พรุ่งนี้จะเริ่มทำงานแล้วค่ะ เลยได้โอกาสเดินสายเยี่ยมญาติ
เพราะรู้ว่าตัวเองจะไม่ว่างแล้ว (ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ว่าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหน เหอๆ)
วันนี้ไปเยี่ยมคุณยายที่จังหวัดสิงห์ฺบุรี
ซึ่งไปกี่ครั้งก็ต้องไปแวะกินกุ้งแม่น้ำเผาร้านดัง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านคุณยายเพียงหนึ่งซอย
ร้านนี้ขายดีมาก ไปกินมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ผ่านไปเป็นสิบปีลูกค้าก็ไม่เคยน้อยลงเลย
(ร้านก็สภาพเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเท่าไหร่ เหอๆ)
ร้านนี้อยู่ในซอยวัดตราชู ชื่อร้านกุ้งเผาทองชุบค่ะ
เดินเข้ามาในร้านจะเป็นร้านบ้านๆ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ทางเข้าจะมีขนมไทยๆขาย ขอบอกว่าเม็ดขนุนร้านนี้อร่อยมากก
มาที่ร้านนี้...สิ่งที่จะต้องสั่งทุกครั้งคือกุ้งเผาตัวใหญ่ๆ
เคยกินตั้งแต่ราคากิโลละสามสี่ร้อยบาท ตอนนี้เป็นกิโลละเก้าร้อยแล้วค่ะ เหอๆ
ตัวที่เห็นอยู่หนักประมาณสามขีดกว่าๆ
วิธีกินคือหักหัวกุ้ง กวาดมันกุ้งเยิ้มๆออกมา ฉีกเนื้อกุ้งคลุกกับข้าวและซีอิ๊วขาว หรือใครจะจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดก็ได้ตามชอบ
แต่สูตรของบ้านเราคือซีอิ๊วขาวเท่านั้น
อีักเมนูแนะนำของร้านนี้ (โดยคนที่กินประจำ เหอๆ) คือปลาเนื้ออ่อนราดพริก
ปิดท้ายด้วยวิวงามๆของแม่น้ำเจ้าพระยาที่จ.สิงห์บุรีค่ะ
ปล. จริงๆแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปรับจ็อบเป็นพิธีกรภาคภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่นให้งานแสดงภาพที่ Siam Discovery แต่พี่เค้ายังไม่ส่งรูปมาให้เลยอัพไม่ได้ง่ะ ไว้เค้าส่งมาให้แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
Sunday, November 22, 2009
Monday, November 09, 2009
กรรมเก่า...
กรรมเก่า...
มาถึงแล้ว
จะว่าไปก็มาช้าไปหน่อยนะ..
ไหนบอกว่าจะมาถึงภายในสามสัปดาห์ ขจีภรณ์ส่งตั้งแต่วันที่ 22 กย. เพิ่งมาถึงวันนี้เองค่ะ
ลากของเข้าบ้านด้วยความทุลักทุเล ...
ที่มันหนักๆก็พวกหนังสือพวกนี้ทั้งนั้นแหละ -"-
ของหมักหมม "ส่วนหนึ่ง"
จะสังเกตว่าพวกเสื้อผ้าที่สูบสูญญากาศไว้บางถุงอากาศมันจะเข้าแล้วทำให้มันบวมๆ
แต่พวกตุ๊กตาที่สูบลมออกไว้นั้น..
ยังหน้าเบี้ยวเหมือนเดิม -"-
ความบาง...
ลูกๆกลับมาถึงบ้านแล้วค่าาา
มาถึงแล้ว
จะว่าไปก็มาช้าไปหน่อยนะ..
ไหนบอกว่าจะมาถึงภายในสามสัปดาห์ ขจีภรณ์ส่งตั้งแต่วันที่ 22 กย. เพิ่งมาถึงวันนี้เองค่ะ
ลากของเข้าบ้านด้วยความทุลักทุเล ...
ที่มันหนักๆก็พวกหนังสือพวกนี้ทั้งนั้นแหละ -"-
ของหมักหมม "ส่วนหนึ่ง"
จะสังเกตว่าพวกเสื้อผ้าที่สูบสูญญากาศไว้บางถุงอากาศมันจะเข้าแล้วทำให้มันบวมๆ
แต่พวกตุ๊กตาที่สูบลมออกไว้นั้น..
ยังหน้าเบี้ยวเหมือนเดิม -"-
ความบาง...
