จะให้น้องๆทำได้แล้ว
เฮ้อ... มันก็ไม่ชินจริงๆอ่ะนะ
Friday, November 24, 2006
Wednesday, November 22, 2006
ย้อนอดีตไปกับค่ายเยาวชนนักรัฐศาสตร์
เมื่อห้าปีที่แล้ว...
คือตอน ม.6 น่ะนะ
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อ และเป็นปีแห่งการตัดสินใจปีหนึ่งของเรา
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรือความบังเอิญ
เรามีโอกาสได้ไปเข้าค่ายเยาวชนนักรัฐศาสตร์ ซึ่งปีนั้นจัดเป็นครั้งแรก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนั้นความรู้สึกที่กำลังโลเลอยู่ว่าจะเข้าคณะอะไร กลายเป็นความมั่นใจเลยว่าจะต้องเข้าคณะรัฐศาสตร์ให้ได้
ตอนสอบเอ็นท์ถึงกับเลือกสามอันดับแรกเป็นรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
จากน้องค่าย เป็นพี่ค่าย จากพี่ค่ายเป็นพี่เก่า แม้เวลาจะผ่านไป สถานะจะแตกต่างไปก็ตาม แต่ความรู้สึกดีๆก็ยังคงเหมือนเดิม
ปีนี้ค่ายที่ว่าจัดขึ้นเป็นปีที่หกแล้ว
บรรยากาศค่ายก็ยังคงเหมือนเดิม
แต่ปีนี้ไปในฐานะคนแก่ เหอๆๆๆ ดูเป็นผู้อาวุโสมากน้องนั่งพื้น พี่นั่งบนเก้าอี้
ชาวค่ายที่ต่างแยกย้ายกันไปก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง
รูปตอนค่ายหนึ่งที่เคยไปเข้ามีคนยืมไปไม่รู้จะได้คืนหรือเปล่า
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รูปคืนมา ความทรงจำและความประทับใจเกี่ยวกับค่ายหนึ่งก็ยังคงอยู่
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ปล. ยังไงก็ช่วยเอามาคืนหน่อยก็ดีนะ เสียดายน่ะ เหอๆ
คือตอน ม.6 น่ะนะ
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อ และเป็นปีแห่งการตัดสินใจปีหนึ่งของเรา
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรือความบังเอิญ
เรามีโอกาสได้ไปเข้าค่ายเยาวชนนักรัฐศาสตร์ ซึ่งปีนั้นจัดเป็นครั้งแรก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนั้นความรู้สึกที่กำลังโลเลอยู่ว่าจะเข้าคณะอะไร กลายเป็นความมั่นใจเลยว่าจะต้องเข้าคณะรัฐศาสตร์ให้ได้
ตอนสอบเอ็นท์ถึงกับเลือกสามอันดับแรกเป็นรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
จากน้องค่าย เป็นพี่ค่าย จากพี่ค่ายเป็นพี่เก่า แม้เวลาจะผ่านไป สถานะจะแตกต่างไปก็ตาม แต่ความรู้สึกดีๆก็ยังคงเหมือนเดิม
ปีนี้ค่ายที่ว่าจัดขึ้นเป็นปีที่หกแล้ว
บรรยากาศค่ายก็ยังคงเหมือนเดิม
แต่ปีนี้ไปในฐานะคนแก่ เหอๆๆๆ ดูเป็นผู้อาวุโสมากน้องนั่งพื้น พี่นั่งบนเก้าอี้
ชาวค่ายที่ต่างแยกย้ายกันไปก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง
รูปตอนค่ายหนึ่งที่เคยไปเข้ามีคนยืมไปไม่รู้จะได้คืนหรือเปล่า
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รูปคืนมา ความทรงจำและความประทับใจเกี่ยวกับค่ายหนึ่งก็ยังคงอยู่
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ปล. ยังไงก็ช่วยเอามาคืนหน่อยก็ดีนะ เสียดายน่ะ เหอๆ
Friday, November 17, 2006
กล้องพังอีกแล้วจอร์จจจจจจจจจจจจจจ
ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะมาอัพเรื่องนี้หรอกนะ
พอดีเมื่อวานนี้มีนัดกินข้าวกับพี่พลัง (ที่กลับมาหาแฟนที่เมืองไทย) และพี่เจิน
ระหว่างที่กะลังกินและคุยอย่างเมามัน
ก็เลยกะว่าจะควักกล้องมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
กล้องอ่ะพกติดตัวไว้ทุกวันอยู่แล้ว คนใกล้ตัวคงรู้กันดีใช่ไหม เหอๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
ตอนแรกก็เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างงี้อ่ะนะ ก็ปกติดี โทรมๆหน่อยๆ เพราะใช้คุ้มมาก เหอๆ
แต่ทว่า เมื่อเปิดกล้องขึ้นมา..........
ก็ได้เห็นภาพนี้
ตอนแรกก็ยังเอ๋อๆอยู่..
