Thursday, December 31, 2009
Wednesday, December 16, 2009
Tuesday, December 08, 2009
ชวนไปเที่ยวงาน "รำวง BON-ODORI" ค่ะ
สมาคมชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย ร่วมกับ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการกีฬาแห่งประเทศไทย
โดยความร่วมมือกับ สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นในพระบรมราชูปถัมภ์ จะมีการจัดงาน
"รำวง BON-ODORI" ขึ้นที่ สนามศุภชลาสัย สนามกีฬาแห่งชาติ
ในวันเสาว์ที่ 12 ธันวาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 17.00 น.ถึงเวลา 21.00 น
ซึ่งในงานจะมีการแสดงศิลปและวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ คือไทย-ญี่ปุ่น ที่สวยงามมากมาย และมีสิ่งหนึ่งที่จะขาดมิได้นั้นคือ รำวงBON-ODORI ซึ่งเป็นไฮไลท์ของงาน มีการออกร้านในรูปแบบงานวัดที่เป็นประเพณีนิยมของชาวญี่ปุ่น เมื่อปี 2007 สองปีที่ผ่านมาได้มีผู้ชมเข้าไปเดินชมงานทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นถึง 25,000 คน
บัตรเข้างานราคา 30 บาทจ้า
ชมภาพงานเมื่อสองปีที่แล้วไ้ด้ที่นี่ค่ะ
http://deltadrive.exteen.com/20071209/review-thai-japan-festival-2007
ใครว่่างๆอยู่ก็ไปเจอกันที่งานได้นะคะ
งานนี้อาจจะหาตัวเจอยากหน่อย เพราะว่าจะไปเป็นอาสาสมัครโดยจะใส่ยูกาตะไปเนียนๆปนเปกะคนญี่ปุ่นไปเลย 555+
แหม...มีชุดอยู่ตั้งสี่ห้าชุด หาโอกาสใส่ได้ยากจริงๆเล๊ยยยยย
Sunday, December 06, 2009
กิจกรรมวันพ่อ
วันพ่อปีนี้ มีกิจกรรมเยอะมาก
ไปนู่นนี่ไม่ได้อยู่บ้านเลย
ตอนเย็นก็เลยได้โอกาสพาคุณพ่อไปทานข้าว
ไม่รู้จะไปร้านไหน เลยเลือกร้านที่ไม่เคยไป ฮ่าๆ
นั่นคือ Vanilla Garden ที่เอกมัย ซ.12 ค่ะ
ใน Vanilla Garden นั้นจะแบ่งเป็น 2 โซน คือ
1. Vanilla Cafe ขายอาหารญี่ปุ่นแบบ fusion
2. Royal Vanilla ขายอาหารจีน บรรยากาศเป็นโรงเตี๊ยม
เลือกไป Vanilla Cafe เพราะตอนเที่ยงมีรวมญาติ ก็อาหารจีนชัวร์
(ซาลาเปาเหลืออยู่ในตู้เย็น 10 ลูก ... ช่วยด้วยยยยย)
บรรยากาศในร้าน
อาหารก็...เฉยๆอ่ะ ราคาก็แพงใช้ได้ เหอๆ
แต่ที่ชอบคือจานนี้ "ลิงกิวนี่กุ้งซอสเพสโต้"
ในร้านมีตกแต่งด้วยหนังสือการ์ตูนญีปุ่น แล้วก็พวกโมเดลต่างๆ
มีรูปน้องอะตอมด้วย
พิ้นที่ร้านกว้างใหญ่พอสมควร นอกจากร้านอาหารแล้วยังมีร้านขายหนังสือด้วย
.....
ยัง.. ยังไม่จบแค่นั้น
วันคต่อมาเราจะเดินทางไปสระบุรีกัน
ออกจากบ้านแต่เช้า...เพื่อไปรับประทาน Brunch ที่ร้าน Lek's Stake House
จากกรุงเทพฯไปอยู่ทางซ้ายมือ ก่อนถึงฟาร์มโชคชัยอีก
ต่อมาก็แวะไปสถานที่ที่อินเทรนด์มากๆ
เห็นถ่ายละครหลายเรื่องและ นั่นคือร้านอาหารสไตล์อิตาเลียน ชื่อ "Primo Posto"
(ค่้าเข้า 55 บาท สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดค่าอาหารได้เต็มราคา)
คือว่า...มันอินเทรนด์จริงๆนะ คนไปเยอะมากกกก
สังเกตว่าต้องถ่ายรูปมุมเงย..ไม่งั้นจะติดหัวผู้คน เหอๆ
บรรยากาศภายในร้านอาหาร ... อากาศเย็นสบายชิลล์มาก
แอบสั่งของหวานมาลองชิม...ไอติมอาหย่อย
ข้างหลังร้านมีไร่องุ่นด้วย เด็กๆวิ่งเล่นกันเต็มไปหมด
องุ่น...พวงติ๊ดเดียว -"-
เหมือนมีไร่ไว้เป็นพิธี เหอๆ
ตึกมันแนวจริงๆ...
ถ่ายรูปครอบครัวสักหน่อย
ก่อนกลับแวะไปเลี้ยงลิงที่วัดพุทธฉาย อิอิ
และก็แวะซื้อต้นคริสต์มาสมาประดับหน้าบ้านด้วย..
มันจะแดงไปได้อีกนานไหมเนี่ยกับอากาศร้อนๆใน กทม.
เป็นวันหยุดยาวที่คุ้มมาก...
ไม่คุ้มหนึ่งอย่างคือไม่ค่อยได้นอน เหอๆ
ไปนู่นนี่ไม่ได้อยู่บ้านเลย
ตอนเย็นก็เลยได้โอกาสพาคุณพ่อไปทานข้าว
ไม่รู้จะไปร้านไหน เลยเลือกร้านที่ไม่เคยไป ฮ่าๆ
นั่นคือ Vanilla Garden ที่เอกมัย ซ.12 ค่ะ
ใน Vanilla Garden นั้นจะแบ่งเป็น 2 โซน คือ
1. Vanilla Cafe ขายอาหารญี่ปุ่นแบบ fusion
2. Royal Vanilla ขายอาหารจีน บรรยากาศเป็นโรงเตี๊ยม
เลือกไป Vanilla Cafe เพราะตอนเที่ยงมีรวมญาติ ก็อาหารจีนชัวร์
(ซาลาเปาเหลืออยู่ในตู้เย็น 10 ลูก ... ช่วยด้วยยยยย)
บรรยากาศในร้าน
อาหารก็...เฉยๆอ่ะ ราคาก็แพงใช้ได้ เหอๆ
แต่ที่ชอบคือจานนี้ "ลิงกิวนี่กุ้งซอสเพสโต้"
ในร้านมีตกแต่งด้วยหนังสือการ์ตูนญีปุ่น แล้วก็พวกโมเดลต่างๆ
มีรูปน้องอะตอมด้วย
พิ้นที่ร้านกว้างใหญ่พอสมควร นอกจากร้านอาหารแล้วยังมีร้านขายหนังสือด้วย
.....
ยัง.. ยังไม่จบแค่นั้น
วันคต่อมาเราจะเดินทางไปสระบุรีกัน
ออกจากบ้านแต่เช้า...เพื่อไปรับประทาน Brunch ที่ร้าน Lek's Stake House
จากกรุงเทพฯไปอยู่ทางซ้ายมือ ก่อนถึงฟาร์มโชคชัยอีก
ต่อมาก็แวะไปสถานที่ที่อินเทรนด์มากๆ
เห็นถ่ายละครหลายเรื่องและ นั่นคือร้านอาหารสไตล์อิตาเลียน ชื่อ "Primo Posto"
(ค่้าเข้า 55 บาท สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดค่าอาหารได้เต็มราคา)
คือว่า...มันอินเทรนด์จริงๆนะ คนไปเยอะมากกกก
สังเกตว่าต้องถ่ายรูปมุมเงย..ไม่งั้นจะติดหัวผู้คน เหอๆ
บรรยากาศภายในร้านอาหาร ... อากาศเย็นสบายชิลล์มาก
แอบสั่งของหวานมาลองชิม...ไอติมอาหย่อย
ข้างหลังร้านมีไร่องุ่นด้วย เด็กๆวิ่งเล่นกันเต็มไปหมด
องุ่น...พวงติ๊ดเดียว -"-
เหมือนมีไร่ไว้เป็นพิธี เหอๆ
ตึกมันแนวจริงๆ...
ถ่ายรูปครอบครัวสักหน่อย
ก่อนกลับแวะไปเลี้ยงลิงที่วัดพุทธฉาย อิอิ
และก็แวะซื้อต้นคริสต์มาสมาประดับหน้าบ้านด้วย..
มันจะแดงไปได้อีกนานไหมเนี่ยกับอากาศร้อนๆใน กทม.
เป็นวันหยุดยาวที่คุ้มมาก...