ลูกๆกลับมาถึงบ้านแล้วค่าาา
Tuesday, November 03, 2009
คนญี่ปุ่น...กับความไม่ประทับใจ
เนื่องจากตอนนี้ยังเตะฝุ่นอยู่
เมื่อมีงานพาร์ทไทม์อะไรเข้ามาถ้าไม่ติดว่่าต้องไปสัมภาษณ์งานล่ะก็แทบจะกระโดดเ้ข้าใส่
คนไม่มีรายได้ก็ยังงี้แหละ...เฮ้อ
พูดถึงงานพาร์ทไทม์
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษ-ญี่ปุ่น
ในงานประชุมวิชาการ ProMAC2009 ที่โรงแรม The Twin Towers ที่โบ๊เบ๊
ความจริงก็ประเมินความสามารถตัวเองไว้นะ ว่าไม่ใช่คนเก่งภาษาญี่ปุ่นขนาดนั้น
ประกอบกับเป็นประชุมเกี่ยวกับ Project Management ซึ่งไม่ใช่สาขาที่ตัวเองถนัดอีกต่างหาก
ศัพท์แสงต่างๆก็ไม่รู้ แต่เนื่องจากช่วงนี้คนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็มีงานมีการทำกันหมดก็เลยคิดว่าลองดูสักตั้งก็แล้วกัน
ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเค้าจะต้องให้คนไปเป็นล่าม ในเมื่อมันเป็นการประชุมนานาชาติ และภาษาที่ใช้ก็คือภาษาอังกฤษเป็นหลัก
แต่พอไปถึงก็เข้าใจเลย เพราะงานประชุมนี้เป็นงานที่คนญี่ปุ่นจัด แล้วคนที่เ้ข้ามาร่วมประชุมกว่า 99% เป็นคนญี่ปุ่น (แล้วจะมาจัดที่เมืองไทยทำไม..สงสัยไหมล่ะ)
แล้วงานประชุมนานาชาติอย่างที่บอก คนที่มาพรีเซนต์ก็ควรจะสนทนา หรือเข้าใจภาษาอังกฤษได้บ้าง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเค้าก็คงไม่จ้างเราไปถูกป่ะ ... คืองานของเราก็คือ เวลาที่คนญี่ปุ่นพรีเซนต์งานเสร็จ (พรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษนะ แต่เค้าอ่านตาม script -"-) แล้วมีคำถามจากคนที่ฟัง ให้ช่วยแปลคำถามเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เค้า แล้วเวลาเค้าตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นช่วยแปลกลับเป็นอังกฤษให้คนฟังรู้เรื่องด้วย
คือปัญหาจะเกิดขึ้นเมือคนถามไม่ใช่คนญี่ปุ่น...(ซึ่งมีไม่กี่คนหรอก แต่แกชอบถาม)
แล้วอย่างที่รู้ๆกัน พวกนักวิชาการฝรั่งชอบเกริ่นมายาวๆๆๆๆ แล้วค่อยเข้าคำถาม พอตอนนั้นคนญี่ปุ่นบนเวลาที่มองมาที่เราทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจๆ แล้วเราก็ต้องทำตรงนั้น
เอาล่ะ..แต่เรื่องทำงานนั้นไม่ใช่ปัญหา และไม่ใช่ความประทับใจ
ความไม่ประทับใจเกิดขึ้นเมื่อใกล้จะจบงานประชุม
ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าวันละ 1,000 บาท (คือ 9.00-16-00)
แต่วันสุดท้ายมันจะมี bus tour เค้า (คนจัดงาน) ต้องการให้เราขึ้นรถไปด้วย โดยเค้าบอกว่าถึงหกโมงเย็นนะ
เราก็บอกถ้าถึงหกโมงเย็นเราทำไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้บอกไว้ก่อนหนิเราก็มีอะไรต้องไปทำของเรา เราได้แค่สี่โมงเย็น
เค้าก็ไปคุยๆกัน แล้วก็บอกว่าโอเคงั้นคุณทำแค่ครึ่งวัน ไม่ต้องไปขึ้นรถแล้ว เราก็โอเค