เอ๊ะ มันเป็นอะไร เราถ่ายภาพนี้ไว้ด้วยเหรอ
หลังจากนั้นสักพักนึงก็ถึงบ้างอ้อ
อ่อ.. จอมันแตก
เหอๆ สรุปแล้วกล้องมันพังนั่นแหละ
เฮ้อ... มีชีวิตได้ไม่นานเท่าไหร่พังซะแล้ว ดีนะที่ยังอยู่ในประกัน
นี่เพิ่งซื้อมาที่ญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้เองหลังจากที่กล้องตัสเก่าถึงแก่กรรมไป
ว่าแต่ใบประกันนี่มันเป็นภาษาญี่ปุ่นนี่มันจะเอามาซ่อมที่เมืองไทยได้ป่าวหว่า
canon นี่มันรับซ่อม worldwide ป่าวเนี่ย
โถถถถถถถ ลูกจ๋า~~~ พังซะแล้ววววววว
พอดีเมื่อวานนี้มีนัดกินข้าวกับพี่พลัง (ที่กลับมาหาแฟนที่เมืองไทย) และพี่เจิน
ระหว่างที่กะลังกินและคุยอย่างเมามัน
ก็เลยกะว่าจะควักกล้องมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
กล้องอ่ะพกติดตัวไว้ทุกวันอยู่แล้ว คนใกล้ตัวคงรู้กันดีใช่ไหม เหอๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
ตอนแรกก็เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างงี้อ่ะนะ ก็ปกติดี โทรมๆหน่อยๆ เพราะใช้คุ้มมาก เหอๆ
แต่ทว่า เมื่อเปิดกล้องขึ้นมา..........
ก็ได้เห็นภาพนี้
ตอนแรกก็ยังเอ๋อๆอยู่..
เอ๊ะ มันเป็นอะไร เราถ่ายภาพนี้ไว้ด้วยเหรอ
หลังจากนั้นสักพักนึงก็ถึงบ้างอ้อ
อ่อ.. จอมันแตก
เหอๆ สรุปแล้วกล้องมันพังนั่นแหละ
เฮ้อ... มีชีวิตได้ไม่นานเท่าไหร่พังซะแล้ว ดีนะที่ยังอยู่ในประกัน
นี่เพิ่งซื้อมาที่ญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้เองหลังจากที่กล้องตัสเก่าถึงแก่กรรมไป
ว่าแต่ใบประกันนี่มันเป็นภาษาญี่ปุ่นนี่มันจะเอามาซ่อมที่เมืองไทยได้ป่าวหว่า
canon นี่มันรับซ่อม worldwide ป่าวเนี่ย
โถถถถถถถ ลูกจ๋า~~~ พังซะแล้ววววววว
Sunday, November 12, 2006
มองกรุงเทพฯจากมุมสูง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว...
ไม่รู้ว่าไปทำบุญด้วยอะไรมา
จึงได้มีโอกาสไปดินเนอร์สุดหรู ที่ชั้น 64 ของตึก State Tower กลางกรุงเทพมหานครมา
เลยเก็บรูปร้านอาหารสวยๆ และวิวกรุงเทพฯยามค่ำคืนสวยๆมาให้ดูกัน
สะท้อนเงกระจกไปหน่อย แต่ด้วยความสามารถกล้องคอมแพ็ค มันทำได้แค่นี้แจรงๆ
ร้านอาหาร The Tower สุดหรู
สุดหรูจริงๆ แค่บรรยากาศร้านก็หรูแล้ว
อาหารก็หรู เนื้อมัตสึซากะ อยู่ญี่ปุ่นมาตั้งปีไม่มีบุญได้กิน ต้องมากินเนื้ออิมพอร์ต
จบวันนี้ เป็นบุญมาก ทั้งบุญตาและบุญปาก
ชาตินี้จะได้มีบุญอีกหรือเปล่าไม่รู้ เหอๆ เลยต้องถ่ายไว้ ครั้งหนึ่งในชีวิต
ไม่รู้ว่าไปทำบุญด้วยอะไรมา
จึงได้มีโอกาสไปดินเนอร์สุดหรู ที่ชั้น 64 ของตึก State Tower กลางกรุงเทพมหานครมา
เลยเก็บรูปร้านอาหารสวยๆ และวิวกรุงเทพฯยามค่ำคืนสวยๆมาให้ดูกัน
สะท้อนเงกระจกไปหน่อย แต่ด้วยความสามารถกล้องคอมแพ็ค มันทำได้แค่นี้แจรงๆ
ร้านอาหาร The Tower สุดหรู
สุดหรูจริงๆ แค่บรรยากาศร้านก็หรูแล้ว
อาหารก็หรู เนื้อมัตสึซากะ อยู่ญี่ปุ่นมาตั้งปีไม่มีบุญได้กิน ต้องมากินเนื้ออิมพอร์ต
