เดือนเมษายน...ต้นซากุระออกดอกสวยงามเต็มต้น
เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อสายลมพัดมา...
ไม่ว่าจะยื้อไว้ได้นานเท่าไหร่
ดอกไม้สวยงามนั้นก็ถึงเวลาที่จะโรยลา
เมื่อถึงเวลาของมัน
เมื่อสายลมพัดมา...
สีเขียวของใบไม้ใบใหม่ก็จะมาแทนที่สีชมพูของดอกไม้
ที่แม้จะสวยงามแต่ก็บอบบางนัก
หรือว่าอันที่จริงแล้วความงามที่เราชื่นชม
อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่กับเราตลอดไป
เมื่อสายลมพัดมา...
ฉันก็คิดได้ว่า...เราคงไม่สามารถเชื่อมั่นในความงามดั่งดอกซากุระได้
เพราะดอกไม้นั้นก็มักจะถูกพัดหลุดลอยไปตามสายลมอ่อนๆเสมอ
เมื่อสายลมพัดมา...
ฉันจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
ซึ่งจะไม่ใช่การเดินทางตามหาความงามที่บอบบางอีกต่อไป
แต่จะเป็นการเดินทางเพื่อตามหาต้นไม้ใหญ่
ที่ถึงแม้ลมจะพัดมาแรงเพียงใด
ต้นไม้นั้นก็จะไม่ลู่ไปตามสายลม
*ฉัน
Thursday, April 19, 2012
Sunday, April 01, 2012
เดือนเมษายน
เดือนเมษายน จริงๆแล้วอาจจะเรียกได้ว่่าเป็นเดือนแห่งการเริ่มต้นของอะไรหลายๆอย่่าง สำหรับคนไทยอาจจะเป็นการเริ่มต้นของเดือนที่ร้อนที่สุด การเริ่มต้นเข้าสู่ปีใหม่ สำหรับคนญี่ปุ่นหลายๆอย่างก็เริ่มต้นในเดือนเมษายนเช่นกัน ดอกซากุระเริ่มผลิบาน แสดงถึงการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ การเริ่มต้นของภาคการเรียนใหม่ การเริ่มต้นของปีงบประมาณใหม่ สำหรับนักเรียนไทย...อาจจะเป็นการเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่... ทั้งเดินทางไป และเดินทางกลับ
ทุกครั้งที่ได้ไปสัมผัสประเทศญี่ปุ่น โบว์มีความรู้สึกหลากหลายอย่างที่เปลี่ยนไปในทุกๆครั้ง ครั้งนี้ได้มาสัมผัสญี่ปุ่นเป็นเวลาสั้นๆในช่วงปลายเดือนมีนาคม และเดินทางกลับในวันที่ 1 เมษายนพอดี การมาในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วันแต่ก็สามารถใช้เวลาในช่วงนั้นคิดอะไรได้หลายๆอย่าง เรื่องหนึ่งที่ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นมาหลายปีก็ตามแต่เพิ่งจะมารู้สึกได้ตอนนี้ก็คือเรื่องที่ว่าเราจะเลือกทำตามความต้องการในใจจริงๆหรือเลือกทำสิ่งที่ควรจะทำ คิดๆดูแล้วมันก็เชื่อมโยงกับเดือนเมษายนได้อย่างประหลาด
โบว์มีโอกาสที่ดีมากที่ได้พบเจอกับเพื่อนๆนักเรียนไทยทั้งรุ่นที่กลับไปแล้ว รุ่นที่กำลังเรียนอยู่ และรุ่นที่เพิ่งจะเดินทางไปใหม่ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้โบว์รู้สึกว่าเดือนเมษายนจริงๆแล้วอาจจะเป็นเดือนหนึ่งที่ถึงแม้บรรยากาศจะไม่ค่อยให้เท่าไหร่นักแต่ยังคงแฝงไปด้วยความเหงาที่ลอยมาตามสายลมเย็นอ่อนๆและกลีบดอกไม้่ที่ร่วงหล่นอยู่ในสายน้ำ...