ระหว่างที่เรากำลังรอเงินที่จะได้จากการทำงานนั้น
ผู้จัดงานคนนึงก็เอาเงินมาให้เรา รวมสองวัน 1,000 บาท
เราก็บอก..อ้าว ทำไมให้เราแค่พันเดียว เราทำวันครึ่งเราควรจะได้ 1,500 ไม่ใช่เหรอ
เค้าก็บอก.. ก็คุณทำไม่เต็มวัน ที่เราตกลงกันไว้คุณต้องทำเต็มวันถึงจะได้เงิน
อ้าว...แล้ววันนี้ชั้นจะออกมาทำไมเนี่ย
เราก็บอก..คุณทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ เพรา่ะเราไม่ไ้ด้จะกลับก่อน แต่คุณจะให้เราทำถึงหกโมงเราทำไม่ได้ ไม่งั้นคุณมี over time ให้ป่ะค่ะ
เค้าก็บอก..ใครบอกคุณว่าให้ทำถึงสี่โมง คิดไปเองหรือเปล่า
อ้าว...ไอ้ห่าน ก็เมื่อวันก่อนพี่ที่มาทำก่อนเค้าก็ทำถึงสี่โมง เมื่อวานชั้นก็ทำถึงสี่โมง แถมวันนี้ก็ไม่มีตารางมาให้ ไม่บอกมาก่อนว่าจะให้ทำถึงกี่โมง
เค้าก็บอก..ก็คุณไม่ได้ถาม
อ้าว...ตกลงชั้นผิดเหรอ ไม่ใช่แกเหรอที่ต้องมีตารางมาให้ชั้น อีกอย่างแต่ละวันจะให้ชั้นไปอยู่ห้องไหนหัวข้ออะไรก็ไม่มีมาให้ชั้นรู้เลย แล้วจะให้ชั้นอ่านทุกงานของทุกห้องเป็นหลายสิบงานเนี่ยนะ
สุดยอดอ่ะ...ตอนนั้นวีนแตก
นี่คุณใช้แรงงานชั้นไปแล้วครึ่งวัน ชั้นเสียเวลา ชั้นเสียแรงงาน ชั้นเสียค่าเดินทางมา แล้วชั้นต้องมาเสียความรู้สึกอีกเหรอเนี่ย
นี่มันหน่วยงานอะไรไม่ทราบ ทำงานไม่เป็นมืออาชีพที่สุด แล้วแน่ใจนะว่าคุณเป็นคนจัดงานเกี่ยวกับ Project Management จัดการอะไรเป็นไหมเนี่ยถามจริ๊งงงง หรือจะมาเที่ยวแล้วจัดงานส่งๆบังหน้าไปงั้นแหละ
แุถมยังบอกอีกนะ นี่ไม่ได้ให้จ่ายค่าข้่าวนะที่กินไปอ่ะ
ไอ้... นี่กะว่า่ให้เงินชั้นพันเดียว ใช้แรงงานชั้นวันครึ่งแล้วจะให้ชั้นจ่ายค่าอาหารเองอีกเหรอ
เสียความรู้สึกมาก ตอนพูดไปปากสั่นเลยโมโหสุดๆ
สุดท้ายเค้าก็ยอมจ่ายมาอีกห้าร้อย ด้วยความไม่เต็มใจ ทีมงานคนนึงมีชักสีหน้าด้วยนะว่าแบบให้ๆมันไปเหอะจะได้จบๆ
สุดท้าย...ขอฝากไว้ให้ทุกคนรู้กันว่าไอ้คนจัดงานคือหน่วยงานนี้..ซึ่งจัดงานได้ห่วยมาก
****************************
บทเรียนจากงานนนี้คือ...ที่หลังก่อนจะทำงานอะไรให้ตกลงกันให้เรียบร้อยแล้วเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลยจะได้ไม่ต้องมีปัญหาที่หลัง
พอจบงานนี้ เสียความรู้สึกกับคนญี่ปุ่นมากๆ
เข้าใจสุภาษิตไทยเลยว่า ปลาตายตัวเดียวเนี่ยมันเน่าไปทั้งเข่งจริงๆ
นี่ขนาดอยู่ญี่ปุ่นมาสามปีนะ มาเจอแบบนี้ยังอดคิดอคติกับคนญี่ปุ่นไม่ได้เลย
แล้วนับประสาอะไรกับเวลาคนไทยคนเดียวทำเลวๆ แล้วมันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้มันเน่าไปด้วย
เพราะฉะนั้นขอร้องเถอะคนไทย..ทำอะไรคิดถึงหน้าประเทศบ้าง
อย่าให้ความเน่าๆของคนๆเดียวทำให้คนดีๆที่เค้าไม่ได้ทำอะไรเลยเค้าเน่าไปด้วยเลยค่ะ
ปล.คนญี่ปุ่นไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนหรอกค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนญี่ปุ่นหน้าเลือดแบบนี้