ไม่คุ้มหนึ่งอย่างคือไม่ค่อยได้นอน เหอๆ
Wednesday, December 02, 2009
ว่าด้วยเรื่องจ๊อบเล็กๆน้อยๆ
ช่วงนี้รับจ๊อบหลายอย่าง เป็นรายได้พิเศษให้เด็กเพิ่งเริ่มทำงาน
ตำแหน่งต่ำต้อย เงินเดือนน้อยนิดอย่างหนู
ตอนอยู่ญี่ปุ่นทำงานพิเศษอยู่สองอย่าง
ตอนนี้เริ่มมีงานหลากหลายมากขึ้นให้ทำ
หลักๆที่ทำอยู่ตอนนี้คือ ที่เคยบ่นๆไปเมื่อไม่นานมานี้คือเป็น "ล่าม"
แต่ช่วงนี้พยายามไม่รับงานล่้าม เพราะหลังจากทำไปสองสามงานรู้เลยว่าความสามารถตัวเองไม่ถึง เหอๆ
ให้แปลญี่ปุ่นเป็นไทยอ่ะทำได้ แต่ให้แปลไทยเป็นญี่ปุ่นนี่สิ...คิดแล้วววคิดอีก
คนฟังก็ลุ้นมันจะแปลจบไหมเนี่ย เหอๆ
แบบว่าพอไม่ค่อยได้พูดมันก็ออกมายากอ่ะนะ
ล่าสุดที่เป็นทำไม่เชิงเป็นงานล่ามซะทีเดียว
เรียกว่าเป็นงานพิธีกรมากกว่า แต่เนื่องจากแขกผู้ร่วมงาน และคนที่ต้องสัมภาษณ์นั้น
มีทั้งไทยและญี่ปุ่น พี่เจ้าของงานก็เลยติดต่อผ่านเพื่อน (พี่กิ้น) มา ตอนนั้นยังไม่เริ่มงานประจำก็เลยไปทำค่ะ
มีลงหนังสือพิมพ์ด้วยล่ะ...แีนะไม่ออกทีวี ไม่งั้นคนดูทีวีคงลุ้นไปด้วยว่ามันจะพูดจบไหม 555+
งานที่ว่าเป็นงานแสดงภาพถ่าย "Bond&Beyond: ชีัวิต ความเชื่อ และการช่วยเหลือสังคมของคนญี่ปุ่น"
ที่ไปทำก็คือเป็นพิธีกรช่วงเสวนาค่ะ
งานต่อไปนี่จริงๆแล้วอยากรับมากที่สุด แต่มันไม่ค่อนมีคนจ้างง่ะ เหอๆ
นั่นก็คืองาน "ร้องเพลง" นั่นเอง
ล่าสุดที่ไปทำ ไม่เชิงเป็นรับจ๊อบเท่าไหร่เพราะว่าเป็นงานแต่งงานของพี่นิกับพี่รุ้ง
ซึ่งสนิทกับทั้งบ่าวสาวเลย ถือว่าไปร้องให้เป็นของขวัญ
โดยพี่ที่ไปเล่นกีร์ต้าให้ (พี่เบิร์ท)ได้ค่าจ้างไป แต่พี่เค้าแบ่งเงินให้ครึ่งนึงอ่ะ เหมือนว่าช่วยๆกัน เหอๆ
ต่อไปใครจะจ้างไปร้องเพลงงานแต่งก็ยินดีรีบเสมอนะคะ มีทั้งนักร้องและนักดนตรี ออกงานคู่ค่ะ 5555+
งานสุดท้ายเพิ่งรับไปสดๆร้อนๆ
ตอนที่ไปทำตอนแรกนั้นไม่คิดว่าจะได้ตังค์ แต่เค้าให้ด้วยแฮะ ลาภปาก 555+
งานที่ว่าคือไปเป็น "วิทยากร" แนะแนวการศึกษาต่อญี่ปุ่นนั่นเอง
ก่อนนี้ก็มีไปบรรยายมาบ้างของ J-Education งานที่ผ่านมาเป็นของสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น (สนญ)
คาดว่าคงจะมีมาเรื่อยๆ...ตราบใดที่ยังมีคนอยากไปเรียนญี่ปุ่นอยู่ เหอๆ
ใครสนใจจะจ้างไปทำงานประเภทพวกนี้ก็อย่าลืมติดต่อมานะคะ
เด็กเพิ่งเริ่มทำงาน รายได้น้อย T_T
ตำแหน่งต่ำต้อย เงินเดือนน้อยนิดอย่างหนู
ตอนอยู่ญี่ปุ่นทำงานพิเศษอยู่สองอย่าง
ตอนนี้เริ่มมีงานหลากหลายมากขึ้นให้ทำ
หลักๆที่ทำอยู่ตอนนี้คือ ที่เคยบ่นๆไปเมื่อไม่นานมานี้คือเป็น "ล่าม"
แต่ช่วงนี้พยายามไม่รับงานล่้าม เพราะหลังจากทำไปสองสามงานรู้เลยว่าความสามารถตัวเองไม่ถึง เหอๆ
ให้แปลญี่ปุ่นเป็นไทยอ่ะทำได้ แต่ให้แปลไทยเป็นญี่ปุ่นนี่สิ...คิดแล้วววคิดอีก
คนฟังก็ลุ้นมันจะแปลจบไหมเนี่ย เหอๆ
แบบว่าพอไม่ค่อยได้พูดมันก็ออกมายากอ่ะนะ
ล่าสุดที่เป็นทำไม่เชิงเป็นงานล่ามซะทีเดียว
เรียกว่าเป็นงานพิธีกรมากกว่า แต่เนื่องจากแขกผู้ร่วมงาน และคนที่ต้องสัมภาษณ์นั้น
มีทั้งไทยและญี่ปุ่น พี่เจ้าของงานก็เลยติดต่อผ่านเพื่อน (พี่กิ้น) มา ตอนนั้นยังไม่เริ่มงานประจำก็เลยไปทำค่ะ
มีลงหนังสือพิมพ์ด้วยล่ะ...แีนะไม่ออกทีวี ไม่งั้นคนดูทีวีคงลุ้นไปด้วยว่ามันจะพูดจบไหม 555+
งานที่ว่าเป็นงานแสดงภาพถ่าย "Bond&Beyond: ชีัวิต ความเชื่อ และการช่วยเหลือสังคมของคนญี่ปุ่น"
ที่ไปทำก็คือเป็นพิธีกรช่วงเสวนาค่ะ
งานต่อไปนี่จริงๆแล้วอยากรับมากที่สุด แต่มันไม่ค่อนมีคนจ้างง่ะ เหอๆ
นั่นก็คืองาน "ร้องเพลง" นั่นเอง
ล่าสุดที่ไปทำ ไม่เชิงเป็นรับจ๊อบเท่าไหร่เพราะว่าเป็นงานแต่งงานของพี่นิกับพี่รุ้ง
ซึ่งสนิทกับทั้งบ่าวสาวเลย ถือว่าไปร้องให้เป็นของขวัญ
โดยพี่ที่ไปเล่นกีร์ต้าให้ (พี่เบิร์ท)ได้ค่าจ้างไป แต่พี่เค้าแบ่งเงินให้ครึ่งนึงอ่ะ เหมือนว่าช่วยๆกัน เหอๆ
ต่อไปใครจะจ้างไปร้องเพลงงานแต่งก็ยินดีรีบเสมอนะคะ มีทั้งนักร้องและนักดนตรี ออกงานคู่ค่ะ 5555+
งานสุดท้ายเพิ่งรับไปสดๆร้อนๆ
ตอนที่ไปทำตอนแรกนั้นไม่คิดว่าจะได้ตังค์ แต่เค้าให้ด้วยแฮะ ลาภปาก 555+
งานที่ว่าคือไปเป็น "วิทยากร" แนะแนวการศึกษาต่อญี่ปุ่นนั่นเอง
ก่อนนี้ก็มีไปบรรยายมาบ้างของ J-Education งานที่ผ่านมาเป็นของสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น (สนญ)
คาดว่าคงจะมีมาเรื่อยๆ...ตราบใดที่ยังมีคนอยากไปเรียนญี่ปุ่นอยู่ เหอๆ
ใครสนใจจะจ้างไปทำงานประเภทพวกนี้ก็อย่าลืมติดต่อมานะคะ
เด็กเพิ่งเริ่มทำงาน รายได้น้อย T_T
Sunday, November 22, 2009
พากินกุ้งเผาตัวใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
พรุ่งนี้จะเริ่มทำงานแล้วค่ะ เลยได้โอกาสเดินสายเยี่ยมญาติ
เพราะรู้ว่าตัวเองจะไม่ว่างแล้ว (ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ว่าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหน เหอๆ)
วันนี้ไปเยี่ยมคุณยายที่จังหวัดสิงห์ฺบุรี
ซึ่งไปกี่ครั้งก็ต้องไปแวะกินกุ้งแม่น้ำเผาร้านดัง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านคุณยายเพียงหนึ่งซอย
ร้านนี้ขายดีมาก ไปกินมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ผ่านไปเป็นสิบปีลูกค้าก็ไม่เคยน้อยลงเลย
(ร้านก็สภาพเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเท่าไหร่ เหอๆ)
ร้านนี้อยู่ในซอยวัดตราชู ชื่อร้านกุ้งเผาทองชุบค่ะ
เดินเข้ามาในร้านจะเป็นร้านบ้านๆ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ทางเข้าจะมีขนมไทยๆขาย ขอบอกว่าเม็ดขนุนร้านนี้อร่อยมากก
มาที่ร้านนี้...สิ่งที่จะต้องสั่งทุกครั้งคือกุ้งเผาตัวใหญ่ๆ
เคยกินตั้งแต่ราคากิโลละสามสี่ร้อยบาท ตอนนี้เป็นกิโลละเก้าร้อยแล้วค่ะ เหอๆ
ตัวที่เห็นอยู่หนักประมาณสามขีดกว่าๆ
วิธีกินคือหักหัวกุ้ง กวาดมันกุ้งเยิ้มๆออกมา ฉีกเนื้อกุ้งคลุกกับข้าวและซีอิ๊วขาว หรือใครจะจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดก็ได้ตามชอบ