เพราะ...การเดินทางครั้งใหม่ของใครคนหนึ่ง ทิ้งความเหงาและความห่วงใยไว้ภายในใจของใครอีกคน การเริ่มต้นครั้งใหม่ของใครคนนั้นกลับนำจุดจบมาให้กับใครอีกคนหนึ่ง
ก่อนจะมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ เรื่องบังเอิญเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือเพื่อนๆหลายคนที่มีปัญหาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามต่างเข้ามาคุยกับโบว์และเล่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลายๆคนยังคงสับสนว่าควรจะเลือกทำตามความต้องการของตัวเอง หรือเลือกทำในสิ่งที่ควรจะทำซึ่งถึงแม้จะไม่ตรงกับความต้องการของเราเสียทีเดียวแต่อาจจะเสี่ยงน้อยกว่่าและทำร้ายตัวเองน้อยกว่าเลือกทำในสิ่งตามใจเรา โบว์ใช้เวลานานพอสมควรเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้และทุกๆครั้งเมื่อมองย้อนกลับไปโบว์ก็มองเห็นว่าสิ่งที่ควรจะทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าจะเลือกทำมากกว่าการเลือกทำตามใจตัวเอง ... และทุกๆครั้งอีกเช่นกันที่โบว์มักจะเลือกทางที่เสี่ยงและทำตามใจตัวเองมากกว่าที่จะเลือกทำในสิ่งที่ควรทำ แปลกดีไหมล่ะคะ?
ถ้าเลือกได้...โบว์ก็ไม่อยากจะเลือกที่จะเสี่ยงอะไรสักอย่าง เพราะจริงๆแล้วถ้ามองภายนอกโบว์จะดูเป็นคนกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรใหม่ๆ แต่ลึกๆแล้วโบว์เป็นคนขี้กลัว กลัวที่จะเสี่ยง กลัวจนกระทั่งไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลยโดยเฉพาะเรื่องของตัวเอง... ซึ่งทุกๆครั้งมันก็จบลงแบบเดิมๆทุกที เหมือนคนดื้อด้าน เจ็บแล้วไม่ยอมจำเสียที
จริงๆแล้วคนแต่ละคนต่างก็มีความต่างกันในแต่ละแบบ บางครั้งโบว์ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเราถึงไม่เลือกทางที่ดูเหมือนจะปลอดภัยกว่า แต่กลับไปเลือกทางขรุขระที่มองเห็นอยู่ชัดๆว่าถ้าถีบจักรยานไปทางนั้นมีโอกาสที่จะล้มหน้าคว่ำถลอกปอกเปิกไปหมดประมาณ 90% ... ซึ่งแปลกมากที่คนขี้ขลาดอย่างโบว์ก็มักจะเสี่ยงที่จะปั่นจักรยานไปตรงเส้นทางขรุขระนั้นโดยกุมความหวัง 10% ที่มีอยู่เอาไว้ จนตอนนี้มีแผลเป็นตามร่างกายเยอะแยะมากมาย ซึ่งมองกลับไปแต่ละแผลก็จะนึกตลกตัวเองทุกครั้งว่าจะเสี่ยงทำอะไรแบบนั้นทำไมกันนะ
โบว์เป็นคนถีบจักรยานไม่แข็ง ถึงแม้ว่าจะหัดมาหลายปีแล้ว ทำยังไงก็ไม่แข็งเสียที ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นกรรมจากชาติปางก่อนหรือเปล่าที่ทำให้โบว์ไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ แต่...โบว์ก็ยังไม่เลิกที่จะลองขี่จักรยานพร้อมกับถือความหวัง 10% อันน้อยนิดไปด้วยทุกครั้ง และท่องเอาไว้ในใจว่าขอให้สิ่งเล็กๆที่เราเชื่อมั่นจะทำให้เราได้ภูมิใจมากกว่าการเลือกไปเดินเส้นเรียบ เพราะสุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่่างไรการลองเสี่ยงไปในทางที่ยากกว่าเราจะได้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้ในเส้นทางธรมดาเก็บกลับบ้านไปด้วย
