Thursday, December 18, 2014

จดหมายจากดาวศุกร์

(ความเดิมตอนที่แล้ว http://sweet-choco-cookie.blogspot.com/2014/12/blog-post.html)

จริงๆการกลับไปโตเกียวครั้งนึงมันจะมีมุมหลายอย่างให้เขียนเยอะเหมือนกัน ครั้งนี้นอกจากความอบอุ่นที่ได้บอกไปเมื่อตอนที่แล้วที่ได้รับกลับมา (ย้ำอีกครั้ง..ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องพรหมลิขิต ใครพาออกทะเลค้าาาา)
สิ่งที่ได้รับกลับมาครั้งนี้ คือ "Recall" หรือลองอธิบายเป็นไทยได้ยาวๆว่า "ความรู้สึกเดิมที่เหมือนว่าจะลืมไปแล้ว แต่มันก็กลับมาใหม่" (คิดคำสวยๆมาอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ได้แฮะ)
ไม่รู้ว่าคนอื่นเคยเป็นกันหรือเปล่า แต่สำหรับคนดราม่าบ้าบออย่างโบว์แล้ว.... เรื่องที่เคยตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าจะผิดหรือจะถูก ถึงแม้อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาตัวและใจจากผลกระทบของมันมากสักหน่อย แต่เมื่อมันผ่านไปแล้วมันก็จะผ่านไปเลย แบบไม่ต้องคิดว่าจะกลับมามองการตัดสินในของตัวเองอีกครั้งอีกเลย
แต่คราวนี้แปลก แปลกตรงที่พอได้มาสัมผัสอะไรที่คุ้นเคยอีกครั้ง ประกอบกับช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีหลายครั้งที่ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราเคยมั่นใจมากๆในการตัดสินใจของเรามันกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน (อาจจะเป็นปีชง ประกอบกับราหูเข้าพอดี...‪#‎งานงมงายยังคงมาอยู่‬) จนทำให้เราเริ่มลังเลว่าการตัดสินใจในอดีตของเราตอนนั้นมันยังจะเป็นคำตอบที่ใช่อยู่จนถึงวันนี้หรือเปล่านะ
เวลาผ่านไป หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป อาจจะเป็นเพราะโตเกียวเป็นเมืองที่ dynamic การกลับไปครั้งนี้หลังจากที่ไม่ได้กลับไปปีกว่าๆทำให้โบว์เห็นหลายสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ทั้งผู้คน สถานที่ สิ่งของ ความคิด การกระทำ รวมถึงความรู้สึก
ถ้าใครติดตามอ่านเป็นประจำ ปกติการเขียนบทความของโบว์มักจะมีบทสรุปสวยๆเสมอ แต่ครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างทำให้โบว์ไม่สามารถเขียนตอนจบให้สวยๆได้ เพราะถ้าเขียนให้จบอาจจะไม่สวย 555+
หรือคงเป็นเพราะว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่ตอนจบ และคงต้องใช้เวลาดราม่าก่อนที่จะตัดสินใจได้อีกครั้งล่ะมั้ง
ไปเล่นโยคะแก้เวิ่นเสียดีกว่านะเรา -_-

Tuesday, December 16, 2014

จดหมายจากดาวอังคาร

ใครที่ติดตามสเตตัสเฟสบุ๊คโบว์ตลอดหลายวันที่ผ่านมาคงจะรู้ ... ว่านางขึ้นรถไฟผิดทั้งขามาและขากลับ (เพลียยยยยยย..) แต่ขากลับนี่ประหลาดซะหน่อย เพราะมีฝรั่งคนนึงถูกหนีบติดมาด้วย เพราะเค้าก็ขึ้นผิดเหมือนกัน (มีเพื่อนๆ) ทำให้การนั่งรถไฟ 1 ชม. กว่าๆจากกลางเมืองโตเกียวไปนาริตะเป็นการนั่งคุยกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนไม่รู้จักที่สนุกดีจนอดไม่ได้ที่จะเอามาเล่าให้ฟัง

คุณฝรั่งคนนี้ทำงานเป็นคุณครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในโตเกียว ซึ่งก่อนหน้านี้เค้าก็ไปอยู่มาหลายประเทศแล้วรวมถึงเคยเป็นครูที่รร.นานาชาติแห่งหนึ่งในจ.สมุทรปราการด้วย 

พอจะนึกออกไหมว่าการคุยกันของคนแปลกหน้าสองคนที่ดันบังเอิญขึ้นรถไฟผิดขบวนเหมือนกันมันจะเป็นการคุยกันค่อนข้างผิวเผิน (เพราะไม่อยากจะพูดเรื่องส่วนตัวกันมากเกินไป) แต่เนื่องจากจะต้องนั่งร่วมทางกันเป็นชั่วโมงเลยต้องหาเรื่องมาคุยกันให้ได้เยอะๆ ความเหมือนของโบว์กับเค้าคือโบว์มาอยู่โตเกียวปี 2007-2009 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เค้าอยู่ที่กรุงเทพฯ ตอนนี้โบว์กลับมาโตเกียว เค้ากำลังจะเดินทางกลับไปกรุงเทพฯอีกครั้ง

