บล็อคบ่นไร้สาระ ... ขออภัยทุกท่าน
**************************************
เคยเป็นกันไหมคะ ไม่รู้ตัวเองต้องการอะไร...
เราเป็นคนรู้ตัวเองมาเสมอนะว่าตัวเราต้องการอะไร ชอบอะไร อยากทำอะไร
เช่น....
รู้ตัวเองว่าอยากเีัรียนสายภาษาตั้งแต่ ป.5 (ทั้งๆที่ตอนนั้นภาษาอังกฤษโง่มากเลยนะ) พอขึ้น ม.ปลายไม่ต้องคิดเลยว่าจะเข้าสายอะไร
รู้่ตัวเองว่าชอบเรียนเรื่องเกี่ยวกับต่างประเทศตั้งแต่ ม.ต้น พอจะเลือกคณะตอนเอ็นท์ก็ไม่ต้องคิดเลยว่าจะเข้าคณะอะไร
รู้ตัวเองเสมอว่าชอบกินอะไร ชอบไปไหน ชอบทำกิจกรรมแบบไหน ชอบอยู่กับใคร ฯลฯ ไม่เคยลังเล ทำอะไรตรงๆ ตัดสินใจเฉียบรวดเร็วเสมอ ... ไ่ม่เคยนั่งคิดสับสนอะไรนานๆ และเป็นคนวางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้าเสมอ ว่าพอเราทำยังงี้เสร็จ แล้วจะทำยังงี้ต่อนะ ยั้งงั้นยังงี้
....
แต่ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ... รู้สึกว่าไม่รู้ใจตัวเองว่าต้องการอะไรกันแน่
เพื่อนๆที่วาเซดะซัมเมอร์นี้กลับเมืองไทยกันทุกคน และทุกคนมีความสุขมากกับการได้กลับเมืองไทย
แต่เรา ... เฉยๆ
ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนะ เฉยๆ
อยากกลับหรือเปล่า ไม่รู้ ... อยากอยู่ญี่ปุ่นหรือเปล่า ไม่รู้ ... อยากทำอะไร ไม่ีรู้ ...
มีอีก ... เรียนจบแล้วอยากทำไร ไม่รู้ ... อยากทำงานที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า ไม่รู้ ... อยากทำงานที่ไทยเหรอ ไม่รู้ ... อ้าว แล้วอยากอยู่ที่ไหน ก็ยังคงไม่รู่้...
เฮ้อออออออออออออออออออออออออ
มีเรื่องค้างคาใจหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เป็นอารมณ์ว่า เฉยๆ
อยากรู้หรือเปล่า เฉยๆ ... อยากแก้ปัญหาหรือเปล่า เฉยๆ ... อยากเลิกคิดหรือเปล่า เฉยๆ ... หรือไม่อยากเลิกคิด เฉยๆ ... อ้าว แล้วอยากทำไรอ่ะ ไม่รู้!
ความจริงอารมณ์เฉยๆเรื่อยเปื่อยแบบนี้ก็ดีนะ
เพราะบางทีการวางแผนชีวิตไว้มากๆ แล้วมันดันไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ บางทีมันก็ผิดหวัง และหงุดหงิด
...............
แต่อาการที่เป็นอยู่ตอนนี้ ... ทำให้รู้สึกว่าไม่ชอบตัวเองมากๆ
มันเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ
เลยอยากจะถามทุกคนว่า ... มีวิธีอะไรที่ทำให้รู้บ้างคะว่าจริงๆแล้วตัวเองต้องการอะไรกันแน่
ถามตัวเองทุกวันนะว่าต้ิองการอะไร อยากทำอะไร เพราะไม่ใช่คนที่ชอบอยู่เฉยๆ พอเฉยๆมากๆก็เริ่มงงตัวเอง
เขียนไดอารี่ตอนเช้าแล้วตอนนี้ตามที่อ้อมแนะนำ เพราะตอนเช้าๆจะเป็นช่วงที่สมองยังไม่ได้ิคิดไตร่ตรองไรมากมาย
แต่เขียนไปเขียนมา ก็เหมือนเดิมทุกวัน แล้วก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้สักที
ว่าต้องการอะไร.....
ช่วยทีนะคะ (-/I\-)
Thursday, July 24, 2008
Saturday, July 19, 2008
ญี่ปุ่นใช้ตะเกียบไม้วันละกี่คู่??
ไม่ได้จะมาให้คำตอบ เพราะไม่รู้เหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ
ใครพอจะทราบบ้างไหมคะว่าประเทศญี่ปุ่นประเทศเดียวเนี่ย วันนึงทั่วประเทศใช้ตะเกียบไม้แบบหักๆ แล้วทิ้งเนี่ยวันละกี่คู่????
พอเห็นภาพแบบนี้ในโรงอาหารมหาวิทยาลัยแล้วอยากจะรู้เหลือเกิน
นี่ขนาดที่เดียว ไม่ถึงวันด้วยมั้งมันยังล้นทะลักขนาดนี้
แล้วทั่วประเทศมันจะกี่คันรถเนี่ย -_-"
เิลิกพูดกันไปเลยเรื่องโลกร้อน ... ต้นไม้กี่ต้นละเนี่ยวันนึงน่ะ
Wednesday, July 16, 2008
ความงามที่ยั่งยืน
เพิ่งจบการประกวด Miss Universe ที่ประเทศเวียดนามไปหมาดๆ
ถึงแม้น้องแก้มนางงามจากประเทศไทยจะไม่ได้เข้ารอบ แต่อย่างน้อยประเทศไทยก็ได้รางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม เย้ๆๆ
ใครไม่ได้ติดตาม ตามไปชมวีดีโอได้ เท่มากๆ ถูกใจๆ
http://uk.youtube.com/watch?v=GMXP1sI3PP8
ว่าแต่เดี๋ยวนี้มันต้องชุดออกแนวนักรบๆหน่อยถึงจะได้รางวัลเปล่าเนี่ย
เมื่อสองปีที่แล้วชุดญี่ปุ่นซามูไรก็ได้ ... ปีที่แล้วชุดอะไรหว่า
อ่อ... แต่วันนี้ไม่ได้จะพูดเรื่องการประกวด Miss Universe เหอๆ
แต่พอดีว่าอ่านพันทิปไปๆมาๆ ก็มีคนพูดกันว่าสาวประเทศไหนสวยสุด แล้วก็มีคนเอาเว็บมาโพส
เว็บนี้ๆ http://www.wanderlist.com/girls_world
ซึ่งมีการจัดอันดับโดยการโหวต (มั้ง?) ว่าสาวประเทศไหนมีความงามเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก
สาวไทยติดอันดับ 6 แฮะ!!!