วันที่ 1 เมษายน 2555 เวลา 12:00 น. ณ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น โบว์มองย้อนกลับไปในสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามนึกภาพต่อไปในอนาคต หากโบว์เริ่มต้นใหม่ในวันนี้ไปพร้อมกับกลีบดอกซากุระที่กำลังจะผลิบานสิ่งที่สวยงามก็คงจะรอเราอยู่ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีเมื่อวันเวลาผ่านไป กลีบดอกซากุระร่วงโรยไปตามสายฝนโดยที่เรายังไม่ได้พยายามรั้งให้ดอกมันร่วงโรยช้าลงเพื่อจะชมความงามของมันต่ออีกสักหน่อยโบว์ก็คงเสียดายหากไม่ได้ลองทำ ถึงแม้จะรู้ว่ามีโอกาสเพียง 10% เท่านั้นที่ดอกซากุระจะอยู่กับเราได้ยาวนานกว่าเดิม ก็อยากจะดื้อขอยืดเวลาความสุขออกไปอีกหน่อยก็ยังดี ไม่แน่ใจเหมืิอนกันว่าการเสี่ยงในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร รู้อย่างเดียวว่ามันคือความเสี่ยงมากๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงอยากจะลองดูสักหน่อย อย่างน้อยก็ได้พิสูจน์ว่าเราได้พยายามแล้วครั้งหนึ่ง
เดือนเมษายนนี้ของโบว์จึงอาจจะไม่ใช่เดือนแห่งการเริ่มต้นใหม่ แต่คงเป็นเดือนแห่งความพยายามครั้งใหม่ กับความหวังอีก 10% ที่โบว์ยังคงถือเอาไว้แนบอก พร้อมกับภาวนาไปด้วยว่าจะไม่ได้แผลกลับมาจากการขี่จักรยานบนทางขรุขระในครั้งนี้ ขาลายไปมากกว่านี้สงสัยคงต้องเลิกปั่นจักรยานแล้วล่ะค่ะ :)
ทุกครั้งที่ได้ไปสัมผัสประเทศญี่ปุ่น โบว์มีความรู้สึกหลากหลายอย่างที่เปลี่ยนไปในทุกๆครั้ง ครั้งนี้ได้มาสัมผัสญี่ปุ่นเป็นเวลาสั้นๆในช่วงปลายเดือนมีนาคม และเดินทางกลับในวันที่ 1 เมษายนพอดี การมาในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วันแต่ก็สามารถใช้เวลาในช่วงนั้นคิดอะไรได้หลายๆอย่าง เรื่องหนึ่งที่ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นมาหลายปีก็ตามแต่เพิ่งจะมารู้สึกได้ตอนนี้ก็คือเรื่องที่ว่าเราจะเลือกทำตามความต้องการในใจจริงๆหรือเลือกทำสิ่งที่ควรจะทำ คิดๆดูแล้วมันก็เชื่อมโยงกับเดือนเมษายนได้อย่างประหลาด
โบว์มีโอกาสที่ดีมากที่ได้พบเจอกับเพื่อนๆนักเรียนไทยทั้งรุ่นที่กลับไปแล้ว รุ่นที่กำลังเรียนอยู่ และรุ่นที่เพิ่งจะเดินทางไปใหม่ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้โบว์รู้สึกว่าเดือนเมษายนจริงๆแล้วอาจจะเป็นเดือนหนึ่งที่ถึงแม้บรรยากาศจะไม่ค่อยให้เท่าไหร่นักแต่ยังคงแฝงไปด้วยความเหงาที่ลอยมาตามสายลมเย็นอ่อนๆและกลีบดอกไม้่ที่ร่วงหล่นอยู่ในสายน้ำ...
เพราะ...การเดินทางครั้งใหม่ของใครคนหนึ่ง ทิ้งความเหงาและความห่วงใยไว้ภายในใจของใครอีกคน การเริ่มต้นครั้งใหม่ของใครคนนั้นกลับนำจุดจบมาให้กับใครอีกคนหนึ่ง
ก่อนจะมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ เรื่องบังเอิญเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือเพื่อนๆหลายคนที่มีปัญหาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามต่างเข้ามาคุยกับโบว์และเล่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลายๆคนยังคงสับสนว่าควรจะเลือกทำตามความต้องการของตัวเอง หรือเลือกทำในสิ่งที่ควรจะทำซึ่งถึงแม้จะไม่ตรงกับความต้องการของเราเสียทีเดียวแต่อาจจะเสี่ยงน้อยกว่่าและทำร้ายตัวเองน้อยกว่าเลือกทำในสิ่งตามใจเรา โบว์ใช้เวลานานพอสมควรเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้และทุกๆครั้งเมื่อมองย้อนกลับไปโบว์ก็มองเห็นว่าสิ่งที่ควรจะทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าจะเลือกทำมากกว่าการเลือกทำตามใจตัวเอง ... และทุกๆครั้งอีกเช่นกันที่โบว์มักจะเลือกทางที่เสี่ยงและทำตามใจตัวเองมากกว่าที่จะเลือกทำในสิ่งที่ควรทำ แปลกดีไหมล่ะคะ?
