Friday, December 31, 2010
Saturday, December 25, 2010
แผนที่โลก
วันนี้มีแผนที่โลกมาให้ดู 2 แบบ
อยากให้ลองคิดกันดูเล่นๆว่า 2 แบบนี้ต่างกันยังไง
รูปที่ 1
รูปที่ 2
ขอเล่าที่มาที่ไปที่เอาแผนที่ 2 รูปนี้มาโพสให้ดูกันก่อนนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆเกิดอะไรขึ้นกับแผนที่
แล้วจะเฉลยให้ฟังว่ามันต่างกันยังไง
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเที่ยวอิตาลี แล้วมีเวลาครึ่งวันได้ไปเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน
มีเวลานิดเดียวเลยไม่มีเวลาได้พินิจพิเคราะห์ศิลปะเท่าไหร่ กะว่าถ้าเกิดมีเวลา (และเงิน) จะไปเดินดูสักสามวัน 555่
ขณะที่เหลือบมองอยู่นั้นก็มีความคิดหลายอย่างแล่นเข้ามาในหัว
หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นคือเป็นช่วงเวลาที่เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น จำไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นคาบอะไร อาจารย์เรียกให้นักศึกษา 2 คนออกไปวาดรูปแผนที่โลกให้ดูหน่อย
นักศึกษาคนที่หนึ่งเป็นนักศึกษาต่างชาติ วาดรูปออกมา่เป็นลักษณะรูปที่ 1 ส่วนนักศึกษาคนที่สองซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นนั้นวาดรูปออกมาเป็นลักษณะรูปที่ 2
เฉลย...สิ่งที่แตกต่างกันของ 2 รูปนี้คือ "ที่ๆเป็นศูนย์กลาง" นี่เอง
แผนที่โลกที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เราใช้ตามแบบยุโรป ทำให้ศูนย์กลางของโลกคือยุโรป และเราซึ่งเป็นคนเอเชียจึงถูกเรียกว่า "ชาวตะวันออก" ประเทศญี่ปุ่นจึงถูกเรียกว่า "ตะวันออกไกล"
แต่แผนที่ที่นักเรียนญี่ปุ่นเรียนมาประเทศที่อยู่ศูนย์กลางของโลกคือประเทศญี่ปุ่นนี่เอง
จริงๆแล้วคงไม่สามารถบอกได้ว่าแผนที่แบบไหนดูปกติ (พยายามหลีักเลี่ยงที่จะใช้คำว่าถูก หรือผิด เพราะว่าคงไม่มีอันไหนผิด) เพราะขึ้นอยู่กับความเคยชินของแต่ชาติ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเราได้รับอิืทธิพลมาจากฝรั่งพอสมควรในสมัยที่มีลัทธิล่าอาณานิคม ทำให้เีราเคยชินกับการใช้แผนที่ตามแบบฝรั่ง เราเลยเรียกพวกเขาว่าชาวตะวันตก และเรียกตัวเราเองว่าชาวตะวันออก และแผนที่แบบที่ 1 ก็คือแผนที่ที่ "ปกติ" สำหรับเรา
แต่สำหัรบชาวญี่ปุ่น แผนที่แบบที่ 1 นั่นแหละผิดปกติ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนญี่ปุ่นจะสงสัยกันไหมว่าทำไมจึงเรียกพวกเขาว่าชาวตะวันออก ก็ในแผนที่อเมริกาต่างหากที่อยู่ตะวันออก
*******************************
เรื่องที่ 2 ที่คิดขึ้นมาได้คือว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือปกติ แล้วอะไรล่ะคือความผิดปกติ
ตอนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น เคยมีวันหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนประหลาดมาก
วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่อากาศกำลังจะเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูใบไม้ร่วง
เราแต่งตัวออกจากบ้าน หยิบเสื้อคาดิแกนบางๆตัวหนึ่งมาใส่เพราะอากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย
แล้วก็เดินออกจากบ้านเพื่อจะไปขึ้นรถไฟ
ความประหลาดมันอยู่ที่วันนั้นบนรถไฟ เราเป็นคนเดียวที่ใส่สีชมพู....