ซึ่งของไทยไม่มีคำบรรยาย แต่ชอบคำบรรยายของอิรักซึ่งอยู่ในอันดับ 52 ว่า
"Their ankles seem kinda sexy anyways"
เอ่อ... นึกภาำพออกเลย
แ่ต่ก็งงๆ ว่าเค้าเอาอะไรมาวัดฟระ .. เพราะนึกออกไหมในประเทศนึงเนี่ยมันก็ต้องมีคนที่ทั้งสวยและไม่สวย
อีกอย่างมาตรฐานความสวยของแต่ละประเทศเราว่ามันก็ไม่เหมือนกันนะ และความงามนี่ยังเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอีกตะหาก
อย่างเช่นในยุโรปสมัยวิคตอเรียน ... ก็จะต้องเอวกิ่วมาก คอดดดดด โดยเอา corset มารัดไว้จนไส้แทบบีบตัวกันตาย ถ้าสมัยนี้ใครมารัดเอวกิ้วขนาดนั้นคงถูกมองว่าประหลาด
ในประเทศจีนโบราณสาวสวยนั้นต้องมีเท้าที่เล็กสวย สามารถบีบเข้ารองเท้าดอกบัวทองคำได้ เรื่องนี้หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว สาวๆบางคนถึงกับขนาดเดินไม่ได้เนื่องจากความเจ็บปวดในการบีบรัดเท้า โดยเค้าเชื่อกันว่าคนเท้าใหญ่เปรียบเสมือนคนใช้แรงงาน จะดูดีไฮโซต้องเท้าเล็ก ... ถ้าเอาเท้าขนาด LL ของเราไปวัด คงจะไม่สามารถบรรยายได้ เหอๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นานความสวยคือคนผอมมมม ผอมมากกกกก นางแบบบนรันเวย์จะต้องตัวผอมลีบ บางคนจำต้องอดอาหารเพื่อจะให้ได้รูปร่างผอมกิ่วตามต้องการถึงขนาดเป็นโรคกินอาหารผิดปกติ
ปัจจุบันนี้มาตรฐานความสวยเป็นยังไงกันนะ ...
แต่สาวๆคะอย่าลืมว่าความสวยนั้นจริงๆแล้วอยู่กับเราไม่นาน อย่างที่บอกว่ามาตรฐานความงามมันเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย วันนี้ชอบผอม ปีหน้าอาจจะชอบอ้วนก็ได้ แล้วเราเองจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองตามความไม่เสถียรไปได้นานแค่ไหนกัน
และอีกอย่าง ... ไม่ว่าเราจะดูแลตัวเองแค่ไหนสักวันหนึ่งสังขารก็ต้องร่วงโรย (ยกเว้นว่าจะตายไปซะก่อน)
เราเองคิดมาตลอดอยากตายก่อนแก่เพราะไม่อยากจะเห็นตัวเองตอนหน้าเหี่ยว อ้วนฉุ ผมหงอก เหอๆ
แต่ก่อนตายอย่างน้อยก็ขอทำให้ชีวิตมีคุณค่า และคุ้มค่าให้สมกับที่พ่อแม่ชุบเลี้ยงสงเสียมาให้ได้ดีจนถึงป่านนี้
เพราะฉะนั้นความสวยอย่างที่บอกว่ามันจะไม่อยู่กับเราตลอดไป ... แต่คุณค่าของตัวเราเองต่างหากที่คนจะพูดถึงไปจนวันสุดท้ายของชีวิตเรา ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เราอัปลักษณ์ที่สุดในชีวิตก็ตาม
"งามอย่างมีคุณค่า" ตามที่เวทีประกวดนางงามใช้กันมานานนมนั้นคงพิสูจน์ได้ดีว่าไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน ความงามของผู้หญิงก็ยังคงผูกติดกับความมีคุณค่าเสมอ
คนทุกคนมีคุณค่าในตัวของเราเองขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักษาคุณค่าอันนั้นของเราไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
อย่าปล่อยให้ใครมาทำลายคุณค่าอันนั้นนะคะ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะอยู่กับมันไปตลอดชีวิตคือตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่น
(วันนี้แอบตบท้ายด้วยคำคมอีกแล้ว หุหุ)
ถึงแม้น้องแก้มนางงามจากประเทศไทยจะไม่ได้เข้ารอบ แต่อย่างน้อยประเทศไทยก็ได้รางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม เย้ๆๆ
ใครไม่ได้ติดตาม ตามไปชมวีดีโอได้ เท่มากๆ ถูกใจๆ
http://uk.youtube.com/watch?v=GMXP1sI3PP8
ว่าแต่เดี๋ยวนี้มันต้องชุดออกแนวนักรบๆหน่อยถึงจะได้รางวัลเปล่าเนี่ย
เมื่อสองปีที่แล้วชุดญี่ปุ่นซามูไรก็ได้ ... ปีที่แล้วชุดอะไรหว่า
อ่อ... แต่วันนี้ไม่ได้จะพูดเรื่องการประกวด Miss Universe เหอๆ
แต่พอดีว่าอ่านพันทิปไปๆมาๆ ก็มีคนพูดกันว่าสาวประเทศไหนสวยสุด แล้วก็มีคนเอาเว็บมาโพส
เว็บนี้ๆ http://www.wanderlist.com/girls_world
ซึ่งมีการจัดอันดับโดยการโหวต (มั้ง?) ว่าสาวประเทศไหนมีความงามเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก
สาวไทยติดอันดับ 6 แฮะ!!!