จบวันนี้ เป็นบุญมาก ทั้งบุญตาและบุญปาก
ชาตินี้จะได้มีบุญอีกหรือเปล่าไม่รู้ เหอๆ เลยต้องถ่ายไว้ ครั้งหนึ่งในชีวิต
Wednesday, November 08, 2006
งานวัดภูเขาทอง .. งานวั๊ดดดงานวัด
สวัสดีค่ะ
ไปเที่ยวไกลๆไม่ได้ ก็หาเรื่องเอาใกล้ตัวนี่แหละ อ่ะเหอออๆๆๆ ไปมันหลังเลิกเรียนเล๊ยยย
ได้ยินชื่อของ "งานวัดภูเขาทอง" มานานแล้ว เพราะเพื่อนๆไปกัน ไอ้เราก็ไม่เคยไปกะเค้าสักที ปีนี้ฤกษ์งามยามดี เรียนมหาลัยปีสุดท้าย เพราะไม่แน่ทำงานแล้วอาจจะไม่มีใครบ้าไปกะเรา เหอๆๆ
วัดสระเกศ หรือที่รู้จักกันในนามของ วัดภูเขาทอง อยู่นอกกำแพงเมือง ริมคลองมหานาค ตรงที่บรรจบกับคลองบางลำพู เดิมเป็นวัดเก่าชื่อ วัดสะแก ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอารามในสมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระราชทานนามว่า วัดสระเกศ ส่วนเจดีย์ภูเขาทองนั้นเริ่มสร้างในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า- เจ้าอยู่หัว โดยทรงเลียนแบบมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา แล้วเสร็จในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระ- จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานนามว่า "สุวรรณบรรพต" สูง 77 เมตร บนยอดสุวรรณบรรพต เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ขุดค้นพบที่เมืองกบิลพัสดุ์ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นของ พระสมณโคดมซึ่งเป็นส่วนแบ่งของ พระราชวงศ์ศากยราชเพราะมีคำจารึกอยู่ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ขณะนั้น กำลังทรงผนวชอยู่ที่อินเดีย จึงเสนอให้รัฐบาลอินเดีย โดย มาเควส เดอลัน อุปราชอังกฤษประจำประเทศ อินเดีย ส่งพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาถวายในฐานะที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ที่เป็นพุทธมามกะอยู่ในขณะนั้น
ที่มาhttp://www.thaitourzone.com/
ภาพวัดภูเขาทาองที่เห็นจากทางเดินเข้าวัด
ตอนที่ไปถึงวัดก็เป็นเวลาห้าโมงกว่าๆ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ เห็นผู้รู้บอกว่าสักวามสี่ทุ่มจะคนเยอะ
นี่ขนาดคนยังไม่เยอะนะ -_-"
ภายในงานก็มีร้านรวงมากๆมาย
มีขายขนมไทยเยอะแยะเลยด้วย แปลกไหมที่เกิดมาไม่เคยกินขนมตุ้บตั้บ...
ขนมเบื้องน่ากินป่ะล่ะ...
แต่สู้ตรงที่ขายอยู่หน้านิติฯจุฬาฯไม่ได้ อันนั้นไส้ทะลัก เหอๆ ไว้วันหลังจะไปถ่ายมาให้ดู เหอๆๆ
นั่นแน่.. ฝรั่งก็มา งานมันอินเตอร์นะเนี่ยยย
มาถึงเกมกาละเล่นตามงานวัด ตอนที่ไปถึงนั้นสาวน้อยตกน้ำยังไม่ขึ้นนั่งกันอ่ะ เลยได้แต่ยิงเป้ามาแทน
อียิงเป้าอันนี้ถ้ายิงโดนลิงมันจะเต้นด้วยนะ ตลกดี แต่ลิงโคตรเก่าเลย เหอๆๆ คือข้างหน้าเป็นลิง ข้างหลังนี่ขนร่วงหมดแล้ว เห็นเป็นแต่กลไก
แล้วอยากจะบอกว่า.. มางานนี้เพื่อสิ่งนี้แล~
ทามมายยยยย ก็ชั้นไม่เคยเห็นนี่หว่าาาาาา
แล้วก็จ่ายตังค์สิบบาทเพื่อเข้าไปดู...