และรู้สึกว่าคนทั้งรถไฟที่เปลี่ยนจากเสื้อผ้าสีสดใสหน้าร้อนมาเป็นสีตุ่นๆหม่นๆ กำลังยืนมองเราอยู่....
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะดันทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านนั่นเอง
(เรื่องการทำอะไรเป็น pattern ของคนญี่ปุ่นจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้า)
เรื่องใส่เสื้อผ้าผิดสีนี่ไม่เคยเกิดขึ้นที่เมืองไทย เพราะร้อนตลอดปีทำให้ไม่ได้มีใครคิดว่านี่ฤดูหนาวแล้วนะเธอต้องเปลี่ยนสีๆ ห้ามใส่ลายดอกเด็ดขาดนั่นมันหน้าร้อนนนนน
แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้สึกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับวัยรุ่นไทย...
วันหนึ่งขับรถผ่านสยาม...เห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อ jumper มีฮู้ด ใส่หมวกไหมพรม รองเท้าบู้ท และแว่นกรอบใหญ่ๆสไตล์เกาหลี
ก็เลยคิดว่าเด็กสมัยนี่ผิดปกติแล้วล่ะนะ ร้อนจะตายชักใส่มาแบบนี้ไม่ีเป็นลมตายเหรอจ๊ะน้อง
แต่คิดไปคิดมา...ถ้าเราเดินออกจากรถและไปรวมกลุ่มกับน้องกลุ่มนั้น เราอาจจะเป็นคนผิดปกติก็ได้นะ
*******************************
สุดท้ายนี้เอารูปแผนที่ต้นเหตุที่ทำให้มาเขียนเรื่องนี้ในวันนี้มาฝากกัน...
เอามาให้ดูว่าสมัยก่อนสำหรับชาวยุโรปนั้น ประเทศตูไม่ได้มีตัวตนใดๆเลย มองไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร
หาตั้งนาน ประเทศตูอยู่ตรงไหนเนี่ย 5555
(รีบมากเลยไม่ได้สังเกตว่าเป็นแผนที่ที่เขียนขึ้นในปีไหน ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
อยากให้ลองคิดกันดูเล่นๆว่า 2 แบบนี้ต่างกันยังไง
รูปที่ 1
รูปที่ 2
ขอเล่าที่มาที่ไปที่เอาแผนที่ 2 รูปนี้มาโพสให้ดูกันก่อนนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆเกิดอะไรขึ้นกับแผนที่
แล้วจะเฉลยให้ฟังว่ามันต่างกันยังไง
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเที่ยวอิตาลี แล้วมีเวลาครึ่งวันได้ไปเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน
มีเวลานิดเดียวเลยไม่มีเวลาได้พินิจพิเคราะห์ศิลปะเท่าไหร่ กะว่าถ้าเกิดมีเวลา (และเงิน) จะไปเดินดูสักสามวัน 555่
ขณะที่เหลือบมองอยู่นั้นก็มีความคิดหลายอย่างแล่นเข้ามาในหัว
หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นคือเป็นช่วงเวลาที่เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น จำไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นคาบอะไร อาจารย์เรียกให้นักศึกษา 2 คนออกไปวาดรูปแผนที่โลกให้ดูหน่อย
นักศึกษาคนที่หนึ่งเป็นนักศึกษาต่างชาติ วาดรูปออกมา่เป็นลักษณะรูปที่ 1 ส่วนนักศึกษาคนที่สองซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นนั้นวาดรูปออกมาเป็นลักษณะรูปที่ 2
เฉลย...สิ่งที่แตกต่างกันของ 2 รูปนี้คือ "ที่ๆเป็นศูนย์กลาง" นี่เอง
แผนที่โลกที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เราใช้ตามแบบยุโรป ทำให้ศูนย์กลางของโลกคือยุโรป และเราซึ่งเป็นคนเอเชียจึงถูกเรียกว่า "ชาวตะวันออก" ประเทศญี่ปุ่นจึงถูกเรียกว่า "ตะวันออกไกล"
แต่แผนที่ที่นักเรียนญี่ปุ่นเรียนมาประเทศที่อยู่ศูนย์กลางของโลกคือประเทศญี่ปุ่นนี่เอง