เมื่อมีงานพาร์ทไทม์อะไรเข้ามาถ้าไม่ติดว่่าต้องไปสัมภาษณ์งานล่ะก็แทบจะกระโดดเ้ข้าใส่
คนไม่มีรายได้ก็ยังงี้แหละ...เฮ้อ
พูดถึงงานพาร์ทไทม์
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษ-ญี่ปุ่น
ในงานประชุมวิชาการ ProMAC2009 ที่โรงแรม The Twin Towers ที่โบ๊เบ๊
ความจริงก็ประเมินความสามารถตัวเองไว้นะ ว่าไม่ใช่คนเก่งภาษาญี่ปุ่นขนาดนั้น
ประกอบกับเป็นประชุมเกี่ยวกับ Project Management ซึ่งไม่ใช่สาขาที่ตัวเองถนัดอีกต่างหาก
ศัพท์แสงต่างๆก็ไม่รู้ แต่เนื่องจากช่วงนี้คนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็มีงานมีการทำกันหมดก็เลยคิดว่าลองดูสักตั้งก็แล้วกัน
ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเค้าจะต้องให้คนไปเป็นล่าม ในเมื่อมันเป็นการประชุมนานาชาติ และภาษาที่ใช้ก็คือภาษาอังกฤษเป็นหลัก
แต่พอไปถึงก็เข้าใจเลย เพราะงานประชุมนี้เป็นงานที่คนญี่ปุ่นจัด แล้วคนที่เ้ข้ามาร่วมประชุมกว่า 99% เป็นคนญี่ปุ่น (แล้วจะมาจัดที่เมืองไทยทำไม..สงสัยไหมล่ะ)
แล้วงานประชุมนานาชาติอย่างที่บอก คนที่มาพรีเซนต์ก็ควรจะสนทนา หรือเข้าใจภาษาอังกฤษได้บ้าง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเค้าก็คงไม่จ้างเราไปถูกป่ะ ... คืองานของเราก็คือ เวลาที่คนญี่ปุ่นพรีเซนต์งานเสร็จ (พรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษนะ แต่เค้าอ่านตาม script -"-) แล้วมีคำถามจากคนที่ฟัง ให้ช่วยแปลคำถามเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เค้า แล้วเวลาเค้าตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นช่วยแปลกลับเป็นอังกฤษให้คนฟังรู้เรื่องด้วย
คือปัญหาจะเกิดขึ้นเมือคนถามไม่ใช่คนญี่ปุ่น...(ซึ่งมีไม่กี่คนหรอก แต่แกชอบถาม)
แล้วอย่างที่รู้ๆกัน พวกนักวิชาการฝรั่งชอบเกริ่นมายาวๆๆๆๆ แล้วค่อยเข้าคำถาม พอตอนนั้นคนญี่ปุ่นบนเวลาที่มองมาที่เราทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจๆ แล้วเราก็ต้องทำตรงนั้น
เอาล่ะ..แต่เรื่องทำงานนั้นไม่ใช่ปัญหา และไม่ใช่ความประทับใจ
ความไม่ประทับใจเกิดขึ้นเมื่อใกล้จะจบงานประชุม
ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าวันละ 1,000 บาท (คือ 9.00-16-00)
แต่วันสุดท้ายมันจะมี bus tour เค้า (คนจัดงาน) ต้องการให้เราขึ้นรถไปด้วย โดยเค้าบอกว่าถึงหกโมงเย็นนะ
เราก็บอกถ้าถึงหกโมงเย็นเราทำไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้บอกไว้ก่อนหนิเราก็มีอะไรต้องไปทำของเรา เราได้แค่สี่โมงเย็น
เค้าก็ไปคุยๆกัน แล้วก็บอกว่าโอเคงั้นคุณทำแค่ครึ่งวัน ไม่ต้องไปขึ้นรถแล้ว เราก็โอเค
ระหว่างที่เรากำลังรอเงินที่จะได้จากการทำงานนั้น
ผู้จัดงานคนนึงก็เอาเงินมาให้เรา รวมสองวัน 1,000 บาท