แต่สูตรของบ้านเราคือซีอิ๊วขาวเท่านั้น
อีักเมนูแนะนำของร้านนี้ (โดยคนที่กินประจำ เหอๆ) คือปลาเนื้ออ่อนราดพริก
ปิดท้ายด้วยวิวงามๆของแม่น้ำเจ้าพระยาที่จ.สิงห์บุรีค่ะ
ปล. จริงๆแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปรับจ็อบเป็นพิธีกรภาคภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่นให้งานแสดงภาพที่ Siam Discovery แต่พี่เค้ายังไม่ส่งรูปมาให้เลยอัพไม่ได้ง่ะ ไว้เค้าส่งมาให้แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
เพราะรู้ว่าตัวเองจะไม่ว่างแล้ว (ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ว่าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหน เหอๆ)
วันนี้ไปเยี่ยมคุณยายที่จังหวัดสิงห์ฺบุรี
ซึ่งไปกี่ครั้งก็ต้องไปแวะกินกุ้งแม่น้ำเผาร้านดัง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านคุณยายเพียงหนึ่งซอย
ร้านนี้ขายดีมาก ไปกินมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ผ่านไปเป็นสิบปีลูกค้าก็ไม่เคยน้อยลงเลย
(ร้านก็สภาพเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเท่าไหร่ เหอๆ)
ร้านนี้อยู่ในซอยวัดตราชู ชื่อร้านกุ้งเผาทองชุบค่ะ
เดินเข้ามาในร้านจะเป็นร้านบ้านๆ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ทางเข้าจะมีขนมไทยๆขาย ขอบอกว่าเม็ดขนุนร้านนี้อร่อยมากก
มาที่ร้านนี้...สิ่งที่จะต้องสั่งทุกครั้งคือกุ้งเผาตัวใหญ่ๆ
เคยกินตั้งแต่ราคากิโลละสามสี่ร้อยบาท ตอนนี้เป็นกิโลละเก้าร้อยแล้วค่ะ เหอๆ
ตัวที่เห็นอยู่หนักประมาณสามขีดกว่าๆ
วิธีกินคือหักหัวกุ้ง กวาดมันกุ้งเยิ้มๆออกมา ฉีกเนื้อกุ้งคลุกกับข้าวและซีอิ๊วขาว หรือใครจะจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดก็ได้ตามชอบ
แต่สูตรของบ้านเราคือซีอิ๊วขาวเท่านั้น
อีักเมนูแนะนำของร้านนี้ (โดยคนที่กินประจำ เหอๆ) คือปลาเนื้ออ่อนราดพริก
ปิดท้ายด้วยวิวงามๆของแม่น้ำเจ้าพระยาที่จ.สิงห์บุรีค่ะ
ปล. จริงๆแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปรับจ็อบเป็นพิธีกรภาคภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่นให้งานแสดงภาพที่ Siam Discovery แต่พี่เค้ายังไม่ส่งรูปมาให้เลยอัพไม่ได้ง่ะ ไว้เค้าส่งมาให้แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
Monday, November 09, 2009
กรรมเก่า...
กรรมเก่า...
มาถึงแล้ว
จะว่าไปก็มาช้าไปหน่อยนะ..
ไหนบอกว่าจะมาถึงภายในสามสัปดาห์ ขจีภรณ์ส่งตั้งแต่วันที่ 22 กย. เพิ่งมาถึงวันนี้เองค่ะ
ลากของเข้าบ้านด้วยความทุลักทุเล ...
ที่มันหนักๆก็พวกหนังสือพวกนี้ทั้งนั้นแหละ -"-
ของหมักหมม "ส่วนหนึ่ง"
จะสังเกตว่าพวกเสื้อผ้าที่สูบสูญญากาศไว้บางถุงอากาศมันจะเข้าแล้วทำให้มันบวมๆ
แต่พวกตุ๊กตาที่สูบลมออกไว้นั้น..
ยังหน้าเบี้ยวเหมือนเดิม -"-
ความบาง...
ลูกๆกลับมาถึงบ้านแล้วค่าาา
มาถึงแล้ว
จะว่าไปก็มาช้าไปหน่อยนะ..
ไหนบอกว่าจะมาถึงภายในสามสัปดาห์ ขจีภรณ์ส่งตั้งแต่วันที่ 22 กย. เพิ่งมาถึงวันนี้เองค่ะ
ลากของเข้าบ้านด้วยความทุลักทุเล ...
ที่มันหนักๆก็พวกหนังสือพวกนี้ทั้งนั้นแหละ -"-
ของหมักหมม "ส่วนหนึ่ง"
จะสังเกตว่าพวกเสื้อผ้าที่สูบสูญญากาศไว้บางถุงอากาศมันจะเข้าแล้วทำให้มันบวมๆ
แต่พวกตุ๊กตาที่สูบลมออกไว้นั้น..
ยังหน้าเบี้ยวเหมือนเดิม -"-
ความบาง...
ลูกๆกลับมาถึงบ้านแล้วค่าาา
Tuesday, November 03, 2009
คนญี่ปุ่น...กับความไม่ประทับใจ
เนื่องจากตอนนี้ยังเตะฝุ่นอยู่
เมื่อมีงานพาร์ทไทม์อะไรเข้ามาถ้าไม่ติดว่่าต้องไปสัมภาษณ์งานล่ะก็แทบจะกระโดดเ้ข้าใส่
คนไม่มีรายได้ก็ยังงี้แหละ...เฮ้อ
พูดถึงงานพาร์ทไทม์
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษ-ญี่ปุ่น
ในงานประชุมวิชาการ ProMAC2009 ที่โรงแรม The Twin Towers ที่โบ๊เบ๊
ความจริงก็ประเมินความสามารถตัวเองไว้นะ ว่าไม่ใช่คนเก่งภาษาญี่ปุ่นขนาดนั้น
ประกอบกับเป็นประชุมเกี่ยวกับ Project Management ซึ่งไม่ใช่สาขาที่ตัวเองถนัดอีกต่างหาก
ศัพท์แสงต่างๆก็ไม่รู้ แต่เนื่องจากช่วงนี้คนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็มีงานมีการทำกันหมดก็เลยคิดว่าลองดูสักตั้งก็แล้วกัน
ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเค้าจะต้องให้คนไปเป็นล่าม ในเมื่อมันเป็นการประชุมนานาชาติ และภาษาที่ใช้ก็คือภาษาอังกฤษเป็นหลัก
แต่พอไปถึงก็เข้าใจเลย เพราะงานประชุมนี้เป็นงานที่คนญี่ปุ่นจัด แล้วคนที่เ้ข้ามาร่วมประชุมกว่า 99% เป็นคนญี่ปุ่น (แล้วจะมาจัดที่เมืองไทยทำไม..สงสัยไหมล่ะ)
แล้วงานประชุมนานาชาติอย่างที่บอก คนที่มาพรีเซนต์ก็ควรจะสนทนา หรือเข้าใจภาษาอังกฤษได้บ้าง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเค้าก็คงไม่จ้างเราไปถูกป่ะ ... คืองานของเราก็คือ เวลาที่คนญี่ปุ่นพรีเซนต์งานเสร็จ (พรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษนะ แต่เค้าอ่านตาม script -"-) แล้วมีคำถามจากคนที่ฟัง ให้ช่วยแปลคำถามเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เค้า แล้วเวลาเค้าตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นช่วยแปลกลับเป็นอังกฤษให้คนฟังรู้เรื่องด้วย
คือปัญหาจะเกิดขึ้นเมือคนถามไม่ใช่คนญี่ปุ่น...(ซึ่งมีไม่กี่คนหรอก แต่แกชอบถาม)
แล้วอย่างที่รู้ๆกัน พวกนักวิชาการฝรั่งชอบเกริ่นมายาวๆๆๆๆ แล้วค่อยเข้าคำถาม พอตอนนั้นคนญี่ปุ่นบนเวลาที่มองมาที่เราทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจๆ แล้วเราก็ต้องทำตรงนั้น
เอาล่ะ..แต่เรื่องทำงานนั้นไม่ใช่ปัญหา และไม่ใช่ความประทับใจ
ความไม่ประทับใจเกิดขึ้นเมื่อใกล้จะจบงานประชุม
ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าวันละ 1,000 บาท (คือ 9.00-16-00)