เด็กหัวเกรียนคนนี้
หน้าตาเซ็งมากอ่ะ สงสัยโดนแม่บังคับมา เหอๆ
นางเงือกก็มีนะ
แต่ทำไมไม่มีกระสือหว่า อยากดูกระสือง่ะ
เดินงานจนเมื่อยแล้ว ก็ขึ้นวัดกันเถอะ
ขึ้นมาถึงก็ไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุกัน
แล้วก็เดินขึ้นต่อไปที่ทางสู่สวรรค์ เพื่อไปสักการะเจดีย์ภูเขาทอง
วิวร้านค้าและวัดที่มองมาจากบริเวณเจดีย์
ปิดท้ายด้วยรูปกรุงเทพฯยามค่ำคืนค่ะ
กลับบ้านด้วยความอิ่มหนำสำราญ อิอิ งานปีนี้เพิ่งจะหมดไปเมื่อวานนี้เอง ใครที่อยากไปแล้วไม่มีโอกาสได้ไปก็รอไปปีหน้าได้นะคะ งานนี้เค้าจัดกันทุกปีค่ะ
สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน
แล้วไปเที่ยวไหนจะเอามาอวดอีกเน้อ
สวัสดีค่ะ
ไปเที่ยวไกลๆไม่ได้ ก็หาเรื่องเอาใกล้ตัวนี่แหละ อ่ะเหอออๆๆๆ ไปมันหลังเลิกเรียนเล๊ยยย
ได้ยินชื่อของ "งานวัดภูเขาทอง" มานานแล้ว เพราะเพื่อนๆไปกัน ไอ้เราก็ไม่เคยไปกะเค้าสักที ปีนี้ฤกษ์งามยามดี เรียนมหาลัยปีสุดท้าย เพราะไม่แน่ทำงานแล้วอาจจะไม่มีใครบ้าไปกะเรา เหอๆๆ
วัดสระเกศ หรือที่รู้จักกันในนามของ วัดภูเขาทอง อยู่นอกกำแพงเมือง ริมคลองมหานาค ตรงที่บรรจบกับคลองบางลำพู เดิมเป็นวัดเก่าชื่อ วัดสะแก ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอารามในสมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระราชทานนามว่า วัดสระเกศ ส่วนเจดีย์ภูเขาทองนั้นเริ่มสร้างในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า- เจ้าอยู่หัว โดยทรงเลียนแบบมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา แล้วเสร็จในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระ- จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานนามว่า "สุวรรณบรรพต" สูง 77 เมตร บนยอดสุวรรณบรรพต เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ขุดค้นพบที่เมืองกบิลพัสดุ์ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นของ พระสมณโคดมซึ่งเป็นส่วนแบ่งของ พระราชวงศ์ศากยราชเพราะมีคำจารึกอยู่ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ขณะนั้น กำลังทรงผนวชอยู่ที่อินเดีย จึงเสนอให้รัฐบาลอินเดีย โดย มาเควส เดอลัน อุปราชอังกฤษประจำประเทศ อินเดีย ส่งพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาถวายในฐานะที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ที่เป็นพุทธมามกะอยู่ในขณะนั้น
ที่มาhttp://www.thaitourzone.com/
ภาพวัดภูเขาทาองที่เห็นจากทางเดินเข้าวัด
ตอนที่ไปถึงวัดก็เป็นเวลาห้าโมงกว่าๆ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ เห็นผู้รู้บอกว่าสักวามสี่ทุ่มจะคนเยอะ
นี่ขนาดคนยังไม่เยอะนะ -_-"
ภายในงานก็มีร้านรวงมากๆมาย
มีขายขนมไทยเยอะแยะเลยด้วย แปลกไหมที่เกิดมาไม่เคยกินขนมตุ้บตั้บ...
ขนมเบื้องน่ากินป่ะล่ะ...
แต่สู้ตรงที่ขายอยู่หน้านิติฯจุฬาฯไม่ได้ อันนั้นไส้ทะลัก เหอๆ ไว้วันหลังจะไปถ่ายมาให้ดู เหอๆๆ
นั่นแน่.. ฝรั่งก็มา งานมันอินเตอร์นะเนี่ยยย
มาถึงเกมกาละเล่นตามงานวัด ตอนที่ไปถึงนั้นสาวน้อยตกน้ำยังไม่ขึ้นนั่งกันอ่ะ เลยได้แต่ยิงเป้ามาแทน
อียิงเป้าอันนี้ถ้ายิงโดนลิงมันจะเต้นด้วยนะ ตลกดี แต่ลิงโคตรเก่าเลย เหอๆๆ คือข้างหน้าเป็นลิง ข้างหลังนี่ขนร่วงหมดแล้ว เห็นเป็นแต่กลไก
แล้วอยากจะบอกว่า.. มางานนี้เพื่อสิ่งนี้แล~
ทามมายยยยย ก็ชั้นไม่เคยเห็นนี่หว่าาาาาา
แล้วก็จ่ายตังค์สิบบาทเพื่อเข้าไปดู...
เด็กหัวเกรียนคนนี้
หน้าตาเซ็งมากอ่ะ สงสัยโดนแม่บังคับมา เหอๆ
นางเงือกก็มีนะ
แต่ทำไมไม่มีกระสือหว่า อยากดูกระสือง่ะ
เดินงานจนเมื่อยแล้ว ก็ขึ้นวัดกันเถอะ
ขึ้นมาถึงก็ไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุกัน
แล้วก็เดินขึ้นต่อไปที่ทางสู่สวรรค์ เพื่อไปสักการะเจดีย์ภูเขาทอง
วิวร้านค้าและวัดที่มองมาจากบริเวณเจดีย์
ปิดท้ายด้วยรูปกรุงเทพฯยามค่ำคืนค่ะ
กลับบ้านด้วยความอิ่มหนำสำราญ อิอิ งานปีนี้เพิ่งจะหมดไปเมื่อวานนี้เอง ใครที่อยากไปแล้วไม่มีโอกาสได้ไปก็รอไปปีหน้าได้นะคะ งานนี้เค้าจัดกันทุกปีค่ะ
สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน
แล้วไปเที่ยวไหนจะเอามาอวดอีกเน้อ
สวัสดีค่ะ
Sunday, November 05, 2006
พาเที่ยวงานลอยกระทงจุฬาฯ ชะเอิงเงิงเงย~
สวัสดีค่ะ
วันนี้วันลอยกระทง ไปลอยกันหรือเปล่าจ๊ะ
จริงๆวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะไปลอยเลยอะไรหรอก แต่อยากจะไปเดินเก็บภาพบรรยากาศมาฝากกันซะมากกว่า
เผื่อคนที่ไม่ได้ไปลอย และคนที่ยังไม่มีโอกาสจะได้ลอยจะได้ซึมซับบรรยากาศไปด้วยกัน
ไปกันเล๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ไปถึงจุฬาฯตั้งกะห้าโมงเย็น..