จริงๆแล้วคงไม่สามารถบอกได้ว่าแผนที่แบบไหนดูปกติ (พยายามหลีักเลี่ยงที่จะใช้คำว่าถูก หรือผิด เพราะว่าคงไม่มีอันไหนผิด) เพราะขึ้นอยู่กับความเคยชินของแต่ชาติ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเราได้รับอิืทธิพลมาจากฝรั่งพอสมควรในสมัยที่มีลัทธิล่าอาณานิคม ทำให้เีราเคยชินกับการใช้แผนที่ตามแบบฝรั่ง เราเลยเรียกพวกเขาว่าชาวตะวันตก และเรียกตัวเราเองว่าชาวตะวันออก และแผนที่แบบที่ 1 ก็คือแผนที่ที่ "ปกติ" สำหรับเรา
แต่สำหัรบชาวญี่ปุ่น แผนที่แบบที่ 1 นั่นแหละผิดปกติ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนญี่ปุ่นจะสงสัยกันไหมว่าทำไมจึงเรียกพวกเขาว่าชาวตะวันออก ก็ในแผนที่อเมริกาต่างหากที่อยู่ตะวันออก
*******************************
เรื่องที่ 2 ที่คิดขึ้นมาได้คือว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือปกติ แล้วอะไรล่ะคือความผิดปกติ
ตอนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น เคยมีวันหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนประหลาดมาก
วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่อากาศกำลังจะเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูใบไม้ร่วง
เราแต่งตัวออกจากบ้าน หยิบเสื้อคาดิแกนบางๆตัวหนึ่งมาใส่เพราะอากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย
แล้วก็เดินออกจากบ้านเพื่อจะไปขึ้นรถไฟ
ความประหลาดมันอยู่ที่วันนั้นบนรถไฟ เราเป็นคนเดียวที่ใส่สีชมพู....
และรู้สึกว่าคนทั้งรถไฟที่เปลี่ยนจากเสื้อผ้าสีสดใสหน้าร้อนมาเป็นสีตุ่นๆหม่นๆ กำลังยืนมองเราอยู่....
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะดันทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านนั่นเอง
(เรื่องการทำอะไรเป็น pattern ของคนญี่ปุ่นจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้า)
เรื่องใส่เสื้อผ้าผิดสีนี่ไม่เคยเกิดขึ้นที่เมืองไทย เพราะร้อนตลอดปีทำให้ไม่ได้มีใครคิดว่านี่ฤดูหนาวแล้วนะเธอต้องเปลี่ยนสีๆ ห้ามใส่ลายดอกเด็ดขาดนั่นมันหน้าร้อนนนนน
แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้สึกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับวัยรุ่นไทย...
วันหนึ่งขับรถผ่านสยาม...เห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อ jumper มีฮู้ด ใส่หมวกไหมพรม รองเท้าบู้ท และแว่นกรอบใหญ่ๆสไตล์เกาหลี
ก็เลยคิดว่าเด็กสมัยนี่ผิดปกติแล้วล่ะนะ ร้อนจะตายชักใส่มาแบบนี้ไม่ีเป็นลมตายเหรอจ๊ะน้อง
แต่คิดไปคิดมา...ถ้าเราเดินออกจากรถและไปรวมกลุ่มกับน้องกลุ่มนั้น เราอาจจะเป็นคนผิดปกติก็ได้นะ
*******************************
สุดท้ายนี้เอารูปแผนที่ต้นเหตุที่ทำให้มาเขียนเรื่องนี้ในวันนี้มาฝากกัน...
เอามาให้ดูว่าสมัยก่อนสำหรับชาวยุโรปนั้น ประเทศตูไม่ได้มีตัวตนใดๆเลย มองไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร
หาตั้งนาน ประเทศตูอยู่ตรงไหนเนี่ย 5555
(รีบมากเลยไม่ได้สังเกตว่าเป็นแผนที่ที่เขียนขึ้นในปีไหน ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
Saturday, December 11, 2010
Italy in panoramic view
Subscribe to:
Posts (Atom)