แต่วันสุดท้ายมันจะมี bus tour เค้า (คนจัดงาน) ต้องการให้เราขึ้นรถไปด้วย โดยเค้าบอกว่าถึงหกโมงเย็นนะ
เราก็บอกถ้าถึงหกโมงเย็นเราทำไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้บอกไว้ก่อนหนิเราก็มีอะไรต้องไปทำของเรา เราได้แค่สี่โมงเย็น
เค้าก็ไปคุยๆกัน แล้วก็บอกว่าโอเคงั้นคุณทำแค่ครึ่งวัน ไม่ต้องไปขึ้นรถแล้ว เราก็โอเค
ระหว่างที่เรากำลังรอเงินที่จะได้จากการทำงานนั้น
ผู้จัดงานคนนึงก็เอาเงินมาให้เรา รวมสองวัน 1,000 บาท
เราก็บอก..อ้าว ทำไมให้เราแค่พันเดียว เราทำวันครึ่งเราควรจะได้ 1,500 ไม่ใช่เหรอ
เค้าก็บอก.. ก็คุณทำไม่เต็มวัน ที่เราตกลงกันไว้คุณต้องทำเต็มวันถึงจะได้เงิน
อ้าว...แล้ววันนี้ชั้นจะออกมาทำไมเนี่ย
เราก็บอก..คุณทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ เพรา่ะเราไม่ไ้ด้จะกลับก่อน แต่คุณจะให้เราทำถึงหกโมงเราทำไม่ได้ ไม่งั้นคุณมี over time ให้ป่ะค่ะ
เค้าก็บอก..ใครบอกคุณว่าให้ทำถึงสี่โมง คิดไปเองหรือเปล่า
อ้าว...ไอ้ห่าน ก็เมื่อวันก่อนพี่ที่มาทำก่อนเค้าก็ทำถึงสี่โมง เมื่อวานชั้นก็ทำถึงสี่โมง แถมวันนี้ก็ไม่มีตารางมาให้ ไม่บอกมาก่อนว่าจะให้ทำถึงกี่โมง
เค้าก็บอก..ก็คุณไม่ได้ถาม
อ้าว...ตกลงชั้นผิดเหรอ ไม่ใช่แกเหรอที่ต้องมีตารางมาให้ชั้น อีกอย่างแต่ละวันจะให้ชั้นไปอยู่ห้องไหนหัวข้ออะไรก็ไม่มีมาให้ชั้นรู้เลย แล้วจะให้ชั้นอ่านทุกงานของทุกห้องเป็นหลายสิบงานเนี่ยนะ
สุดยอดอ่ะ...ตอนนั้นวีนแตก
นี่คุณใช้แรงงานชั้นไปแล้วครึ่งวัน ชั้นเสียเวลา ชั้นเสียแรงงาน ชั้นเสียค่าเดินทางมา แล้วชั้นต้องมาเสียความรู้สึกอีกเหรอเนี่ย
นี่มันหน่วยงานอะไรไม่ทราบ ทำงานไม่เป็นมืออาชีพที่สุด แล้วแน่ใจนะว่าคุณเป็นคนจัดงานเกี่ยวกับ Project Management จัดการอะไรเป็นไหมเนี่ยถามจริ๊งงงง หรือจะมาเที่ยวแล้วจัดงานส่งๆบังหน้าไปงั้นแหละ
แุถมยังบอกอีกนะ นี่ไม่ได้ให้จ่ายค่าข้่าวนะที่กินไปอ่ะ
ไอ้... นี่กะว่า่ให้เงินชั้นพันเดียว ใช้แรงงานชั้นวันครึ่งแล้วจะให้ชั้นจ่ายค่าอาหารเองอีกเหรอ
เสียความรู้สึกมาก ตอนพูดไปปากสั่นเลยโมโหสุดๆ
สุดท้ายเค้าก็ยอมจ่ายมาอีกห้าร้อย ด้วยความไม่เต็มใจ ทีมงานคนนึงมีชักสีหน้าด้วยนะว่าแบบให้ๆมันไปเหอะจะได้จบๆ
สุดท้าย...ขอฝากไว้ให้ทุกคนรู้กันว่าไอ้คนจัดงานคือหน่วยงานนี้..ซึ่งจัดงานได้ห่วยมาก
****************************
บทเรียนจากงานนนี้คือ...ที่หลังก่อนจะทำงานอะไรให้ตกลงกันให้เรียบร้อยแล้วเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลยจะได้ไม่ต้องมีปัญหาที่หลัง
พอจบงานนี้ เสียความรู้สึกกับคนญี่ปุ่นมากๆ
เข้าใจสุภาษิตไทยเลยว่า ปลาตายตัวเดียวเนี่ยมันเน่าไปทั้งเข่งจริงๆ
นี่ขนาดอยู่ญี่ปุ่นมาสามปีนะ มาเจอแบบนี้ยังอดคิดอคติกับคนญี่ปุ่นไม่ได้เลย
แล้วนับประสาอะไรกับเวลาคนไทยคนเดียวทำเลวๆ แล้วมันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้มันเน่าไปด้วย
เพราะฉะนั้นขอร้องเถอะคนไทย..ทำอะไรคิดถึงหน้าประเทศบ้าง
อย่าให้ความเน่าๆของคนๆเดียวทำให้คนดีๆที่เค้าไม่ได้ทำอะไรเลยเค้าเน่าไปด้วยเลยค่ะ
ปล.คนญี่ปุ่นไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนหรอกค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนญี่ปุ่นหน้าเลือดแบบนี้
เมื่อมีงานพาร์ทไทม์อะไรเข้ามาถ้าไม่ติดว่่าต้องไปสัมภาษณ์งานล่ะก็แทบจะกระโดดเ้ข้าใส่
คนไม่มีรายได้ก็ยังงี้แหละ...เฮ้อ
พูดถึงงานพาร์ทไทม์
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษ-ญี่ปุ่น
ในงานประชุมวิชาการ ProMAC2009 ที่โรงแรม The Twin Towers ที่โบ๊เบ๊
ความจริงก็ประเมินความสามารถตัวเองไว้นะ ว่าไม่ใช่คนเก่งภาษาญี่ปุ่นขนาดนั้น
ประกอบกับเป็นประชุมเกี่ยวกับ Project Management ซึ่งไม่ใช่สาขาที่ตัวเองถนัดอีกต่างหาก
ศัพท์แสงต่างๆก็ไม่รู้ แต่เนื่องจากช่วงนี้คนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็มีงานมีการทำกันหมดก็เลยคิดว่าลองดูสักตั้งก็แล้วกัน
ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเค้าจะต้องให้คนไปเป็นล่าม ในเมื่อมันเป็นการประชุมนานาชาติ และภาษาที่ใช้ก็คือภาษาอังกฤษเป็นหลัก
แต่พอไปถึงก็เข้าใจเลย เพราะงานประชุมนี้เป็นงานที่คนญี่ปุ่นจัด แล้วคนที่เ้ข้ามาร่วมประชุมกว่า 99% เป็นคนญี่ปุ่น (แล้วจะมาจัดที่เมืองไทยทำไม..สงสัยไหมล่ะ)
แล้วงานประชุมนานาชาติอย่างที่บอก คนที่มาพรีเซนต์ก็ควรจะสนทนา หรือเข้าใจภาษาอังกฤษได้บ้าง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเค้าก็คงไม่จ้างเราไปถูกป่ะ ... คืองานของเราก็คือ เวลาที่คนญี่ปุ่นพรีเซนต์งานเสร็จ (พรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษนะ แต่เค้าอ่านตาม script -"-) แล้วมีคำถามจากคนที่ฟัง ให้ช่วยแปลคำถามเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เค้า แล้วเวลาเค้าตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นช่วยแปลกลับเป็นอังกฤษให้คนฟังรู้เรื่องด้วย
คือปัญหาจะเกิดขึ้นเมือคนถามไม่ใช่คนญี่ปุ่น...(ซึ่งมีไม่กี่คนหรอก แต่แกชอบถาม)
แล้วอย่างที่รู้ๆกัน พวกนักวิชาการฝรั่งชอบเกริ่นมายาวๆๆๆๆ แล้วค่อยเข้าคำถาม พอตอนนั้นคนญี่ปุ่นบนเวลาที่มองมาที่เราทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจๆ แล้วเราก็ต้องทำตรงนั้น
เอาล่ะ..แต่เรื่องทำงานนั้นไม่ใช่ปัญหา และไม่ใช่ความประทับใจ
ความไม่ประทับใจเกิดขึ้นเมื่อใกล้จะจบงานประชุม
ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าวันละ 1,000 บาท (คือ 9.00-16-00)
แต่วันสุดท้ายมันจะมี bus tour เค้า (คนจัดงาน) ต้องการให้เราขึ้นรถไปด้วย โดยเค้าบอกว่าถึงหกโมงเย็นนะ
เราก็บอกถ้าถึงหกโมงเย็นเราทำไม่ได้ เพราะคุณไม่ได้บอกไว้ก่อนหนิเราก็มีอะไรต้องไปทำของเรา เราได้แค่สี่โมงเย็น