ซึ่งของไทยไม่มีคำบรรยาย แต่ชอบคำบรรยายของอิรักซึ่งอยู่ในอันดับ 52 ว่า
"Their ankles seem kinda sexy anyways"
เอ่อ... นึกภาำพออกเลย
แ่ต่ก็งงๆ ว่าเค้าเอาอะไรมาวัดฟระ .. เพราะนึกออกไหมในประเทศนึงเนี่ยมันก็ต้องมีคนที่ทั้งสวยและไม่สวย
อีกอย่างมาตรฐานความสวยของแต่ละประเทศเราว่ามันก็ไม่เหมือนกันนะ และความงามนี่ยังเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอีกตะหาก
อย่างเช่นในยุโรปสมัยวิคตอเรียน ... ก็จะต้องเอวกิ่วมาก คอดดดดด โดยเอา corset มารัดไว้จนไส้แทบบีบตัวกันตาย ถ้าสมัยนี้ใครมารัดเอวกิ้วขนาดนั้นคงถูกมองว่าประหลาด
ในประเทศจีนโบราณสาวสวยนั้นต้องมีเท้าที่เล็กสวย สามารถบีบเข้ารองเท้าดอกบัวทองคำได้ เรื่องนี้หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว สาวๆบางคนถึงกับขนาดเดินไม่ได้เนื่องจากความเจ็บปวดในการบีบรัดเท้า โดยเค้าเชื่อกันว่าคนเท้าใหญ่เปรียบเสมือนคนใช้แรงงาน จะดูดีไฮโซต้องเท้าเล็ก ... ถ้าเอาเท้าขนาด LL ของเราไปวัด คงจะไม่สามารถบรรยายได้ เหอๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นานความสวยคือคนผอมมมม ผอมมากกกกก นางแบบบนรันเวย์จะต้องตัวผอมลีบ บางคนจำต้องอดอาหารเพื่อจะให้ได้รูปร่างผอมกิ่วตามต้องการถึงขนาดเป็นโรคกินอาหารผิดปกติ
ปัจจุบันนี้มาตรฐานความสวยเป็นยังไงกันนะ ...
แต่สาวๆคะอย่าลืมว่าความสวยนั้นจริงๆแล้วอยู่กับเราไม่นาน อย่างที่บอกว่ามาตรฐานความงามมันเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย วันนี้ชอบผอม ปีหน้าอาจจะชอบอ้วนก็ได้ แล้วเราเองจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองตามความไม่เสถียรไปได้นานแค่ไหนกัน
และอีกอย่าง ... ไม่ว่าเราจะดูแลตัวเองแค่ไหนสักวันหนึ่งสังขารก็ต้องร่วงโรย (ยกเว้นว่าจะตายไปซะก่อน)
เราเองคิดมาตลอดอยากตายก่อนแก่เพราะไม่อยากจะเห็นตัวเองตอนหน้าเหี่ยว อ้วนฉุ ผมหงอก เหอๆ
แต่ก่อนตายอย่างน้อยก็ขอทำให้ชีวิตมีคุณค่า และคุ้มค่าให้สมกับที่พ่อแม่ชุบเลี้ยงสงเสียมาให้ได้ดีจนถึงป่านนี้
เพราะฉะนั้นความสวยอย่างที่บอกว่ามันจะไม่อยู่กับเราตลอดไป ... แต่คุณค่าของตัวเราเองต่างหากที่คนจะพูดถึงไปจนวันสุดท้ายของชีวิตเรา ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เราอัปลักษณ์ที่สุดในชีวิตก็ตาม
"งามอย่างมีคุณค่า" ตามที่เวทีประกวดนางงามใช้กันมานานนมนั้นคงพิสูจน์ได้ดีว่าไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน ความงามของผู้หญิงก็ยังคงผูกติดกับความมีคุณค่าเสมอ
คนทุกคนมีคุณค่าในตัวของเราเองขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักษาคุณค่าอันนั้นของเราไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
อย่าปล่อยให้ใครมาทำลายคุณค่าอันนั้นนะคะ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะอยู่กับมันไปตลอดชีวิตคือตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่น
(วันนี้แอบตบท้ายด้วยคำคมอีกแล้ว หุหุ)
Friday, July 11, 2008
10 อย่างที่มาพร้อมกับความร้อน
เพิ่งเขียนเรื่องหน้าฝนไปเมื่อไม่นานตอนนี้ลมร้อนมาเยือนประเทศญี่ปุ่นซะแล้ว
ก่อนที่จะมาอยู่ญี่ปุ่นนี่ไม่เคยจะรู้เลยนะว่าประเทศนี้มันจะร้อนได้ถึงขนาดนี้ ... เพราะว่าภาพที่ออกสื่อไปไม่ซากุระ ก็ใบไม้แดง ไม่ก็หิมะ ... หน้าร้อนนี่ไม่ค่อยพูดถึงกันเน๊าะว่ามันร้อนขนาดไหน
ขอบอกว่า ร้อนมากมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ไม่รู้จะสาธยายความร้อนได้ยังไง ... หายคิดถึงบ้านเลย อากาศเหมือน เหอๆ
(เพียงแต่จะเหนอะกว่ามาก)
คราวที่แล้วเขียนเรื่องว่าเมื่อฝนมาจะมีอะไรตามมา้บ้าง ... คราวนี้ขอเขียนหน้าร้อนหน่อยแล้วกัน เท่าที่ระลึกได้ตอนนี้ออกนะ
1.เหงื่อ ... อันนี้พูดทำไม แต่ไม่รู้ทำไมเหงื่อประเทศนี้มันออกเยอะกว่าตอนอยู่เมืองไทย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ฮ่าๆๆ
2.แมลงสาป ... พอร้อน แมลงสาปคงเริ่มเลิกจำศีลวิ่งกันให้ว่อน มันคงคิดว่า "ว๊ายๆ หายหนาวแล้วววววว"
3.น้ำแข็งใส ... อันนี้ยังกับเป็นวาระแห่งชาติ น้ำแข็งใสขายดีเป็นเทน้ำเททา (จริงๆแล้วถ้าหน้าหนาวจะเป็นมันเผา ... มีร้านแถวโรงเรียนร้านหนึ่งเปิดขายเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น ตอนนี้ปิดรั้วไปละ ไม่รู้ว่าฤดูอื่นเอารายได้มาจากไหน เหอๆ)