ตลกดีที่ดันมาบังเอิญเจอคนที่เหมือนกันตรงที่เรามีความรู้สึกร่วมกันของสถานที่หนึ่งที่ไม่ใช่บ้านเรา แต่พอมีเวลาว่างทีไรก็ต้องหาเรื่องไปที่นั่นทุกทีทั้งๆที่ไปมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ความรู้สึกประหลาดนี้มันคือความรู้สึกอะไรก็เรียกไม่ถูกเหมือนกัน 

มันแปลกดีนะที่ตอนแรกที่มาอยู่ที่นี่ ... ยังจำได้เลยว่าตอนนั้นคิดว่ามันคงเป็นดาวคนละดวงกันแน่ๆ (ไม่แปลกว่าภาษาอังกฤษเรียกคนต่างชาติว่า alien เนอะ) แต่อยู่ไปอยู่มา กลับไปแล้วก็กลับมาอีกเป็นสิบๆรอบ กลับทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆแล้วถึงแม้ฉันจะอยู่ที่ดาวศุกร์ ดาวอังคารนี่ก็เป็นดวงดาวที่ไม่ไกลเกินไป เพราะอย่างน้อยระยะเวลาที่ต่างกัน 2 ชั่วโมงก็ทำให้เรามีเวลาที่บรรจบกันที่จะทำให้เราเห็นดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน และดวงจันทร์ดวงเดียวกันได้ในเวลาเดียวกันได้อยู่เหมือนกัน

รถไฟถึงสนามบิน โบว์และคุณฝรั่งคนนั้นแยกทางกันโดยไม่ได้รู้จักชื่อกัน ถึงแม้จะบินไปกรุงเทพฯเหมือนกัน แต่ก็ต้องแยกกันเพราะคนละสายการบิน เค้าต้องไปเปลี่ยนที่เกาหลีก่อน เค้าขอบคุณโบว์ที่ทำให้เค้าสามารถมาถึงสนามบินได้โดยสวัสดิภาพ (คือถึงแม้จะขึ้นผิด ก็แก้ตัวทัน ก็ยังพอโอเคน่ะ!) 

แต่โบว์อาจจะต้องขอบคุณเค้ามากกว่าที่ทำให้โบว์รู้สึกว่าในโลกนี้มันก็ยังมีอีกคนนะที่ชอบการเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างดาวอีกดวง ที่ถึงแม้อาจจะเรียกไม่ได้ว่าบ้าน แต่ก็รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้มา

ขอกลับดาวศุกร์ไปเก็บตังค์ซื้อตั๋วจรวดใหม่ก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมาใหม่นะดาวอังคาร :)

Friday, May 09, 2014

30 years in review


นั่งคิดนานมากว่าจะเขียนอะไรในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในวัย 20 ซึ่งรู้สึกว่ามันยากมากในการจะมานั่งรีวิวชีวิตตัวเองตลอด 30 ปีที่ผ่านมาในโพสหนึ่งโพส แค่คิดถึงจุดเริ่มต้นก็ยากแล้ว เพราะจุดเริ่มต้นคือวันที่เกิดขึ้นมาเนี่ย ใครมันจะไปจำได้ ใช่ป่ะ 555

สุดท้ายเลยตั้งใจว่าจะเขียนสั้นๆเอาไว้เก็บไว้อ่านเล่นในวันที่จะก้าวเข้าสู่ 40, 50, 60 ต่อๆไปก็แล้วกันค่ะ  ^^

ในวันที่ก้าวเข้าสู่วัยเลข 10 ซึ่งคือวัยประถม โบว์รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เราฟอร์มตัวตนของเราขึ้นมาอย่างแท้จริง ในวัย 10 ขวบนั้น โบว์เริ่มค้นหาตัวเองเจอแล้วว่าสิ่งที่เราชอบคืออะไร ถือว่าเป็นโชคดีของโบว์ที่สิ่งที่โบว์ตัดสินใจในตอนนั้นและคิดว่าชอบ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ยังคงชอบอยู่ในตอนนี้ โบว์จำได้ว่าตอน ป.4 โบว์รู้ตัวเองแล้วว่าโบว์ไม่ชอบเรียนเลข ไม่ชอบเรียนวิทย์ ตอน ม.1 ได้มีโอกาสไปเรียนที่ออสเตรเลียอยู่สองเดือน ทำให้ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าสิ่งที่เราชอบคือเรื่องภาษา ชอบเรียนเรื่องเกี่ยวกับต่างประเทศ (คือเรียนสังคมวิชาประเทศของเราได้เกรดสอง โลกของเราได้เกรดสี่เนี่ย ชัดเจนมากๆ) ทำให้การตัดสินใจเรียนศิลป์-ภาษาในตอนม.ปลายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากนักสำหรับโบว์ และพูดได้เลยว่าถ้าตอนนั้นไม่รู้ตัวเองว่าชอบเรียนภาษาคงไม่สามารถสอบเข้าเตรียมฯได้ เมื่อเข้าเตรียมฯได้แล้ว ก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตโบว์อีกหนึ่งสเต็ปคือมีโอกาสได้ไปทำงานเป็นคณะกรรมการนักเรียน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้โบว์เป็นคนมีบุคลิกแบบนี้ (คือเป็นคนคุยเก่ง เพราะงานกรรมการนักเรียนในตอนนั้นหลักๆคือการฝึกการประสานงานกับคนหลากหลาย) และชอบงานเขียนขึ้นมา (เพราะจับพลัดจับผลูเข้าไปทำงานในตำแหน่งสาราณียกร ... ซึ่งบังเอิญมาก ลงตำแหน่งนี้เพราะไม่มีใครลง อันนี้พูดเลย 55555) และเป็นวัยที่โบว์ตัดสินใจ และสามารถสอบเข้าคณะรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาฯ ได้ และยังคงได้ทำงานเขียนต่อไปในแผนกสาราณียกรของ จุฬาฯ