เค้าก็ไปคุยๆกัน แล้วก็บอกว่าโอเคงั้นคุณทำแค่ครึ่งวัน ไม่ต้องไปขึ้นรถแล้ว เราก็โอเค
ระหว่างที่เรากำลังรอเงินที่จะได้จากการทำงานนั้น
ผู้จัดงานคนนึงก็เอาเงินมาให้เรา รวมสองวัน 1,000 บาท
เราก็บอก..อ้าว ทำไมให้เราแค่พันเดียว เราทำวันครึ่งเราควรจะได้ 1,500 ไม่ใช่เหรอ
เค้าก็บอก.. ก็คุณทำไม่เต็มวัน ที่เราตกลงกันไว้คุณต้องทำเต็มวันถึงจะได้เงิน
อ้าว...แล้ววันนี้ชั้นจะออกมาทำไมเนี่ย
เราก็บอก..คุณทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ เพรา่ะเราไม่ไ้ด้จะกลับก่อน แต่คุณจะให้เราทำถึงหกโมงเราทำไม่ได้ ไม่งั้นคุณมี over time ให้ป่ะค่ะ
เค้าก็บอก..ใครบอกคุณว่าให้ทำถึงสี่โมง คิดไปเองหรือเปล่า
อ้าว...ไอ้ห่าน ก็เมื่อวันก่อนพี่ที่มาทำก่อนเค้าก็ทำถึงสี่โมง เมื่อวานชั้นก็ทำถึงสี่โมง แถมวันนี้ก็ไม่มีตารางมาให้ ไม่บอกมาก่อนว่าจะให้ทำถึงกี่โมง
เค้าก็บอก..ก็คุณไม่ได้ถาม
อ้าว...ตกลงชั้นผิดเหรอ ไม่ใช่แกเหรอที่ต้องมีตารางมาให้ชั้น อีกอย่างแต่ละวันจะให้ชั้นไปอยู่ห้องไหนหัวข้ออะไรก็ไม่มีมาให้ชั้นรู้เลย แล้วจะให้ชั้นอ่านทุกงานของทุกห้องเป็นหลายสิบงานเนี่ยนะ
สุดยอดอ่ะ...ตอนนั้นวีนแตก
นี่คุณใช้แรงงานชั้นไปแล้วครึ่งวัน ชั้นเสียเวลา ชั้นเสียแรงงาน ชั้นเสียค่าเดินทางมา แล้วชั้นต้องมาเสียความรู้สึกอีกเหรอเนี่ย
นี่มันหน่วยงานอะไรไม่ทราบ ทำงานไม่เป็นมืออาชีพที่สุด แล้วแน่ใจนะว่าคุณเป็นคนจัดงานเกี่ยวกับ Project Management จัดการอะไรเป็นไหมเนี่ยถามจริ๊งงงง หรือจะมาเที่ยวแล้วจัดงานส่งๆบังหน้าไปงั้นแหละ
แุถมยังบอกอีกนะ นี่ไม่ได้ให้จ่ายค่าข้่าวนะที่กินไปอ่ะ
ไอ้... นี่กะว่า่ให้เงินชั้นพันเดียว ใช้แรงงานชั้นวันครึ่งแล้วจะให้ชั้นจ่ายค่าอาหารเองอีกเหรอ
เสียความรู้สึกมาก ตอนพูดไปปากสั่นเลยโมโหสุดๆ
สุดท้ายเค้าก็ยอมจ่ายมาอีกห้าร้อย ด้วยความไม่เต็มใจ ทีมงานคนนึงมีชักสีหน้าด้วยนะว่าแบบให้ๆมันไปเหอะจะได้จบๆ
สุดท้าย...ขอฝากไว้ให้ทุกคนรู้กันว่าไอ้คนจัดงานคือหน่วยงานนี้..ซึ่งจัดงานได้ห่วยมาก
****************************
บทเรียนจากงานนนี้คือ...ที่หลังก่อนจะทำงานอะไรให้ตกลงกันให้เรียบร้อยแล้วเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลยจะได้ไม่ต้องมีปัญหาที่หลัง
พอจบงานนี้ เสียความรู้สึกกับคนญี่ปุ่นมากๆ
เข้าใจสุภาษิตไทยเลยว่า ปลาตายตัวเดียวเนี่ยมันเน่าไปทั้งเข่งจริงๆ
นี่ขนาดอยู่ญี่ปุ่นมาสามปีนะ มาเจอแบบนี้ยังอดคิดอคติกับคนญี่ปุ่นไม่ได้เลย
แล้วนับประสาอะไรกับเวลาคนไทยคนเดียวทำเลวๆ แล้วมันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้มันเน่าไปด้วย
เพราะฉะนั้นขอร้องเถอะคนไทย..ทำอะไรคิดถึงหน้าประเทศบ้าง
อย่าให้ความเน่าๆของคนๆเดียวทำให้คนดีๆที่เค้าไม่ได้ทำอะไรเลยเค้าเน่าไปด้วยเลยค่ะ
ปล.คนญี่ปุ่นไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนหรอกค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนญี่ปุ่นหน้าเลือดแบบนี้
Wednesday, October 21, 2009
Saturday, October 17, 2009
เก็บตก..ของฝากจาก Ginza
ตอนนี้กลับมาเมืองไทยได้ 6 วันแล้วค่ะ
ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาหางานทำต่อไป
สำหรับชีิวตที่นี่ก็ยังคงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่
เพราะว่าวันๆก็ยังคงไม่ค่อยได้ทำอะไร ฮาฮา
วันนี้เลยขอเอาของฝากที่ซื้อมาก่อนวันที่จะเดินทางกลับมาจากโตเกียวมาฝากกันค่ะ
จริงๆแล้ววันนั้นมีนัดกับสองหนุ่ม พี่ก้องกับพี่ป็อป ไปกินข้าวกันที่ Ginza
วันนั้นเป็นวันเสาร์ก็เลยมีการปิดถนนให้คนเดินเล่นกลางถนนดูสินค้าแบรนด์เนมน้ำลสายหยดติ๋งๆกันไป
แต่ละร้านในย่าน Ginza หรูเริ่ดและแพงระยับ เหอๆ
(Ginza ปิดถนนให้คนเดินทุกๆวันเสาร์อาทิตย์ค่ะ..วันอาทิตย์จะมีการทำความสะอาดถนนกันด้วย)
ของฝากที่จะเอามาฝากกันวันนี้เป็นขนม (อีกเช่นเีย เหอๆ)
คิดว่าทุกคนคงจะรู้จักเครื่องสำอางค์แบรนด์ดังอย่าง "Sheseido" กันดี
แต่หลายๆคนคงไม่รู้ว่า Sheseido เนี่ยเค้าขายขนมด้วย!
ร้านอาหารและร้านขายขนมของ Sheseido ชื่อว่า Shiseido Palour ตั้งตะหง่านอยู่ในย่าน Ginza นี่เอง
ตั้งอยู่ในย่านนี้ก็พอจะรู้ๆกันอยู่ว่าต้องหรูชัวร์...
เลยไม่มีปัญญาไปกินอาหารในร้านหรอกค่ะ แต่พอจะมีปัญญาซื้อขนมในร้านกลับมาบ้านได้บ้าง 5555+
วันนี้ซื้อเจ้านี่มาฝาก..
กล่องก็ยังหอกระดาษสวยงามสมเป็นญี่ปุ่นจริงๆ
แกะห่อออกมาเป็นกล่องแสตนเลสสีฟ้า สีประจำร้านเขาล่ะ
(ยอมรับว่าซื้ออันนี้เพราะกล่องมันสวย เหอๆ)
เปิดออกมาเจอห่อคุกกี้เรียงกันเป็นระเบียบ...ธรรมด๊าธรรมดา
แต่ก็อร่อยดีนะ...
ใครอยากลองไปหาซื้อขนมก็ลองแวะไปที่ร้านดูนะคะ
http://www.shiseido.co.jp/parlour/html/index.htm
อ่้อ..ที่ในสถานี JR Tokyo Station ที่มีขายของฝากจากโตเกียวเยอะๆก็มีขายนะคะ
แต่หายากหน่อยล่ะ พอดีมีอยู่วันนึงบังเอิญเดินไปเจอเข้า
ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาหางานทำต่อไป
สำหรับชีิวตที่นี่ก็ยังคงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่
เพราะว่าวันๆก็ยังคงไม่ค่อยได้ทำอะไร ฮาฮา
วันนี้เลยขอเอาของฝากที่ซื้อมาก่อนวันที่จะเดินทางกลับมาจากโตเกียวมาฝากกันค่ะ
จริงๆแล้ววันนั้นมีนัดกับสองหนุ่ม พี่ก้องกับพี่ป็อป ไปกินข้าวกันที่ Ginza
วันนั้นเป็นวันเสาร์ก็เลยมีการปิดถนนให้คนเดินเล่นกลางถนนดูสินค้าแบรนด์เนมน้ำลสายหยดติ๋งๆกันไป
แต่ละร้านในย่าน Ginza หรูเริ่ดและแพงระยับ เหอๆ
(Ginza ปิดถนนให้คนเดินทุกๆวันเสาร์อาทิตย์ค่ะ..วันอาทิตย์จะมีการทำความสะอาดถนนกันด้วย)
ของฝากที่จะเอามาฝากกันวันนี้เป็นขนม (อีกเช่นเีย เหอๆ)
คิดว่าทุกคนคงจะรู้จักเครื่องสำอางค์แบรนด์ดังอย่าง "Sheseido" กันดี
แต่หลายๆคนคงไม่รู้ว่า Sheseido เนี่ยเค้าขายขนมด้วย!