รีบไปทำไมก็ไม่รู้ เหอๆ
ไปดูกระทงกันก่อนดีกว่า แต่ละคณะก็ส่งกระทงเข้าประกวดกันคณะละหนึ่งกระทง ตอนปีหนึ่งเคยไปทำเหมือนกัน แบบไปช่วยเล็กๆน้อยๆ แบบกรีดใบตองไรงี้ แบบว่ากลัวทำของเค้าพัง เหอๆๆๆ
ไปดูของคณะรัฐศาสตร์กันก่อน เห็นมาแต่ไกลเลย เพราะเห็นตัวสิงห์ที่อยู่ข้างบนน่ะแหละ
อันนี้มันยังไงกัน...
คณะวิศวะฯนี่สงสัยเอาเงินไปทำขบวนหมด ทุกปีชอบมีอีเกียร์หมุนๆเลยหนิ แต่ปีนี้กลับเร็วไม่ทันได้อยู่ดูขบวน
คณะสถาปัตย์ฯ มาพร้อมกับไอเดียประหลาดๆ แอบหื่นกาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเค้าล่ะนะ
ไม่ได้ไปเล่นเกมเค้าหรอก ... พอจะเดากันออกป่าวว่ามันเป็นเกมอะไรมั่ง เหอๆ
ตอน ม.6 จำได้ว่าเพื่อนไปงานลอยกระทงจุฬาฯแล้วมาเล่าให้ฟัง เรื่องของคณะสถาปัตย์อ่ะแหละ
ตอนนั้นออกแนวเกมป่าหี่งานวัดๆหน่อยๆ ก็มีซุ้มชื่อว่า "ท่องโลกวิญญาณ"
มันก็จ่ายตังค์หนึ่งบาท แล้วก็เข้าไปด้วยอารมตื่นเต้นว่ามันจะมามุขไหน
เข้าไปถึง...
"น้องทุกคนครับ ต่อไปพี่จะทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ ขอให้น้องๆทุกคนตั้งสมาธิ แล้วพูดตามพี่"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ตึกตักตึกตักตึกตักตึกตัก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ"
ท่อง...โลกวิญญาณ -_-"
พอเริ่มมืดร้านค้าต่างๆก็เริ่มเปิดไฟขายของ
แล้วก็มีแต่ของกินทั้งน้านนนนนนน
อันนี้อดที่จะถ่ายมาไม่ได้ ถึงแม้ว่าถ่ายออกมาจะไปสวยเท่าไหร่
เพราะพระจันทร์มันกลมดิ๊กเลย วันเพ็ญเดือนสิบสองน้ำนองเต็มตลิ่ง ชะเอิงเงิงเงยยย
มีคนมาขายกระทงริมสระน้ำจุฬาฯมากมายทุกปี จุดเทียนขายได้บรรยากาศมาก ถ้าอากาศเย็นกว่านี้สักหน่อยจะดีมากๆเลย ทั้งๆที่ตอนนี้อากาศที่เมืองไทยเริ่มจะเย็นขึ้นนิดหน่อยแล้ว (ตอนเช้าๆนะ ตกกลางวันแดดออกก็ร้อนตับแตกเหมือนเดิม)
เห็นคนอื่นลอยกระทงกันเยอะแยะอย่างงี้...
ก็อดไม่ได้ที่จะลอยมั่ง หุหุ
สุขสันต์วันลอยกระทงค่าาาา
วันนี้วันลอยกระทง ไปลอยกันหรือเปล่าจ๊ะ
จริงๆวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะไปลอยเลยอะไรหรอก แต่อยากจะไปเดินเก็บภาพบรรยากาศมาฝากกันซะมากกว่า
เผื่อคนที่ไม่ได้ไปลอย และคนที่ยังไม่มีโอกาสจะได้ลอยจะได้ซึมซับบรรยากาศไปด้วยกัน
ไปกันเล๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ไปถึงจุฬาฯตั้งกะห้าโมงเย็น..
รีบไปทำไมก็ไม่รู้ เหอๆ
ไปดูกระทงกันก่อนดีกว่า แต่ละคณะก็ส่งกระทงเข้าประกวดกันคณะละหนึ่งกระทง ตอนปีหนึ่งเคยไปทำเหมือนกัน แบบไปช่วยเล็กๆน้อยๆ แบบกรีดใบตองไรงี้ แบบว่ากลัวทำของเค้าพัง เหอๆๆๆ
ไปดูของคณะรัฐศาสตร์กันก่อน เห็นมาแต่ไกลเลย เพราะเห็นตัวสิงห์ที่อยู่ข้างบนน่ะแหละ
อันนี้มันยังไงกัน...