4.ดอกไม้ไฟ ... พูดถึงหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นก็คิดได้ถึงเรื่องที่ใหญ่ๆสุดๆคือการไปดูดอกไม้ไฟ ไม่รู้เริ่มมาตั้งแ่ต่เมื่อไหร่ว่าจะต้องจุดดอกไม้ไฟกันหน้าร้อน แล้วก็ควรจะ (ไม่ต้อง) ใส่ยูกาตะไปดู เพราะมันจะได้อารมณ์มากๆ
5.เสียงหนวกหูของเหล่าแมลง ... ดีนะคราวนี้บ้านไม่ได้อยู่ในป่าเหมือนตอนอยู่โอซาก้า ก็จะไม่หนวกหูเท่าไหร่ แต่ถ้าเดินผ่านพงไม้เมื่อไหร่ไม่รู้แมลงอะไรต่อมิอะไรร้องกันให้จ้าละหวั่น
6.การปิดเทอมที่แสนยาวนาน ... แต่ก็ยังคงมีเรียนซัมเมอร์ จะเรียกว่าการปิดเทอมหรือเปล่านะ
7.ความร้อนระอุของอารมณ์ ... เคยได้ยินแต่ว่าพออากาศร้อนมากๆจะทำให้หมาบ้า แต่จริงๆแล้วมันทำให้คนบ้าได้เหมือนกัน ช่วงนี้สังเกตตัวเองเหมือนกันว่าจะอารมณ์หงุดหงิดง่ายมาก และจะขี้รำคาญมากๆ ตอนหน้าฝนเพิ่งจะบอกไปว่าพออากาศครึ้มทำให้มัวหมอง สงสัยมันจะเป็นอากาศต่อเนื่องจากความมัวหมอง (เคสเราเท่านั้นนะ หุหุ) ไม่รู้ว่าโทษอากาศหรือเปล่าแต่พอเปิดแอร์ทีไรก็อารมณ์ดีทุกที เหอๆ
8.ความน่าสะพรึงกลัวของบิลค่าไฟ .... สืบเนื่องจากข้อข้างบน หน้าหนาวยังพอเลี่ยงไม่เปิดฮีตเตอร์ได้ เพราะมีผ้าห่มไฟฟ้าตอนนอนอุ่นสบาย แต่พอหน้าร้อนทีไร ... ไม่เปิดแอร์ตายแน่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
9.การเปลี่ยนแปลงของสีผิว ... เนื่องจากใส่เสื้อผ้าเปิดมากขึ้น แ้ล้วเป็นโรคจิตนะเรา กลัวดำแต่ไม่หลบแดด ไม่ชอบถือร่มให้เกะกะ แล้วพอหมดหน้าร้อนมันจะต้องดำมากๆทุกที ... จำได้ว่าตอนกลับจากโอซาก้าเพิ่งหมดหน้าร้อนพอดี เพื่อนแทบจะนึกว่าไปแลกเปลี่ยนที่แอฟริกามา เหอๆ ... ก็จะให้ใส่ถุงมือกันยูวี เสื้อแขนยาว ขายาว เดินกางร่มแบบคนญี่ปุ่นมันทำไม่ได้นี่นา
10.เดทไลน์ส่งไฟน่อลเปเปอร์ ... ว๊ากกกกกกกกกกกกก ติดๆกันหมดเลย จะแยกร่างทำงานยังไงดีเนี่ยยยยยยยยยยยยยย
จริงๆแล้วจะเขียนให้มันมากกว่าสิบข้อก็ได้ แต่นึกไม่ออกละ ... งั้นวานผู้อ่านช่วยกันคิดต่อหน่อยละกันนะคะว่าพอถึงหน้าร้อนแล้วจะมีสิ่งอะไรตามมาบ้าง
ส่วนเรา ... ต้องขอตัว
เพราะข้อสิบกำลังไล่ล่ามาอย่างติดๆ เหอๆๆๆๆ
ระวังไม่สบายกันนะคะ ^_______________^
Wednesday, July 09, 2008
คนดี?
มาอีกแล้วบทความอิงวิชาการ (นิดๆ)
ที่มักจะวกเข้ามาเรื่องตัวเอง (เสมอๆ หุหุ)
หวังว่าหลายๆคนที่ชอบอ่านอะไรยาวๆจะสนุกไปกับมันด้วย
สำหรับคนที่ชอบอ่านอะไรสั้นๆ ก็หวังว่าอ่านไปอ่านมาจะชอบอ่านอะไรยาวๆขึ้นนะคะ อิอิ
ไอเดียของเรื่องที่จะเขียนวันนี้เกิดขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่พอดีว่าอยากจะอัพเรื่อง midyear sale กับ Tanabata ซะก่อน
เรื่องนี้เลยต้องโดนดองชั่วคราว ... วันนี้พอดีมีเวลาว่าง (ก่อนที่จะยุ่งอีกครั้งในอีกไม่นาน) ก็เลยมาเขียนบทความ
สำหรับท่านที่เข้ามาอ่านเป็นประจำ หรือใครก็ตามที่ผ่านมา หากมีอะไรจะเสนอแนะก็ยินดีนะคะ ^_____^
*************************************************
ช่วงนี้รู้สึกว่าจะมีคนพูดว่า "โบว์เป็นคนดีจัง" บ่อยๆ
ทำให้เริ่มคิดขึ้นมาว่า ... การเป็น "คนดี" เนี่ย มันต้องมีส่วนผสมอะไรเหรอ
ที่ทำให้เรา หรือคนอื่นๆ ถูกมองจากคนรอบข้างว่า เออ ... เธอนี่คนดีนะ
ทำให้เกิดคิดย้อนขึ้นมาถึงบทความวิชาการที่เคยเรียนสมัย ป.ตรี
คือ อุตมรัฐ (The Republic) ของ เปลโต (Plato)
คนที่เรียนรัฐศาสตร์ทั่วโลก ต้องได้เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ของ Plato แน่นอน
เนื่องจากเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการเรียนรัฐศาสตร์ คือศึกษาปรัชญาทางการเมืองในอดีต
ขอไม่พูดถึง Plato เพราะท่าทางจะยาว เหอๆ
เลยขอข้ามไปพูดเรื่อง "คุณงามความดี (virtue)" ที่ Plato พูดเอาไว้เลยก็แล้วกันนะึคะ
Plato กล่าวถึงเรื่องของคุณงามความดีครั้งแรกในหนังสือชื่อว่า Meno
โดยอธิบายว่า คุณงามความดีนั้นมีส่วนประกอบสามประการ คือ
1. ความเที่ยงธรรม (Justice)
2. การยับยั้งชั่งใจ (Temperance)
3. ความศรัทธาอันแรงกล้า (Piety)
ซึ่งอาจารย์ของ Plato คือ Socrates นั้นก่อนหน้านี้ไ้ด้พยายามตามหาคำตอบว่า จริงๆแล้ว "คุณงามความดี" คืออะไร
เนื่องจากในยุคของ Socrates นั้นมีสำนักนักคิดคือ พวก Sophist นักคิดกลุ่มนี้เห็นว่ามนุษย์เป็นผู้ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง ความดี ความชั่วไม่มีมาตรฐาน เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
Socrates ไม่พอใจกับคำตอบดังกล่าวเขาจึงออกเดินทางถามชาวเมืองไปเรื่อยๆว่า "คุณงามความดี" คืออะไีร
Socrates - คุณธรรมคืออะไร ?