ร้านอาหารและร้านขายขนมของ Sheseido ชื่อว่า Shiseido Palour ตั้งตะหง่านอยู่ในย่าน Ginza นี่เอง
ตั้งอยู่ในย่านนี้ก็พอจะรู้ๆกันอยู่ว่าต้องหรูชัวร์...
เลยไม่มีปัญญาไปกินอาหารในร้านหรอกค่ะ แต่พอจะมีปัญญาซื้อขนมในร้านกลับมาบ้านได้บ้าง 5555+
วันนี้ซื้อเจ้านี่มาฝาก..
กล่องก็ยังหอกระดาษสวยงามสมเป็นญี่ปุ่นจริงๆ
แกะห่อออกมาเป็นกล่องแสตนเลสสีฟ้า สีประจำร้านเขาล่ะ
(ยอมรับว่าซื้ออันนี้เพราะกล่องมันสวย เหอๆ)
เปิดออกมาเจอห่อคุกกี้เรียงกันเป็นระเบียบ...ธรรมด๊าธรรมดา
แต่ก็อร่อยดีนะ...
ใครอยากลองไปหาซื้อขนมก็ลองแวะไปที่ร้านดูนะคะ
http://www.shiseido.co.jp/parlour/html/index.htm
อ่้อ..ที่ในสถานี JR Tokyo Station ที่มีขายของฝากจากโตเกียวเยอะๆก็มีขายนะคะ
แต่หายากหน่อยล่ะ พอดีมีอยู่วันนึงบังเอิญเดินไปเจอเข้า
Friday, October 09, 2009
เตรียมตัวกลับ...
ใกล้เวลากลับไทยเข้าไปทุกที
กิจวัตรประจำวันตอนนี้ก็มีไม่กี่อย่าง คือ ออกไปซื้อของเอากลับไทยบ้าง จัดกระเป๋าบ้าง ไปตามนัดต่างๆกับเพื่อนๆบ้าง
ช่วงเวลาสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมามีนัดไปไปหลายนัด ซึ่งหลายๆครั้งก็ได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานนนนนนมาก
คือถ้าชั้นจะไม่กลับไทยเธอก็ไม่คิดจะมาเจอชั้นเลยว่างั้นเถอะ ฮาฮา
ตัวอย่างเช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้เจอกับเพื่อนคนญี่ปุ่นที่ไม่ได้เจอกันมา 4 ปี
คือได้เจอกันครั้งแรกที่จุฬาฯ โดยเค้ามางานอะไรสักอย่าง (จำไม่ได้แล้วนานเกิน) แล้วอาจารย์ที่คณะก็ให้ไปดูแลพาเดินเล่นรอบจุฬาฯว่างั้น แล้วก็ติดต่อกันเรื่อยมา นานๆจะส่งเมลหากันสักที คราวนี้ได้โอกาสเพื่อนมาโตเกียวเลยได้เจอกัน
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้เจอ เนื่องด้วยเวลาว่างไม่ตรงกันหรืออะไรก็ตาม
อย่างเช่นนาโฮโกะ เพื่อนคนญี่ปุ่นที่เคยมาแลกเปลี่ยนที่จุฬาฯ (เพื่อนคนญี่ปุ่นคนเดียวที่คุยกันภาษาไทย ฮาฮา)
ตั้งแต่แกย้ายไปทำงานที่คิตะคิวชูเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เสียดายเหมือนกัน
แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ได้เจอกันอีก ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกลนัก
วันนี้ใช้บริการแมวดำมารับกระเป๋าเดินทางส่งไปที่สนามบิน เนื่องจากพรุ่งนี้จะออกไปที่อื่นทำให้การลากกระเป๋าไปเองไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เลยส่งกระเป๋าไปก่อนตัวซะเลย ส่วนเราก็ลากกระเป๋าใบเล็กตัวปลิวไปสนามบินในวันอาทิตย์
กระเป๋าเดินทางหนึ่งใบค่าบริการ 1,990 เยน
หลายคนไม่รู้ว่่ามีบริการนี้ ถ้าใครจะไปไทยแล้วกระเป๋าหนักเกินหรือว่าจะไปที่อื่นต่อก็ใช้บริการนี้กันได้นะก๊ะ
(ไม่ได้รับค่าโฆษณาแต่อย่างใด)
กิจวัตรประจำวันตอนนี้ก็มีไม่กี่อย่าง คือ ออกไปซื้อของเอากลับไทยบ้าง จัดกระเป๋าบ้าง ไปตามนัดต่างๆกับเพื่อนๆบ้าง
ช่วงเวลาสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมามีนัดไปไปหลายนัด ซึ่งหลายๆครั้งก็ได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานนนนนนมาก
คือถ้าชั้นจะไม่กลับไทยเธอก็ไม่คิดจะมาเจอชั้นเลยว่างั้นเถอะ ฮาฮา
ตัวอย่างเช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้เจอกับเพื่อนคนญี่ปุ่นที่ไม่ได้เจอกันมา 4 ปี
คือได้เจอกันครั้งแรกที่จุฬาฯ โดยเค้ามางานอะไรสักอย่าง (จำไม่ได้แล้วนานเกิน) แล้วอาจารย์ที่คณะก็ให้ไปดูแลพาเดินเล่นรอบจุฬาฯว่างั้น แล้วก็ติดต่อกันเรื่อยมา นานๆจะส่งเมลหากันสักที คราวนี้ได้โอกาสเพื่อนมาโตเกียวเลยได้เจอกัน
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้เจอ เนื่องด้วยเวลาว่างไม่ตรงกันหรืออะไรก็ตาม
อย่างเช่นนาโฮโกะ เพื่อนคนญี่ปุ่นที่เคยมาแลกเปลี่ยนที่จุฬาฯ (เพื่อนคนญี่ปุ่นคนเดียวที่คุยกันภาษาไทย ฮาฮา)
ตั้งแต่แกย้ายไปทำงานที่คิตะคิวชูเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เสียดายเหมือนกัน
แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ได้เจอกันอีก ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกลนัก
วันนี้ใช้บริการแมวดำมารับกระเป๋าเดินทางส่งไปที่สนามบิน เนื่องจากพรุ่งนี้จะออกไปที่อื่นทำให้การลากกระเป๋าไปเองไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เลยส่งกระเป๋าไปก่อนตัวซะเลย ส่วนเราก็ลากกระเป๋าใบเล็กตัวปลิวไปสนามบินในวันอาทิตย์
กระเป๋าเดินทางหนึ่งใบค่าบริการ 1,990 เยน
หลายคนไม่รู้ว่่ามีบริการนี้ ถ้าใครจะไปไทยแล้วกระเป๋าหนักเกินหรือว่าจะไปที่อื่นต่อก็ใช้บริการนี้กันได้นะก๊ะ
(ไม่ได้รับค่าโฆษณาแต่อย่างใด)
Monday, October 05, 2009
รวบรวมคำสอน..คำคมของท่าน ว. วุฒิชัย จากรายการวู้ดดี้ฯ
เพิ่งดูรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย (ออกอากาศเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2552) จบไป
แขกรับเชิญที่มาออกคือ "พระอาจารย์ ว. วชิรเมธี"
ดูจบแล้วรู้สึกว่าได้ข้อคิดมาก เลยอยากเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่าน และได้ชมกันค่ะ
**************************************
ที่มา http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8395705/A8395705.html
ต้องขอบคุณรายการวู้ดดี้มากๆ ที่ทำเทปนี้ออกมา
เข้ากับวันพระใหญ่ คือวันออกพรรษาพอดี
ส่วนตัวแล้ว เราเคารพและยึดแนวคำสอนของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
สะสมหนังสือธรรมะของท่านหลายเล่ม
คำตอบ คำสอน ของท่านทางรายการทำให้เราคิดอยากรวบรวม
สรุป "สาระ" และ "แก่น" พระพุทธศาสนา มาแบ่งปันเพื่อนๆทุกคน
อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดในทุกข้อ แต่เป็นใจความสำคัญที่ท่านเน้น
ในรายการค่ะ
(1) ว่าถึงเรื่องการดั้นด้นตามไหว้พระวัดดังๆ ของชาวพุทธบางกลุ่ม: ท่านสอนว่า "ไหว้พระตามแนวพุทธ ไหว้ด้วยใจ"
(2) เรื่องการฆ่าสัตว์เล็กๆ ที่เราไม่เองไม่รู้ตัว: ท่านสอนว่า " กรรมไม่มี บาปไม่มี หากไม่ได้เจตนา ให้ดูที่เจตนาเป็นสำคัญ"
(3) เรื่องการดูหมอ : ท่านกล่าวว่า " คนที่รู้จักตัวเอง ไม่จำเป็นต้องหาหมอดู.. ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว" ท่านไม่เชื่อเรื่องหมอดู แต่ท่านเชื่อ กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ กฎที่บอกว่า ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเรา
(4) การห้อยพระ: ท่านกล่าวว่า "กฎแห่งกรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นหมัน เพราะง้างกับกฎแห่งกรรม " วู้ดดี้เลยโยงถึงเรื่อง ธุรกิจพิมพ์พระ ซึ่งท่านกล่าวว่า "บาปไม่บาปให้วัดที่เจตนา หากมีเจตนาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่บาป"
(5) การแก้กรรม: ท่านกล่าวว่า "คนไทยชอบแก้กรรม เหมือนเราถูกมัดไว้แล้วต้องมานั่งแก้ กรรมคือตัวความคิดของเรา ง่ายนิดเดียวคือการเปลี่ยนความคิด" และท่านเสริมว่า หลายสิ่งหลายอย่างพิสูจน์ไม่ได้ในห้องแล็บ ของพวกนี้ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยปัญญา สิ่งสำคัญไม่ใช่โลกหน้ามีรึไม่มี แต่โลกนี้มีอยู่จริงและเราใช้ชีวิตอย่างไร
(6) พุทธพาณิชย์ : ท่านกล่าวว่า "ให้วัดที่เจตนา.. หากท่านพิมพ์คำเทศน์ คำสั่งสอนเป็นหนังสือ อ่านกันได้ทั่วโลก กำไรคือสติ ปัญญา การหายโง่ งมงาย ไม่ใช่พุทธพาณิชย์ หาวัดกำไรเป็นเม็ดเงินนั่นแหละคือพุทธพาณิชย์"
(7) เรื่องค่าตัวท่านในการนิมนต์เทศน์ : ท่านกล่าวว่า "ท่านเป็นพระ ไม่มีต้นสังกัด ไม่มีค่าย ท่านเป็นต้นสังกัดของตัวท่านเอง เวลานิมนต์อย่าถามเรท ถ้าท่านว่างและเห็นว่าเป็นประโยชน์ ท่านก็ไปให้" ท่านยังเสริมอีกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี นั่นก็บรรลุวัตถุประสงค์ของการมีวัด วัดอยู่ที่ใจคุณแล้ว
(8) คำถามจากผู้ชมทางบ้าน: (8.1) ถ้าเราไม่เคารพพระที่เราไม่ชอบ เพราะประพฤติมิชอบ บาปไหม ท่านตอบว่า "ถ้าไม่มีความดีให้เราเคารพ ก็ไม่ควรเคารพ ไม่เสียหายอะไร คนเราจะเคารพคนที่สูงกว่าเรา ดีกว่าเรา เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราไปเคารพคนที่ไม่ควรเคารพ อันนี้บาป"
(8.2) ถ้านำแกนนำเหลือง-แดงมาให้ท่านเทศน์ ท่านจะเทศน์อย่างไร
ท่านฝากไว้สองข้อว่า 1. อย่าเห็นแก่ตัว จนไม่เห็นหัวประเทศไทย
2. ต้องยอมถอย เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า
(9) คนเราจิตตก จะมีวิธีแก้อย่างไร: ท่านสอนว่า "จิตตก ก็ยกจิต ต้องออกจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น หาหนังสือธรรมอ่าน.." ท่านยังเสริมถึงเรื่องกัลยาณมิตร คือเพื่อนแท้ ที่คนจิตตกควรมีและสร้างให้มีได้ ส่วนปาปะมิตรคือเพื่อนเลว ที่ดีงชีวิตเราให้ต่ำลง
(10) มาหาพระพุทธเจ้าอย่าขอ แต่บอกว่า พระพุทธองค์จะเป็นต้นแบบของเรา ท่านมีหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ เป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ การลงมือทำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
(11) บุคคลต้นแบบของท่าน ว. วุฒิชัย
(11.1) พระพุทธเจ้า
(11.2) ท่านพุทธทาสภิกขุ - เป็นแรงบันดาลใจในการคิดนอกกรอบ กล้าคิดกล้าทำ ยินดีที่จะพูดความจริงโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องตาย
(11.3) พระพรหมคุณาภรณ์ - มีความแม่นยำในพระธรรมวินัย ท่านเป็นพระที่ไม่ได้จบจากนอก แต่ท่านสามารถสอน ที่ ม. Harvard
(11.4) ท่านดาไล ลามะ - ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมดีเลิศ ท่านเป็นพระที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวโลก จนชาวโลกรู้สึกได้
(11.5) ท่านติช นัท ฮันท์ - พระชาวเวียดนาม
(12) พูดถึงกิเลสที่ทำให้เกิดความอยาก : ท่านกล่าวว่า "ความอยากมี 2 อย่าง หนึ่งอยากเพราะถูกกดดันด้วยตัวกิเลส และสอง อยากเพราะถูกผลักดันโดยปัญญา อย่างหลังเป็นความอยากที่ถูกต้อง
(13) เรื่องการระงับอารมณ์ทางเพศของพระ: ท่านกล่าวว่า ความสุขทางเพศรสเป็นความสุขขั้นต่ำ ของบันไดความสุข กามอารมณ์เกิดจากความคิด ถ้าเราไม่ต่อยอดความคิด ความรู้สึกทางกามอารมณ์ก็ไม่มีตัวตน ท่านอธิบายขั้นของความสุขไว้ว่า ปัญญาสุข คือความสุขจากการแสวงหาปัญญา สมาธิสุขคือความสุขจากการนั่งสมาธิ ทำจิตให้สงบ สารแห่งความสุขจะแผ่ไปทั่วร่าง และความสุขสุดยอดคือนิพพานสุข เป็นความสุขตลอดกาล เป็นความสุขที่ปราศจากกิเลสทั้งปวง
ขอ ความสุขทาง "ธรรม" จงบังเกิดแก่ผู้อ่านทุกท่านคะ
แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 52 04:08:39
แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 52 04:06:36
จากคุณ : หะ-เมียว
เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 52 03:50:03 [แก้ไข]
********************************************************
ชมคลิปวีดีโอได้จาก Youtube
ตอนที่ 1
http://www.youtube.com/watch?v=C-St7xTWuHI
ตอนที่ 2
http://www.youtube.com/watch?v=YE0NaiUDSLM
ตอนที่ 3
http://www.youtube.com/watch?v=lmqMFCa8xZs
ตอนที่ 4
http://www.youtube.com/watch?v=qT9LJKhEi9E
แขกรับเชิญที่มาออกคือ "พระอาจารย์ ว. วชิรเมธี"
ดูจบแล้วรู้สึกว่าได้ข้อคิดมาก เลยอยากเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่าน และได้ชมกันค่ะ
**************************************
ที่มา http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8395705/A8395705.html
ต้องขอบคุณรายการวู้ดดี้มากๆ ที่ทำเทปนี้ออกมา
เข้ากับวันพระใหญ่ คือวันออกพรรษาพอดี
ส่วนตัวแล้ว เราเคารพและยึดแนวคำสอนของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
สะสมหนังสือธรรมะของท่านหลายเล่ม
คำตอบ คำสอน ของท่านทางรายการทำให้เราคิดอยากรวบรวม
สรุป "สาระ" และ "แก่น" พระพุทธศาสนา มาแบ่งปันเพื่อนๆทุกคน
อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดในทุกข้อ แต่เป็นใจความสำคัญที่ท่านเน้น
ในรายการค่ะ
(1) ว่าถึงเรื่องการดั้นด้นตามไหว้พระวัดดังๆ ของชาวพุทธบางกลุ่ม: ท่านสอนว่า "ไหว้พระตามแนวพุทธ ไหว้ด้วยใจ"
(2) เรื่องการฆ่าสัตว์เล็กๆ ที่เราไม่เองไม่รู้ตัว: ท่านสอนว่า " กรรมไม่มี บาปไม่มี หากไม่ได้เจตนา ให้ดูที่เจตนาเป็นสำคัญ"
(3) เรื่องการดูหมอ : ท่านกล่าวว่า " คนที่รู้จักตัวเอง ไม่จำเป็นต้องหาหมอดู.. ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว" ท่านไม่เชื่อเรื่องหมอดู แต่ท่านเชื่อ กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ กฎที่บอกว่า ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเรา
(4) การห้อยพระ: ท่านกล่าวว่า "กฎแห่งกรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นหมัน เพราะง้างกับกฎแห่งกรรม " วู้ดดี้เลยโยงถึงเรื่อง ธุรกิจพิมพ์พระ ซึ่งท่านกล่าวว่า "บาปไม่บาปให้วัดที่เจตนา หากมีเจตนาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่บาป"
(5) การแก้กรรม: ท่านกล่าวว่า "คนไทยชอบแก้กรรม เหมือนเราถูกมัดไว้แล้วต้องมานั่งแก้ กรรมคือตัวความคิดของเรา ง่ายนิดเดียวคือการเปลี่ยนความคิด" และท่านเสริมว่า หลายสิ่งหลายอย่างพิสูจน์ไม่ได้ในห้องแล็บ ของพวกนี้ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยปัญญา สิ่งสำคัญไม่ใช่โลกหน้ามีรึไม่มี แต่โลกนี้มีอยู่จริงและเราใช้ชีวิตอย่างไร