ในวันที่ก้าวเข้าสู่วัยเลข 20 ซึ่งคือวัยมหาวิทยาลัยนั้น โบว์ได้รับโอกาสให้ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ไปเลย เป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกันที่ทราบข่าวโครงการ ไปสอบแล้วดันได้อีก! ในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงตอกย้ำความเป็นตัวตอนของเราก็แล้วกัน เพราะถ้าไม่ได้ไปเรียนญี่ปุ่นในตอนนั้น คงจะไม่สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งได้ในตอนนี้ (คือไปเรียนญี่ปุ่นนี่มันมหาโหดจริงๆสำหรับคนอย่างโบว์ในตอนนั้น จากคนที่ไม่เคยจากบ้านไปนานๆเลย แถมภาษาเค้าก็พูดไม่ได้สักคำ มันคือการดิ้นรนอย่างแท้จริง) หลังจากกลับจากญี่ปุ่นในตอนนั้นแล้ว ก็ไม่รู้โชคชะตาอะไรดันได้รับตอบรับให้ไปเรียนป.โทที่วาเซดะ (คือสมัครแบบฉิวเฉียดมาก ส่งใบสมัครวันสุดท้าย ... ดันได้อีก!!) ซึ่งก่อนหน้านั้นคิดไว้นะว่า พอแล้วประเทศญี่ปุ่น หนึ่งปีนี่พอเพียงแล้วสำหรับชั้น ไปประเทศอื่นดีกว่า แต่มันได้แล้วหนิ ก็เลยต้องไป .... สองปีในญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวอีกอีกครั้ง คือภาษาเราพอได้แล้วก็จริง แต่อุปสรรคชีวิตก็ยังมีมากมาย (คือเจออะไรมาเยอะจริงๆ แม้จะเป็นในช่วงสองปี) แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี และมีความสุข เพราะเพื่อนที่ญี่ปุ่นนี่พูดได้เลยว่าเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ อาจจะเป็นเพราะเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเยอะเป็นพิเศษ ทั้งวันธรรมดา เสาร์อาทิตย์ ปิดเทอม เที่ยวไหนยังไงเราไปด้วยกันตลอด พอกลับจากญี่ปุ่นก็ก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ซึ่งตอนแรกที่เข้าทำงานที่พานาโซนิคนั้น พูดเลยว่าไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ชีวิตการทำงานคืออะไร โดยโบว์ก็ได้เรียนรู้จากที่นี่ จากเพื่อนร่วมงานที่ดีมากกกกกกกกทุกคน ทำให้โบว์หาตัวเองเจอว่าเราชอบทำงานด้านไหน วันที่ตัดสินใจลาออกจากพานาโซนิคไปทำที่โอกิลวี่นั้นเป็นความรู้สึกว่าเราเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอีกที่หนึ่งเลยจริงๆ และเรากำลังก้าวไปสู่โลกแห่งการทำงานในสิ่งที่เราตามหามานานจริงๆเสียที

ในวันที่ก้าวเข้าสู่วัยเลข 30 ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นช่วงอะไร แต่ขอเดาว่ามันจะเป็นช่วงที่เราได้เอาตัวตนของเราที่สร้างมาตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดก็แล้วกัน ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไร สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือคงต้องวางแผนกันต่อไปว่าจะเอาสิ่งที่เราสร้างมานั้นออกมาใช้ได้อย่างไร

ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา ขอขอบคุณทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่ทำให้การเดินทางของโบว์เต็มไปด้วยความสนุกสนาน มีทั้งความสุข ทั้งปัญหาที่ให้แก้ไขตลอดเวลา ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตต่อไปนี้จะเป็นอย่างไร แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในสามทศวรรษนี้คงจะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ และแก้ปัญหาต่างๆที่จะเข้ามาต่อไปจากนี้ได้อย่างดียิ่งขึ้น

สุดท้าย ... พรุ่งนี้โบว์จะอายุ 29 ปี กับอีก 12 เดือนนะคะ :P