เขาคนนั้น - คุณธรรม คือการรักษาความซื่อสัตย์เช่น เมื่อเรายืมของ ๆใครแล้วก็ต้องใช้คืนเขา
Socrates - สมมติว่า เรายืมมีดของเขาไปแล้ว บังเอิญว่าเขาเป็นบ้า การคืนมีดให้แก่เขาถือได้ว่าเป็นคุณธรรมหรือไม่ เพราะเขาอาจจะนำเอาแทงคนอื่นก็ได้
ดังนั้นในหนังสือเรื่อง The Republic ของ Plato เขาได้นำ Socrates อาจารย์ของเขาเองเป็นตัวละครเอกในการเดินทางเสาะแสวงหาความหมายของ "คุณงามความดี" นั้น โดยในเล่มหนึ่งของ The Republic นั้น Plato ได้พยายามอธิบายความหมายของ "ความเที่ยงธรรม" ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของ "คุณงามความดี"
เนื่องจาก Plato เห็นว่า The Republic (อุตมรัฐ) หรือรัฐในอุดมคตินั้นหมายถึง รัฐที่มีความยุติธรรมซึ่งหมายถึง “การให้ทุกคนตามส่วนที่พึงได้รับ"
Trasimacus หนึ่งในผู้ร่วมสนทนาได้เสนอทัศนะออกมาด้วยท่าทีหาเรื่องว่า อำนาจจะตัดสินว่าอะไรคือความเที่ยงธรรม กลุ่มที่มีอำนาจปกครองก็จะกำหนดสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเองเป็น nomos (norm - กฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น) อยู่แล้ว ดังนั้น ความเที่ยงธรรมก็คือผลประโยชน์ของผู้แข็งแรงอีกเช่นเดียวกัน
จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนยอมรับว่าป่วยการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม เพราะว่ามันเป็นสิ่งไม่มีจริง และถ้าธรรมชาติของความยุติธรรมเป็นไปตามผู้ที่แข็งแรงกว่า แล้วเราจะยังรับได้เหรอ บางคนบอกว่ารับไม่ได้เราจะต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ แล้วใครล่ะจะเป็นคนสร้าง แล้วถ้าไม่มีพละกำลัง ไม่มีอำนาจ สร้างไปแล้วจะมีใครมันจะมาเชื่อ ก็ต้องย้อนกลับมาสู่จุดเดิมอีก
ดังนั้นจะว่าไปแล้ว...........................................
ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ ว่า "คุณงามความดี" คืออะไร
Socrates พยายามหาคำตอบ จนกระทั่งมีผู้ไม่หวังดีพยายามใส่ร้ายเขาว่าเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง เขาถูกจับขึ้นศาลและตัดสินให้ดื่มยาพิษจนเสียชีวิต
ดังนั้นพอเิริ่มมีคนทักว่า "โบว์เป็นคนดีจัง" ก็เริ่มสงสัยว่า... เราเป็นคนดียังไง???????
เพราะจริงๆแล้ว ... เราก็รู้สึกว่าในบางอารมณ์ บางโอกาส บางสถานการณ์ หรือบางอารมณ์ เราก็เป็น "คนเลว" เหมือนกัน....... นะ
แล้วจริงๆแล้ว การเป็น "คนดี" หรือ "คนเลว" เนี่ย ... เราใช้มาตรฐานอะไรมาวัดเหรอ?????
เพราะจริงๆแล้ว บางทีเราก็รู้สึกนะว่า เราอาจจะเป็น "คนดี" ตรงที เราไม่ชอบทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี เพราะฉะนั้นในบางทีเรายอมทำร้ายความรู้สึกตัวเอง เพื่อที่จะไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ หรือเสียใจน้อยที่สุด ......
โดยที่เราไม่รู้นะว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้เราเป็น "คนเลว" ด้วยหรือเปล่า ... เพราะการที่เราทำแบบนั้น มันคือการที่เราไม่จริงใจกับทั้งตัวเค้าเอง รวมถึงไม่จริงใจกับความรู้สึกของตัวเองด้วย
นอกจากนี้เรายังรู้สึกอีกว่าเรา "เลว" ตรงที่ เราไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี เพราะไม่อยากให้เขาเกลียดเราหรือเปล่า อ่าว ... แบบนี้เราก็เห็นแก่ตัวอ่ะดิ เลววววววววว
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ... ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเป็นมาตรฐานวัดว่า "ความดี" หรือ "ความเลว" คืออะไร
ตอนเด็กๆ คุณครู คุณพ่อ คุณแม่ ชอบบอกว่า อยากให้หนูเป็นเด็กดี โตขึ้นขอให้หนูเป็นคนดี .....
แล้วยังไงมันถึงจะเรียกว่าดีอ่ะคะ .... หนูก็อยากจะให้คนมองหนูว่าหนูเป็นคนดีนะ แต่หนูไม่รู้ว่าที่หนูทำอยู่เนี่ย มันทำให้หนูเป็นคนดีๆจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่เปลือกนอก
เพราะว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ.... เรื่องที่เราคิดว่าดีของเรา อาจจะไม่ใช่เรื่องดีของคนอื่นเสมอไป
ใช่ไหมคะ.....
