Sunday, December 09, 2012

โลกไร้สัญญาณ

จู่ๆโบว์ก็หายตัวไปจากเฟซบุ๊ค ทุกคนคงจะแอบตกใจ โบว์ไปเที่ยวแพกลางเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่ จ.สุราษฎร์ธานีมาค่ะ ซึ่งตอนแรกก็ไม่ทราบเลยจริงๆว่าจะไร้สัญญาณขนาดนี้ อย่าว่าแต่สัญญาณอินเตอร์เน็ทเลย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี เรียกได้ว่าถ้าเดินหลงป่าหรือจมน้ำกลางเขื่อนตายไปก็ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน

ตอนแรกที่รู้ว่าจะไร้สัญญาณคือตอนที่กำลังจะข้ามเรือจากบนฝั่งมาที่แพที่พัก วินาทีแรกที่คิดคือเราจะใช้ชีวิตได้อย่างไร เพราะนับตั้งแต่ได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า "สมาร์ทโฟน" มานั้น แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่เราจะต้องไม่เจอกัน ถ้าจะเปรียบกับความสัมพันธ์ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคู่แท้ที่ชีวิตจะขาดไปไม่ได้ เหมือนขาดเธอฉันขาดใจอะไรทำนองนั้นแหละค่ะ

โบว์เป็นคนที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยพอสมควร ทุกๆครั้งก่อนที่เดินทางโบว์จะเตรียมตัวหาข้อมูลไว้ก่อนว่าเราจะมีทางติดต่อกับสังคมของเราได้อย่างไรบ้าง มีหลายครั้งที่รู้ว่าคงจะไม่มีอินเตอร์เน็ทใช้ก็จะทำใจไว้ก่อน แต่ไม่มีสักครั้งที่จะขาดสัญญาณโทรศัพท์เหมือนอย่างในช่วงสามวันนี้

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในช่วงที่เดินทางไปรัสเซีย ตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่าตัวเองเป็นคนเสพติดสังคมออนไลน์มากๆ เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหน แวะสถานที่ท่องเที่ยวใด หรือแม้แต่รถจะติดไฟแดงเพียงแค่สองสามนาทีก็ตาม ผู้หญิงคนนี้จะต้องหยิบสมาร์ทโฟนที่แบตจะหมดแหล่มิหมดแหล่ขึ้นมาตามหาสัญญาณ Free Wifi ตอนนี้สามารถอวดได้เลยว่าสัญญาณ Wifi ไหนในประเทศรัสเซียต้องเข้าระบบยังไง ต้องกดปุ่มเปลี่ยนภาษาตรงไหน เรียกได้ว่าชำนาญมากๆ ..... อาจจะเป็นเพราะว่าในตอนนั้นโบว์รู้สึกว่ามีใครบางคนที่กำลังรอการติดต่อจากเราอยู่ ทำให้แรงขับเคลื่อนในการหาสัญญาณอินเตอร์เน็ทมีมากขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ

...ต่างจากช่วงชีวิตสามวันปราศจากสัญญาณที่บนแพกลางเขื่อนเชี่ยวหลาน ทางตอนใต้ของประเทศไทย ซึ่งใช้เวลาเดินทางมาถึงเพียงสองสามชั่วโมง

ระยะทางที่ใกล้กว่าไม่รู้กี่สิบเท่า แต่กลับมีความรู้สึกห่างไกลมากกว่าเดิม ตอนนี้ความกระวนกระวายใจในการที่จะต้องตามหาสัญญาณนั้นกลับน้อยลงไปอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะว่าภายในใจนั้นรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้มีใครบางคนที่รอคอยเพียง text สั้นๆ ที่มาบ้างไม่มาบ้างจากเราอยู่ ที่โบว์เรียกมันอย่างมีความสำคัญว่าการติดต่อที่ถึงแม้จะสั้นๆแต่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายที่เกิดขึ้นเพราะความพยายามอย่างแรงกล้าของคนส่ง

ชีิวิตไร้สัญญาณของโบว์สามวันเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่มีความหมาย โบว์ยังแอบเสียดายนิดๆที่เอาหนังสือที่ดองไว้รอการเปิดอ่านที่บ้านมาน้อยเกินไป เพราะเมื่อไม่มีสัญญาณแล้วเราก็จะทำสิ่งที่เราอยากทำได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคอยหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเฟซบุ๊คตลอดเวลาอย่างทุกวันนี้

ตอนนี้ก็กลับมาคิดได้ว่าจริงๆแล้วคนที่มีสังคมมากๆอย่างโบว์กลับมีความต้องการที่จะออกจากสังคมและทำตัวขาดการติดต่อ และนั่งดูดาวอยู่ตามลำพังบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่รู้ว่าเราไม่ต้องมาคอยกังวลรอคอยความเป็นไปได้ที่ว่าจะมีข้อความถูกส่งมาหรือไม่ส่งมาอยู่อย่างไร้จุดหมาย

ตอนนี้เลยกำลังคิดอยู่ว่าจะมีที่ไหนอีกบ้างที่จะจู่ๆเราสามารถหนีออกไปสักระยะ และขาดการติดต่อได้อีก เพราะตอนนี้โบว์รู้สึกชื่นชอบความเชื่องช้าของเวลาที่เดินผ่านไปแบบนี้เสียแล้วล่ะค่ะ

แต่ขอเป็นที่ๆอากาศเย็นๆหน่อยนะ เพราะที่นี่ร้อนจริงๆแทบขาดใจ :)))

ปล. เกิดการค้นพบอย่างหนึ่งในช่วงที่นั่งร้อนอยู่ (เพราะไฟฟ้ามาเป็นเวลา) และให้ไอโฟนแรนดอมเพลงไปเรื่อยๆ ว่าการฟังเพลงแจ๊ซช่วยทำให้รู้สึกเย็นขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ .... มีใครมีทฤษฎีสนับสนุนสมมติฐานนี้ไหมคะ???