คณะวิศวะฯนี่สงสัยเอาเงินไปทำขบวนหมด ทุกปีชอบมีอีเกียร์หมุนๆเลยหนิ แต่ปีนี้กลับเร็วไม่ทันได้อยู่ดูขบวน
คณะสถาปัตย์ฯ มาพร้อมกับไอเดียประหลาดๆ แอบหื่นกาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเค้าล่ะนะ
ไม่ได้ไปเล่นเกมเค้าหรอก ... พอจะเดากันออกป่าวว่ามันเป็นเกมอะไรมั่ง เหอๆ
ตอน ม.6 จำได้ว่าเพื่อนไปงานลอยกระทงจุฬาฯแล้วมาเล่าให้ฟัง เรื่องของคณะสถาปัตย์อ่ะแหละ
ตอนนั้นออกแนวเกมป่าหี่งานวัดๆหน่อยๆ ก็มีซุ้มชื่อว่า "ท่องโลกวิญญาณ"
มันก็จ่ายตังค์หนึ่งบาท แล้วก็เข้าไปด้วยอารมตื่นเต้นว่ามันจะมามุขไหน
เข้าไปถึง...
"น้องทุกคนครับ ต่อไปพี่จะทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ ขอให้น้องๆทุกคนตั้งสมาธิ แล้วพูดตามพี่"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ตึกตักตึกตักตึกตักตึกตัก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ โลกวิญญาณ"
ท่อง...โลกวิญญาณ -_-"
พอเริ่มมืดร้านค้าต่างๆก็เริ่มเปิดไฟขายของ
แล้วก็มีแต่ของกินทั้งน้านนนนนนน
อันนี้อดที่จะถ่ายมาไม่ได้ ถึงแม้ว่าถ่ายออกมาจะไปสวยเท่าไหร่
เพราะพระจันทร์มันกลมดิ๊กเลย วันเพ็ญเดือนสิบสองน้ำนองเต็มตลิ่ง ชะเอิงเงิงเงยยย
มีคนมาขายกระทงริมสระน้ำจุฬาฯมากมายทุกปี จุดเทียนขายได้บรรยากาศมาก ถ้าอากาศเย็นกว่านี้สักหน่อยจะดีมากๆเลย ทั้งๆที่ตอนนี้อากาศที่เมืองไทยเริ่มจะเย็นขึ้นนิดหน่อยแล้ว (ตอนเช้าๆนะ ตกกลางวันแดดออกก็ร้อนตับแตกเหมือนเดิม)
เห็นคนอื่นลอยกระทงกันเยอะแยะอย่างงี้...
ก็อดไม่ได้ที่จะลอยมั่ง หุหุ
สุขสันต์วันลอยกระทงค่าาาา
Friday, November 03, 2006
@Japan meeting ณ กรุงเทพมหานคร
สวัสดีเจ้า...
วันนี้ขออัพเดทด้วยความรวดเร็ว
พรุ่งนี้มีเทสต์ศัพท์ภาษาญี่ปุ่นยังไม่ได้ท่องเลย กว๊ากกกกก ลืมง่ะง่ะ
วันนี้มี meeting ห้อง @Japan ณ พันทิป
ก็ไม่วายที่จะไปแจม แหะๆ
ทั้งๆที่วันนี้ไม่ได้มีเรียนเลยนะ แล้วก็ยังอุตส่าห์ใส่ชุดนิสิตออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า
แล้วก็ไปเป็นผีน้ำแข็งสิงห้องสมุดอยู่ (เมื่อไหร่แอร์มันจาหายหนาวฟร้าาา)
จนตอนเย็นก็ไป meeting จ้า
เคยไป meeting ของที่นี่มาแล้วครั้นมาเยี่ยมบ้านเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา
วันนี้มีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ เทียบหน้ากับบล็อคคราวที่แล้วเอาเองนะ หุหุ
ห้องนักเรียนญี่ปุ่นก็ต้องอาหารญี่ปุ่นใช่ไหมคะ (จริงๆแล้วเป็นข้ออ้าง แบบว่าไม่รู้จะกินไร ฟูจิมันใกล้สุดง่ะ เหอๆ)
ถ่ายรูปเห่ยไปหน่อยขออภัย มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตากิน เหอๆๆๆ
ตอนแรกกะว่าจะไปคาราโอเกะกันต่อ (สนองตัณหาเราเอง เหอๆ) แต่ทว่า... โชคชะตาทำร้ายยย มันเต็มมมมม ต้องรอคิวถึงสี่ทุ่มมม
คาราโอเกะพารากอนมันดีขนาดนั้นเชียว?? ไม่มีบุญพอได้สัมผัส
เลยมาจบที่... Iberry เหอๆ
วันนี้สนุกสนามเฮฮาปาร์ตี้มากค่ะ นี่เจอกันครั้งแรกนะเนี่ย (บางคนนะ)
ใครเข้ามาอ่านแล้วอยากได้ไฟล์เต็มก็ส่งหลังไมค์มานะคะ เดี๋ยวจะจัดส่งไปให้
วันนี้ไม่ไหวแล้ว ขอตัวไปอ่านหนังสือก่อน
สวัสดีค่ะ