ถ้าเลือกได้...โบว์ก็ไม่อยากจะเลือกที่จะเสี่ยงอะไรสักอย่าง เพราะจริงๆแล้วถ้ามองภายนอกโบว์จะดูเป็นคนกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรใหม่ๆ แต่ลึกๆแล้วโบว์เป็นคนขี้กลัว กลัวที่จะเสี่ยง กลัวจนกระทั่งไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลยโดยเฉพาะเรื่องของตัวเอง... ซึ่งทุกๆครั้งมันก็จบลงแบบเดิมๆทุกที เหมือนคนดื้อด้าน เจ็บแล้วไม่ยอมจำเสียที
จริงๆแล้วคนแต่ละคนต่างก็มีความต่างกันในแต่ละแบบ บางครั้งโบว์ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเราถึงไม่เลือกทางที่ดูเหมือนจะปลอดภัยกว่า แต่กลับไปเลือกทางขรุขระที่มองเห็นอยู่ชัดๆว่าถ้าถีบจักรยานไปทางนั้นมีโอกาสที่จะล้มหน้าคว่ำถลอกปอกเปิกไปหมดประมาณ 90% ... ซึ่งแปลกมากที่คนขี้ขลาดอย่างโบว์ก็มักจะเสี่ยงที่จะปั่นจักรยานไปตรงเส้นทางขรุขระนั้นโดยกุมความหวัง 10% ที่มีอยู่เอาไว้ จนตอนนี้มีแผลเป็นตามร่างกายเยอะแยะมากมาย ซึ่งมองกลับไปแต่ละแผลก็จะนึกตลกตัวเองทุกครั้งว่าจะเสี่ยงทำอะไรแบบนั้นทำไมกันนะ
โบว์เป็นคนถีบจักรยานไม่แข็ง ถึงแม้ว่าจะหัดมาหลายปีแล้ว ทำยังไงก็ไม่แข็งเสียที ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นกรรมจากชาติปางก่อนหรือเปล่าที่ทำให้โบว์ไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ แต่...โบว์ก็ยังไม่เลิกที่จะลองขี่จักรยานพร้อมกับถือความหวัง 10% อันน้อยนิดไปด้วยทุกครั้ง และท่องเอาไว้ในใจว่าขอให้สิ่งเล็กๆที่เราเชื่อมั่นจะทำให้เราได้ภูมิใจมากกว่าการเลือกไปเดินเส้นเรียบ เพราะสุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่่างไรการลองเสี่ยงไปในทางที่ยากกว่าเราจะได้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้ในเส้นทางธรมดาเก็บกลับบ้านไปด้วย
วันที่ 1 เมษายน 2555 เวลา 12:00 น. ณ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น โบว์มองย้อนกลับไปในสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามนึกภาพต่อไปในอนาคต หากโบว์เริ่มต้นใหม่ในวันนี้ไปพร้อมกับกลีบดอกซากุระที่กำลังจะผลิบานสิ่งที่สวยงามก็คงจะรอเราอยู่ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีเมื่อวันเวลาผ่านไป กลีบดอกซากุระร่วงโรยไปตามสายฝนโดยที่เรายังไม่ได้พยายามรั้งให้ดอกมันร่วงโรยช้าลงเพื่อจะชมความงามของมันต่ออีกสักหน่อยโบว์ก็คงเสียดายหากไม่ได้ลองทำ ถึงแม้จะรู้ว่ามีโอกาสเพียง 10% เท่านั้นที่ดอกซากุระจะอยู่กับเราได้ยาวนานกว่าเดิม ก็อยากจะดื้อขอยืดเวลาความสุขออกไปอีกหน่อยก็ยังดี ไม่แน่ใจเหมืิอนกันว่าการเสี่ยงในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร รู้อย่างเดียวว่ามันคือความเสี่ยงมากๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงอยากจะลองดูสักหน่อย อย่างน้อยก็ได้พิสูจน์ว่าเราได้พยายามแล้วครั้งหนึ่ง
เดือนเมษายนนี้ของโบว์จึงอาจจะไม่ใช่เดือนแห่งการเริ่มต้นใหม่ แต่คงเป็นเดือนแห่งความพยายามครั้งใหม่ กับความหวังอีก 10% ที่โบว์ยังคงถือเอาไว้แนบอก พร้อมกับภาวนาไปด้วยว่าจะไม่ได้แผลกลับมาจากการขี่จักรยานบนทางขรุขระในครั้งนี้ ขาลายไปมากกว่านี้สงสัยคงต้องเลิกปั่นจักรยานแล้วล่ะค่ะ :)
Subscribe to:
Posts (Atom)