เราก็บอก..อ้าว ทำไมให้เราแค่พันเดียว เราทำวันครึ่งเราควรจะได้ 1,500 ไม่ใช่เหรอ
เค้าก็บอก.. ก็คุณทำไม่เต็มวัน ที่เราตกลงกันไว้คุณต้องทำเต็มวันถึงจะได้เงิน
อ้าว...แล้ววันนี้ชั้นจะออกมาทำไมเนี่ย
เราก็บอก..คุณทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ เพรา่ะเราไม่ไ้ด้จะกลับก่อน แต่คุณจะให้เราทำถึงหกโมงเราทำไม่ได้ ไม่งั้นคุณมี over time ให้ป่ะค่ะ
เค้าก็บอก..ใครบอกคุณว่าให้ทำถึงสี่โมง คิดไปเองหรือเปล่า
อ้าว...ไอ้ห่าน ก็เมื่อวันก่อนพี่ที่มาทำก่อนเค้าก็ทำถึงสี่โมง เมื่อวานชั้นก็ทำถึงสี่โมง แถมวันนี้ก็ไม่มีตารางมาให้ ไม่บอกมาก่อนว่าจะให้ทำถึงกี่โมง
เค้าก็บอก..ก็คุณไม่ได้ถาม
อ้าว...ตกลงชั้นผิดเหรอ ไม่ใช่แกเหรอที่ต้องมีตารางมาให้ชั้น อีกอย่างแต่ละวันจะให้ชั้นไปอยู่ห้องไหนหัวข้ออะไรก็ไม่มีมาให้ชั้นรู้เลย แล้วจะให้ชั้นอ่านทุกงานของทุกห้องเป็นหลายสิบงานเนี่ยนะ
สุดยอดอ่ะ...ตอนนั้นวีนแตก
นี่คุณใช้แรงงานชั้นไปแล้วครึ่งวัน ชั้นเสียเวลา ชั้นเสียแรงงาน ชั้นเสียค่าเดินทางมา แล้วชั้นต้องมาเสียความรู้สึกอีกเหรอเนี่ย
นี่มันหน่วยงานอะไรไม่ทราบ ทำงานไม่เป็นมืออาชีพที่สุด แล้วแน่ใจนะว่าคุณเป็นคนจัดงานเกี่ยวกับ Project Management จัดการอะไรเป็นไหมเนี่ยถามจริ๊งงงง หรือจะมาเที่ยวแล้วจัดงานส่งๆบังหน้าไปงั้นแหละ
แุถมยังบอกอีกนะ นี่ไม่ได้ให้จ่ายค่าข้่าวนะที่กินไปอ่ะ
ไอ้... นี่กะว่า่ให้เงินชั้นพันเดียว ใช้แรงงานชั้นวันครึ่งแล้วจะให้ชั้นจ่ายค่าอาหารเองอีกเหรอ
เสียความรู้สึกมาก ตอนพูดไปปากสั่นเลยโมโหสุดๆ
สุดท้ายเค้าก็ยอมจ่ายมาอีกห้าร้อย ด้วยความไม่เต็มใจ ทีมงานคนนึงมีชักสีหน้าด้วยนะว่าแบบให้ๆมันไปเหอะจะได้จบๆ
สุดท้าย...ขอฝากไว้ให้ทุกคนรู้กันว่าไอ้คนจัดงานคือหน่วยงานนี้..ซึ่งจัดงานได้ห่วยมาก
****************************
บทเรียนจากงานนนี้คือ...ที่หลังก่อนจะทำงานอะไรให้ตกลงกันให้เรียบร้อยแล้วเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลยจะได้ไม่ต้องมีปัญหาที่หลัง
พอจบงานนี้ เสียความรู้สึกกับคนญี่ปุ่นมากๆ
เข้าใจสุภาษิตไทยเลยว่า ปลาตายตัวเดียวเนี่ยมันเน่าไปทั้งเข่งจริงๆ
นี่ขนาดอยู่ญี่ปุ่นมาสามปีนะ มาเจอแบบนี้ยังอดคิดอคติกับคนญี่ปุ่นไม่ได้เลย
แล้วนับประสาอะไรกับเวลาคนไทยคนเดียวทำเลวๆ แล้วมันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้มันเน่าไปด้วย
เพราะฉะนั้นขอร้องเถอะคนไทย..ทำอะไรคิดถึงหน้าประเทศบ้าง
อย่าให้ความเน่าๆของคนๆเดียวทำให้คนดีๆที่เค้าไม่ได้ทำอะไรเลยเค้าเน่าไปด้วยเลยค่ะ
ปล.คนญี่ปุ่นไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนหรอกค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนญี่ปุ่นหน้าเลือดแบบนี้
Subscribe to:
Posts (Atom)