(6) พุทธพาณิชย์ : ท่านกล่าวว่า "ให้วัดที่เจตนา.. หากท่านพิมพ์คำเทศน์ คำสั่งสอนเป็นหนังสือ อ่านกันได้ทั่วโลก กำไรคือสติ ปัญญา การหายโง่ งมงาย ไม่ใช่พุทธพาณิชย์ หาวัดกำไรเป็นเม็ดเงินนั่นแหละคือพุทธพาณิชย์"
(7) เรื่องค่าตัวท่านในการนิมนต์เทศน์ : ท่านกล่าวว่า "ท่านเป็นพระ ไม่มีต้นสังกัด ไม่มีค่าย ท่านเป็นต้นสังกัดของตัวท่านเอง เวลานิมนต์อย่าถามเรท ถ้าท่านว่างและเห็นว่าเป็นประโยชน์ ท่านก็ไปให้" ท่านยังเสริมอีกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี นั่นก็บรรลุวัตถุประสงค์ของการมีวัด วัดอยู่ที่ใจคุณแล้ว
(8) คำถามจากผู้ชมทางบ้าน: (8.1) ถ้าเราไม่เคารพพระที่เราไม่ชอบ เพราะประพฤติมิชอบ บาปไหม ท่านตอบว่า "ถ้าไม่มีความดีให้เราเคารพ ก็ไม่ควรเคารพ ไม่เสียหายอะไร คนเราจะเคารพคนที่สูงกว่าเรา ดีกว่าเรา เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราไปเคารพคนที่ไม่ควรเคารพ อันนี้บาป"
(8.2) ถ้านำแกนนำเหลือง-แดงมาให้ท่านเทศน์ ท่านจะเทศน์อย่างไร
ท่านฝากไว้สองข้อว่า 1. อย่าเห็นแก่ตัว จนไม่เห็นหัวประเทศไทย
2. ต้องยอมถอย เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า
(9) คนเราจิตตก จะมีวิธีแก้อย่างไร: ท่านสอนว่า "จิตตก ก็ยกจิต ต้องออกจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น หาหนังสือธรรมอ่าน.." ท่านยังเสริมถึงเรื่องกัลยาณมิตร คือเพื่อนแท้ ที่คนจิตตกควรมีและสร้างให้มีได้ ส่วนปาปะมิตรคือเพื่อนเลว ที่ดีงชีวิตเราให้ต่ำลง
(10) มาหาพระพุทธเจ้าอย่าขอ แต่บอกว่า พระพุทธองค์จะเป็นต้นแบบของเรา ท่านมีหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ เป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ การลงมือทำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
(11) บุคคลต้นแบบของท่าน ว. วุฒิชัย
(11.1) พระพุทธเจ้า
(11.2) ท่านพุทธทาสภิกขุ - เป็นแรงบันดาลใจในการคิดนอกกรอบ กล้าคิดกล้าทำ ยินดีที่จะพูดความจริงโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องตาย
(11.3) พระพรหมคุณาภรณ์ - มีความแม่นยำในพระธรรมวินัย ท่านเป็นพระที่ไม่ได้จบจากนอก แต่ท่านสามารถสอน ที่ ม. Harvard
(11.4) ท่านดาไล ลามะ - ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมดีเลิศ ท่านเป็นพระที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวโลก จนชาวโลกรู้สึกได้
(11.5) ท่านติช นัท ฮันท์ - พระชาวเวียดนาม
(12) พูดถึงกิเลสที่ทำให้เกิดความอยาก : ท่านกล่าวว่า "ความอยากมี 2 อย่าง หนึ่งอยากเพราะถูกกดดันด้วยตัวกิเลส และสอง อยากเพราะถูกผลักดันโดยปัญญา อย่างหลังเป็นความอยากที่ถูกต้อง
(13) เรื่องการระงับอารมณ์ทางเพศของพระ: ท่านกล่าวว่า ความสุขทางเพศรสเป็นความสุขขั้นต่ำ ของบันไดความสุข กามอารมณ์เกิดจากความคิด ถ้าเราไม่ต่อยอดความคิด ความรู้สึกทางกามอารมณ์ก็ไม่มีตัวตน ท่านอธิบายขั้นของความสุขไว้ว่า ปัญญาสุข คือความสุขจากการแสวงหาปัญญา สมาธิสุขคือความสุขจากการนั่งสมาธิ ทำจิตให้สงบ สารแห่งความสุขจะแผ่ไปทั่วร่าง และความสุขสุดยอดคือนิพพานสุข เป็นความสุขตลอดกาล เป็นความสุขที่ปราศจากกิเลสทั้งปวง
ขอ ความสุขทาง "ธรรม" จงบังเกิดแก่ผู้อ่านทุกท่านคะ
แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 52 04:08:39
แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 52 04:06:36
จากคุณ : หะ-เมียว
เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 52 03:50:03 [แก้ไข]
********************************************************
ชมคลิปวีดีโอได้จาก Youtube
ตอนที่ 1
http://www.youtube.com/watch?v=C-St7xTWuHI
ตอนที่ 2
http://www.youtube.com/watch?v=YE0NaiUDSLM
ตอนที่ 3
http://www.youtube.com/watch?v=lmqMFCa8xZs
ตอนที่ 4
http://www.youtube.com/watch?v=qT9LJKhEi9E
พาชมร้านทำลูกอม ที่สถานี Nakano
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีนัดดูเดี่ยวไมโครโฟน โน้ส อุดม Live in Tokyo กัน
แต่วันนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องโน้สอุดม ฮ่าๆ
สถานที่ชมคือที่สถานี Nakano เริ่มแสดงตอนหนึ่งทุ่ม
ก่อนเวลาแสดงพี่ส้มเลยนัดไปเดินเล่นแถว Nakano กัน
เคยอ่านนิตยสารแล้วเจอว่าที่ Nakano เนี่ยมีร้านขายซอฟท์ครีมที่สูงมากมากกกก
ทั้งๆที่เมื่อก่อนอยู่ใกล้บ้านนิดเดียว แต่แทบจะไม่ได้แวะไปเลย 55555+
ตอนแรกเลยแวะกินไอติมสูงเกือบฟุต มีแปดรสกัน
ใครอยากไป ก็ให้ไปที่ตึก Nakano Broadway ชั้น B1 จ้า
http://www.bwy.jp/map.html
หลังจากนั้นก็ไปร้านทำลูกอมกัน ซึ่งร้านนี้เค้าทำเค้าตัดกันให้ดูสดๆเลย
ร้านชื่อ PAPABUBBLE
ข้างในร้านมีทำลูกอม ยืดกันสดๆเลยจริงๆ
ได้มาเป็นเส้นๆก่อน
แล้วก็ตัดเป็นเม็ดเล็กๆ
ผลิตภัณฑ์ที่ได้มา มีแบบบรรจุใส่ถุง
แล้วก็มีเป็นโหลแก้ว
หน้าร้านมีลูกอมรูปโทรศัพท์โชว์ไว้ด้วย
เข้าไปดูในเว็บมา จริงๆแล้วมีหลายสาขาทั่วโลกนะเนี่ย http://www.papabubble.com/
ใครอยากไปก็ที่นี่เลยค่ะ
papabubble パパブブレ
住所 東京都中野区新井1-15-13
電話 03-5343-1286
定休日 月曜日
営業時間 10:30~21:00(火曜~土曜) 10:30~19:00(日曜)
最寄駅 JR中央線中野駅
公式ホームページ www.papabubble.com
แต่วันนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องโน้สอุดม ฮ่าๆ
สถานที่ชมคือที่สถานี Nakano เริ่มแสดงตอนหนึ่งทุ่ม
ก่อนเวลาแสดงพี่ส้มเลยนัดไปเดินเล่นแถว Nakano กัน
เคยอ่านนิตยสารแล้วเจอว่าที่ Nakano เนี่ยมีร้านขายซอฟท์ครีมที่สูงมากมากกกก
ทั้งๆที่เมื่อก่อนอยู่ใกล้บ้านนิดเดียว แต่แทบจะไม่ได้แวะไปเลย 55555+
ตอนแรกเลยแวะกินไอติมสูงเกือบฟุต มีแปดรสกัน
ใครอยากไป ก็ให้ไปที่ตึก Nakano Broadway ชั้น B1 จ้า
http://www.bwy.jp/map.html
หลังจากนั้นก็ไปร้านทำลูกอมกัน ซึ่งร้านนี้เค้าทำเค้าตัดกันให้ดูสดๆเลย
ร้านชื่อ PAPABUBBLE
ข้างในร้านมีทำลูกอม ยืดกันสดๆเลยจริงๆ
ได้มาเป็นเส้นๆก่อน
แล้วก็ตัดเป็นเม็ดเล็กๆ
ผลิตภัณฑ์ที่ได้มา มีแบบบรรจุใส่ถุง
แล้วก็มีเป็นโหลแก้ว
หน้าร้านมีลูกอมรูปโทรศัพท์โชว์ไว้ด้วย
เข้าไปดูในเว็บมา จริงๆแล้วมีหลายสาขาทั่วโลกนะเนี่ย http://www.papabubble.com/
ใครอยากไปก็ที่นี่เลยค่ะ
papabubble パパブブレ
住所 東京都中野区新井1-15-13
電話 03-5343-1286
定休日 月曜日
営業時間 10:30~21:00(火曜~土曜) 10:30~19:00(日曜)
最寄駅 JR中央線中野駅
公式ホームページ www.papabubble.com
Subscribe to:
Posts (Atom)