ปล. ทำไมไอ้ตั๊ดมันไปออกทีวีรายการเปิดเลนส์ส่องโลก เป็นพิธีกรคู่กับนิติภูมิ เนาวรัตน์ได้หว่า ... นี่จะเอาดีทางด้านเป็นคนในวงการบันเทิงแล้วเหรอ เหอๆ (เออ แต่วันนี้มันทำเรื่องสาเก ก็เหมาะกะมันดีนะ เหอๆ) เพื่อนเราใครช่วยตอบที (พอดีตอนนี้ดูอยู่ แล้วสงสัยหว่ะ)
วันนี้ขออัพเดทด้วยความรวดเร็ว
พรุ่งนี้มีเทสต์ศัพท์ภาษาญี่ปุ่นยังไม่ได้ท่องเลย กว๊ากกกกก ลืมง่ะง่ะ
วันนี้มี meeting ห้อง @Japan ณ พันทิป
ก็ไม่วายที่จะไปแจม แหะๆ
ทั้งๆที่วันนี้ไม่ได้มีเรียนเลยนะ แล้วก็ยังอุตส่าห์ใส่ชุดนิสิตออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า
แล้วก็ไปเป็นผีน้ำแข็งสิงห้องสมุดอยู่ (เมื่อไหร่แอร์มันจาหายหนาวฟร้าาา)
จนตอนเย็นก็ไป meeting จ้า
เคยไป meeting ของที่นี่มาแล้วครั้นมาเยี่ยมบ้านเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา
วันนี้มีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ เทียบหน้ากับบล็อคคราวที่แล้วเอาเองนะ หุหุ
ห้องนักเรียนญี่ปุ่นก็ต้องอาหารญี่ปุ่นใช่ไหมคะ (จริงๆแล้วเป็นข้ออ้าง แบบว่าไม่รู้จะกินไร ฟูจิมันใกล้สุดง่ะ เหอๆ)
ถ่ายรูปเห่ยไปหน่อยขออภัย มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตากิน เหอๆๆๆ
ตอนแรกกะว่าจะไปคาราโอเกะกันต่อ (สนองตัณหาเราเอง เหอๆ) แต่ทว่า... โชคชะตาทำร้ายยย มันเต็มมมมม ต้องรอคิวถึงสี่ทุ่มมม
คาราโอเกะพารากอนมันดีขนาดนั้นเชียว?? ไม่มีบุญพอได้สัมผัส
เลยมาจบที่... Iberry เหอๆ
วันนี้สนุกสนามเฮฮาปาร์ตี้มากค่ะ นี่เจอกันครั้งแรกนะเนี่ย (บางคนนะ)
ใครเข้ามาอ่านแล้วอยากได้ไฟล์เต็มก็ส่งหลังไมค์มานะคะ เดี๋ยวจะจัดส่งไปให้
วันนี้ไม่ไหวแล้ว ขอตัวไปอ่านหนังสือก่อน
สวัสดีค่ะ
ปล. ทำไมไอ้ตั๊ดมันไปออกทีวีรายการเปิดเลนส์ส่องโลก เป็นพิธีกรคู่กับนิติภูมิ เนาวรัตน์ได้หว่า ... นี่จะเอาดีทางด้านเป็นคนในวงการบันเทิงแล้วเหรอ เหอๆ (เออ แต่วันนี้มันทำเรื่องสาเก ก็เหมาะกะมันดีนะ เหอๆ) เพื่อนเราใครช่วยตอบที (พอดีตอนนี้ดูอยู่ แล้วสงสัยหว่ะ)
Wednesday, November 01, 2006
เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในความสัมพันธ์
คุณเคยรู้สึกบ้างไหมว่า...
เมื่อเวลาผ่านไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้อะไรบางอย่างรอบตัวคุณเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างที่คุณไม่ทันจะได้ตั้งตัวรับความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนั้นได้ทัน
ตอนนี้เรามีความรู้สึกแบบนั้นอยู่หลายครั้ง กับหลายๆเรื่อง
แต่หลายๆครั้งที่ผ่านมา เราเองก็ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับกับความเปลี่ยนแปลงนั้นๆแล้วแทบทุกครั้ง
เพราะ... เหมือนกับว่าเราจะรู้ตัวมาก่อนว่า เวลาหนึ่งปีที่ต้องห่างกับผู้คน และสิ่งต่างๆที่นี่ไป มันไม่สามารถที่จะทำให้ทุกๆอย่างเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เราเคยเจอ และไม่สามารถบังคับให้สิ่งเหล่านั้นเป็นไปอย่างที่เราต้องการได้
...แม้กระทั่งความรู้สึกของเราเอง...
การที่ได้ทำใจเอาไว้ก่อนแล้วนั้น ทำให้หลายๆครั้งเมื่อเราพบเจอกับความเปลี่ยนแปลง มันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดไปมากนัก
แต่อย่างไรก็ตาม...
เราไม่สามารถคาดเดาทุกอย่างได้
เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือสิ่งที่เราไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่ามันจะเปลี่ยนแปลงมันเกิดเปลี่ยนขึ้นมา เรียกว่าเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ หน้ามือเป็นหลังเท้า จู่ๆมันก็เดินเข้ามาหาเรา
จากที่เคยเตรียมใจพร้อมไว้สำหรับความเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ... มันก็กลับลืมไปหมดสิ้น
จากเพื่อนที่เคยสนิท จากคนที่เคยเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังทุกเรื่อง จากคนที่เคยห่วงใยถามไถ่เรื่องราวต่างและช่วยเหลือกันเสมอ
พอมาถึงวันนี้..... สิ่งนั้นกลับเปลี่ยนแปลงไป
...ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่เหมือนเดิม แต่รายละเอียดภายในความความสัมพันธ์นั้นกลับไม่เหมือนเดิม...
เพียงแค่คำพูด คงไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้เท่ากับสิ่งที่คุณกระทำ
ดังนั้นบางครั้งคุณก็ไม่ต้องการที่จะฟังคำพูดที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาหรอก เพียงแค่นั่งมองดูสิ่งรอบตัวคุณเท่านั้น มันก็จะทำให้คุณเข้าใจมันเอง
ซ้ำร้ายบางครั้งคำพูดเหล่านั้นอาจจะทำให้คุณสับสนจนมองไม่เห็นสิ่งที่มันเป็นอยู่อย่างแท้จริง จนเมื่อคุณได้พบกับความจริงเหล่านั้นแล้ว มันก็จะทำให้คุณคิดได้ว่า ไม่ควรที่จะฟังคำพูดเหล่านั้นเลย
จนถึงตอนนี้ ... ก็ถึงเวลาที่เราจะเตรียมใจพบกับการเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้ง
อย่างน้อยเหตุการณ์เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เราสามารถเข้าใจอะไรหลายๆอย่างในโลกมากขึ้น
โดยเฉพาะมนุษย์
เมื่อเวลาผ่านไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้อะไรบางอย่างรอบตัวคุณเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างที่คุณไม่ทันจะได้ตั้งตัวรับความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนั้นได้ทัน
ตอนนี้เรามีความรู้สึกแบบนั้นอยู่หลายครั้ง กับหลายๆเรื่อง
แต่หลายๆครั้งที่ผ่านมา เราเองก็ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับกับความเปลี่ยนแปลงนั้นๆแล้วแทบทุกครั้ง
เพราะ... เหมือนกับว่าเราจะรู้ตัวมาก่อนว่า เวลาหนึ่งปีที่ต้องห่างกับผู้คน และสิ่งต่างๆที่นี่ไป มันไม่สามารถที่จะทำให้ทุกๆอย่างเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เราเคยเจอ และไม่สามารถบังคับให้สิ่งเหล่านั้นเป็นไปอย่างที่เราต้องการได้
...แม้กระทั่งความรู้สึกของเราเอง...
การที่ได้ทำใจเอาไว้ก่อนแล้วนั้น ทำให้หลายๆครั้งเมื่อเราพบเจอกับความเปลี่ยนแปลง มันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดไปมากนัก
แต่อย่างไรก็ตาม...
เราไม่สามารถคาดเดาทุกอย่างได้
เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือสิ่งที่เราไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่ามันจะเปลี่ยนแปลงมันเกิดเปลี่ยนขึ้นมา เรียกว่าเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ หน้ามือเป็นหลังเท้า จู่ๆมันก็เดินเข้ามาหาเรา
จากที่เคยเตรียมใจพร้อมไว้สำหรับความเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ... มันก็กลับลืมไปหมดสิ้น
จากเพื่อนที่เคยสนิท จากคนที่เคยเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังทุกเรื่อง จากคนที่เคยห่วงใยถามไถ่เรื่องราวต่างและช่วยเหลือกันเสมอ
พอมาถึงวันนี้..... สิ่งนั้นกลับเปลี่ยนแปลงไป
...ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่เหมือนเดิม แต่รายละเอียดภายในความความสัมพันธ์นั้นกลับไม่เหมือนเดิม...
เพียงแค่คำพูด คงไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้เท่ากับสิ่งที่คุณกระทำ
ดังนั้นบางครั้งคุณก็ไม่ต้องการที่จะฟังคำพูดที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาหรอก เพียงแค่นั่งมองดูสิ่งรอบตัวคุณเท่านั้น มันก็จะทำให้คุณเข้าใจมันเอง
ซ้ำร้ายบางครั้งคำพูดเหล่านั้นอาจจะทำให้คุณสับสนจนมองไม่เห็นสิ่งที่มันเป็นอยู่อย่างแท้จริง จนเมื่อคุณได้พบกับความจริงเหล่านั้นแล้ว มันก็จะทำให้คุณคิดได้ว่า ไม่ควรที่จะฟังคำพูดเหล่านั้นเลย
จนถึงตอนนี้ ... ก็ถึงเวลาที่เราจะเตรียมใจพบกับการเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้ง
อย่างน้อยเหตุการณ์เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เราสามารถเข้าใจอะไรหลายๆอย่างในโลกมากขึ้น
โดยเฉพาะมนุษย์
ตาเขียว...
ต้องการความเห็นอย่างสูง เชิญคลิ๊ก comment ทางด้านล่าง ขวามือของท่าน
ขอขอบคุณทุกความเห็นค่ะ
Subscribe to:
Posts (Atom)