ปล. จริงๆแล้วเราก็แอบร้ายเหมือนกันนะ หึหึหึหึหึ
ที่มักจะวกเข้ามาเรื่องตัวเอง (เสมอๆ หุหุ)
หวังว่าหลายๆคนที่ชอบอ่านอะไรยาวๆจะสนุกไปกับมันด้วย
สำหรับคนที่ชอบอ่านอะไรสั้นๆ ก็หวังว่าอ่านไปอ่านมาจะชอบอ่านอะไรยาวๆขึ้นนะคะ อิอิ
ไอเดียของเรื่องที่จะเขียนวันนี้เกิดขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่พอดีว่าอยากจะอัพเรื่อง midyear sale กับ Tanabata ซะก่อน
เรื่องนี้เลยต้องโดนดองชั่วคราว ... วันนี้พอดีมีเวลาว่าง (ก่อนที่จะยุ่งอีกครั้งในอีกไม่นาน) ก็เลยมาเขียนบทความ
สำหรับท่านที่เข้ามาอ่านเป็นประจำ หรือใครก็ตามที่ผ่านมา หากมีอะไรจะเสนอแนะก็ยินดีนะคะ ^_____^
*************************************************
ช่วงนี้รู้สึกว่าจะมีคนพูดว่า "โบว์เป็นคนดีจัง" บ่อยๆ
ทำให้เริ่มคิดขึ้นมาว่า ... การเป็น "คนดี" เนี่ย มันต้องมีส่วนผสมอะไรเหรอ
ที่ทำให้เรา หรือคนอื่นๆ ถูกมองจากคนรอบข้างว่า เออ ... เธอนี่คนดีนะ
ทำให้เกิดคิดย้อนขึ้นมาถึงบทความวิชาการที่เคยเรียนสมัย ป.ตรี
คือ อุตมรัฐ (The Republic) ของ เปลโต (Plato)
คนที่เรียนรัฐศาสตร์ทั่วโลก ต้องได้เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ของ Plato แน่นอน
เนื่องจากเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการเรียนรัฐศาสตร์ คือศึกษาปรัชญาทางการเมืองในอดีต
ขอไม่พูดถึง Plato เพราะท่าทางจะยาว เหอๆ
เลยขอข้ามไปพูดเรื่อง "คุณงามความดี (virtue)" ที่ Plato พูดเอาไว้เลยก็แล้วกันนะึคะ
Plato กล่าวถึงเรื่องของคุณงามความดีครั้งแรกในหนังสือชื่อว่า Meno
โดยอธิบายว่า คุณงามความดีนั้นมีส่วนประกอบสามประการ คือ
1. ความเที่ยงธรรม (Justice)
2. การยับยั้งชั่งใจ (Temperance)
3. ความศรัทธาอันแรงกล้า (Piety)
ซึ่งอาจารย์ของ Plato คือ Socrates นั้นก่อนหน้านี้ไ้ด้พยายามตามหาคำตอบว่า จริงๆแล้ว "คุณงามความดี" คืออะไร
เนื่องจากในยุคของ Socrates นั้นมีสำนักนักคิดคือ พวก Sophist นักคิดกลุ่มนี้เห็นว่ามนุษย์เป็นผู้ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง ความดี ความชั่วไม่มีมาตรฐาน เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
Socrates ไม่พอใจกับคำตอบดังกล่าวเขาจึงออกเดินทางถามชาวเมืองไปเรื่อยๆว่า "คุณงามความดี" คืออะไีร
Socrates - คุณธรรมคืออะไร ?
เขาคนนั้น - คุณธรรม คือการรักษาความซื่อสัตย์เช่น เมื่อเรายืมของ ๆใครแล้วก็ต้องใช้คืนเขา
Socrates - สมมติว่า เรายืมมีดของเขาไปแล้ว บังเอิญว่าเขาเป็นบ้า การคืนมีดให้แก่เขาถือได้ว่าเป็นคุณธรรมหรือไม่ เพราะเขาอาจจะนำเอาแทงคนอื่นก็ได้
ดังนั้นในหนังสือเรื่อง The Republic ของ Plato เขาได้นำ Socrates อาจารย์ของเขาเองเป็นตัวละครเอกในการเดินทางเสาะแสวงหาความหมายของ "คุณงามความดี" นั้น โดยในเล่มหนึ่งของ The Republic นั้น Plato ได้พยายามอธิบายความหมายของ "ความเที่ยงธรรม" ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของ "คุณงามความดี"
เนื่องจาก Plato เห็นว่า The Republic (อุตมรัฐ) หรือรัฐในอุดมคตินั้นหมายถึง รัฐที่มีความยุติธรรมซึ่งหมายถึง “การให้ทุกคนตามส่วนที่พึงได้รับ"
Trasimacus หนึ่งในผู้ร่วมสนทนาได้เสนอทัศนะออกมาด้วยท่าทีหาเรื่องว่า อำนาจจะตัดสินว่าอะไรคือความเที่ยงธรรม กลุ่มที่มีอำนาจปกครองก็จะกำหนดสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเองเป็น nomos (norm - กฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น) อยู่แล้ว ดังนั้น ความเที่ยงธรรมก็คือผลประโยชน์ของผู้แข็งแรงอีกเช่นเดียวกัน
จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนยอมรับว่าป่วยการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม เพราะว่ามันเป็นสิ่งไม่มีจริง และถ้าธรรมชาติของความยุติธรรมเป็นไปตามผู้ที่แข็งแรงกว่า แล้วเราจะยังรับได้เหรอ บางคนบอกว่ารับไม่ได้เราจะต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ แล้วใครล่ะจะเป็นคนสร้าง แล้วถ้าไม่มีพละกำลัง ไม่มีอำนาจ สร้างไปแล้วจะมีใครมันจะมาเชื่อ ก็ต้องย้อนกลับมาสู่จุดเดิมอีก
ดังนั้นจะว่าไปแล้ว...........................................
ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ ว่า "คุณงามความดี" คืออะไร
Socrates พยายามหาคำตอบ จนกระทั่งมีผู้ไม่หวังดีพยายามใส่ร้ายเขาว่าเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง เขาถูกจับขึ้นศาลและตัดสินให้ดื่มยาพิษจนเสียชีวิต
ดังนั้นพอเิริ่มมีคนทักว่า "โบว์เป็นคนดีจัง" ก็เริ่มสงสัยว่า... เราเป็นคนดียังไง???????
เพราะจริงๆแล้ว ... เราก็รู้สึกว่าในบางอารมณ์ บางโอกาส บางสถานการณ์ หรือบางอารมณ์ เราก็เป็น "คนเลว" เหมือนกัน....... นะ
แล้วจริงๆแล้ว การเป็น "คนดี" หรือ "คนเลว" เนี่ย ... เราใช้มาตรฐานอะไรมาวัดเหรอ?????
เพราะจริงๆแล้ว บางทีเราก็รู้สึกนะว่า เราอาจจะเป็น "คนดี" ตรงที เราไม่ชอบทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี เพราะฉะนั้นในบางทีเรายอมทำร้ายความรู้สึกตัวเอง เพื่อที่จะไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ หรือเสียใจน้อยที่สุด ......
โดยที่เราไม่รู้นะว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้เราเป็น "คนเลว" ด้วยหรือเปล่า ... เพราะการที่เราทำแบบนั้น มันคือการที่เราไม่จริงใจกับทั้งตัวเค้าเอง รวมถึงไม่จริงใจกับความรู้สึกของตัวเองด้วย
นอกจากนี้เรายังรู้สึกอีกว่าเรา "เลว" ตรงที่ เราไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี เพราะไม่อยากให้เขาเกลียดเราหรือเปล่า อ่าว ... แบบนี้เราก็เห็นแก่ตัวอ่ะดิ เลววววววววว
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ... ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเป็นมาตรฐานวัดว่า "ความดี" หรือ "ความเลว" คืออะไร
ตอนเด็กๆ คุณครู คุณพ่อ คุณแม่ ชอบบอกว่า อยากให้หนูเป็นเด็กดี โตขึ้นขอให้หนูเป็นคนดี .....
แล้วยังไงมันถึงจะเรียกว่าดีอ่ะคะ .... หนูก็อยากจะให้คนมองหนูว่าหนูเป็นคนดีนะ แต่หนูไม่รู้ว่าที่หนูทำอยู่เนี่ย มันทำให้หนูเป็นคนดีๆจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่เปลือกนอก
เพราะว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ.... เรื่องที่เราคิดว่าดีของเรา อาจจะไม่ใช่เรื่องดีของคนอื่นเสมอไป
ใช่ไหมคะ.....
ปล. จริงๆแล้วเราก็แอบร้ายเหมือนกันนะ หึหึหึหึหึ
Sunday, July 06, 2008
ความปรารถนาเล็กๆในวัน Tanabata
มาอยู่ญี่ปุ่นเป็นรอบที่สองแล้ว เจอ Tanabata มาสองรอบแล้ว...
เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 เดินทางมาบรรจบอีกครั้ง
ตำนานกล่าวไว้ว่าชายเลี้ยงวัว และเจ้าหญิงทอผ้าจะเดินทางมาพบกันปีละครั้งที่ทางช้างเผือก
เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 เดินทางมาบรรจบอีกครั้ง
ชาวญี่ปุ่นเฉลิมฉลองการได้พบกันของคู่รักคู่นี้โดยการประดับประดาบ้านและท้องถนนด้วยกิ่งไผ่ และคำขอพรบนกระดาษหลากสี โดยหวังว่าความสุขของคนทั้งสองที่ได้พบกันหลังจากที่รอคอยกันมาหนึ่งปีเต็มจะแผ่มาทำให้ปรารถนาของพวกเขาเป็นจริง
ถึงแม้ทุกวันนี้เราคงไม่สามารถมองเห็นดาวหญิงทอผ้า (Vega) และดาวชายเลี้ยงวัว (Altair) มาพบกันที่บนทางช้างเผือกได้ เนื่องจากแสงนีออนบนท้องถนนได้บดบังแสงอ่อนๆของดวงดาวไปเสียหมด อีกทั้งความปรารถนาของมนุษย์นับวันก็จะยิ่งมากขึ้นทุกที เจ้าหญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวคงไม่สามารถทำให้ความหวังของพวกเราเป็นจริงไปได้ทุกเรื่อง...
ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้นว่าจะสามารถทำให้ความปรารถนาของตัวเราเองเป็นจริงได้หรือไม่ในวันที่ยังมีแรงสู้ต่อ...
แต่บางทีการมีความหวังเล็กๆ มันก็ช่วยเป็นแรงผลักดันได้บางเหมือนกัน... ไม่ใช่เหรอคะ
ต้นไผ่ไม่มี ขอแขวนไว้ตรงโคมไฟริมหน้าต่าง หวังว่าแสงนีออนจากโคมไฟจะทำให้เจ้าหญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวมองเห็นความปรารถนาเล็กๆน้อยๆของเราได้ชัดขึ้น
อย่าทิ้งความหวัง ... จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายนะคะ ^______^
เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 เดินทางมาบรรจบอีกครั้ง
ตำนานกล่าวไว้ว่าชายเลี้ยงวัว และเจ้าหญิงทอผ้าจะเดินทางมาพบกันปีละครั้งที่ทางช้างเผือก
เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 เดินทางมาบรรจบอีกครั้ง
ชาวญี่ปุ่นเฉลิมฉลองการได้พบกันของคู่รักคู่นี้โดยการประดับประดาบ้านและท้องถนนด้วยกิ่งไผ่ และคำขอพรบนกระดาษหลากสี โดยหวังว่าความสุขของคนทั้งสองที่ได้พบกันหลังจากที่รอคอยกันมาหนึ่งปีเต็มจะแผ่มาทำให้ปรารถนาของพวกเขาเป็นจริง
ถึงแม้ทุกวันนี้เราคงไม่สามารถมองเห็นดาวหญิงทอผ้า (Vega) และดาวชายเลี้ยงวัว (Altair) มาพบกันที่บนทางช้างเผือกได้ เนื่องจากแสงนีออนบนท้องถนนได้บดบังแสงอ่อนๆของดวงดาวไปเสียหมด อีกทั้งความปรารถนาของมนุษย์นับวันก็จะยิ่งมากขึ้นทุกที เจ้าหญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวคงไม่สามารถทำให้ความหวังของพวกเราเป็นจริงไปได้ทุกเรื่อง...
ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้นว่าจะสามารถทำให้ความปรารถนาของตัวเราเองเป็นจริงได้หรือไม่ในวันที่ยังมีแรงสู้ต่อ...
แต่บางทีการมีความหวังเล็กๆ มันก็ช่วยเป็นแรงผลักดันได้บางเหมือนกัน... ไม่ใช่เหรอคะ
ต้นไผ่ไม่มี ขอแขวนไว้ตรงโคมไฟริมหน้าต่าง หวังว่าแสงนีออนจากโคมไฟจะทำให้เจ้าหญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวมองเห็นความปรารถนาเล็กๆน้อยๆของเราได้ชัดขึ้น
อย่าทิ้งความหวัง ... จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายนะคะ ^______^
Friday, July 04, 2008
โกลาหลเมื่อของลดราคา
เมื่อวานซืนไปเดินชินจุกุมา
รอมาน๊านนานแล้วว่าเมื่อไหร่ห้างจะ sale
แต่พอไปถึง ... ลมจะจับ
ไม่น่าเชื่อเลยคนคิดเหมือนเราเยอะแยะขนาดนี้ 5555+
ว่าเมืองไทยเวลา Zara ลดราคานี่พนักงานออฟฟิศถึงขั้นโดดงานมาซื้อของจนแถวจ่ายตังค์ยาวไปนอกร้านแล้วนะ
ที่นี่ ... ลืมไป ปกติแม่บ้านไม่ทำงาน เหอๆๆๆ เวลาปกติวันธรรมดาก็คนเยอะได้ เหอๆ
วันนี้เราจะพาไปชมบรรยากาศการลดราคาของโตเกียวกัน
แทบจะเหยียบกันตาย ... คือมันลดแล้วก็ไม่ได้ถูกอะไรขนาดนั้นอ่ะ (แต่ก็คงจะถูกของเค้าล่ะเน๊อะ ค่าครองชีพมันต่างกานนนน)
อ่อ แล้วก็ไม่สงสัยละว่าทำไมคนญี่ปุ่น (ในเมืองละกัน) ไม่ใส่รองเท้าแตะ
เพราะว่าคนมันเยอะ ไม่งั้นคุณอาจโดนเหยียบเท้าเล็บหลุดได้ เหอๆ
นี่หน้าร้่าน...
แถวจ่ายตังค์นะขอบอก
อันนี้หนวกหูมาก ตะโกนแข่งกันเรียกลูกค้าหน้าร้าน
แย่งกันเข้าไปค่ะ
แล้วขอบอกว่า ... เป็นอย่างงี้ทุกร้าน!!!
แต่พอเข้าโซนผู้ชาย ... เงียบเชียว เหอๆ (ลืมถ่ายมาขออภัย)
ปิดท้ายด้วยวีดีโอ...
(ถ่ายได้สั้นเพราะตอนหลังพนักงานมาเตือนว่าห้ามถ่ายรูปในตึก แต่เราก็เอามาลง เหอๆๆ)
น่ากลัวจริงๆ
แต่ก็พอได้ของมาบ้าง เหอๆๆๆๆๆ
หมดตัวตั้วแต่ต้นเดือน T_T
รอมาน๊านนานแล้วว่าเมื่อไหร่ห้างจะ sale
แต่พอไปถึง ... ลมจะจับ
ไม่น่าเชื่อเลยคนคิดเหมือนเราเยอะแยะขนาดนี้ 5555+
ว่าเมืองไทยเวลา Zara ลดราคานี่พนักงานออฟฟิศถึงขั้นโดดงานมาซื้อของจนแถวจ่ายตังค์ยาวไปนอกร้านแล้วนะ
ที่นี่ ... ลืมไป ปกติแม่บ้านไม่ทำงาน เหอๆๆๆ เวลาปกติวันธรรมดาก็คนเยอะได้ เหอๆ
วันนี้เราจะพาไปชมบรรยากาศการลดราคาของโตเกียวกัน
แทบจะเหยียบกันตาย ... คือมันลดแล้วก็ไม่ได้ถูกอะไรขนาดนั้นอ่ะ (แต่ก็คงจะถูกของเค้าล่ะเน๊อะ ค่าครองชีพมันต่างกานนนน)
อ่อ แล้วก็ไม่สงสัยละว่าทำไมคนญี่ปุ่น (ในเมืองละกัน) ไม่ใส่รองเท้าแตะ
เพราะว่าคนมันเยอะ ไม่งั้นคุณอาจโดนเหยียบเท้าเล็บหลุดได้ เหอๆ
นี่หน้าร้่าน...
แถวจ่ายตังค์นะขอบอก
อันนี้หนวกหูมาก ตะโกนแข่งกันเรียกลูกค้าหน้าร้าน
แย่งกันเข้าไปค่ะ
แล้วขอบอกว่า ... เป็นอย่างงี้ทุกร้าน!!!
แต่พอเข้าโซนผู้ชาย ... เงียบเชียว เหอๆ (ลืมถ่ายมาขออภัย)
ปิดท้ายด้วยวีดีโอ...
(ถ่ายได้สั้นเพราะตอนหลังพนักงานมาเตือนว่าห้ามถ่ายรูปในตึก แต่เราก็เอามาลง เหอๆๆ)
น่ากลัวจริงๆ
แต่ก็พอได้ของมาบ้าง เหอๆๆๆๆๆ
หมดตัวตั้วแต่ต้นเดือน T_T
Tuesday, July 01, 2008
ว่าด้วยอาการแพ้...
พอดีมีเพื่อนคนนึงเพิ่งจะมาญี่ปุ่น แ้ล้วเห็นว่าแพ้นู่นนี่เยอะมาก
แพ้จนอาจารย์สงสัยว่า ญี่ปุ่นอากาศดีกว่าเมืองไทยตั้งเยอะ แพ้ได้ไงมากมายขนาดนี้
แต่เราว่าไม่แปลกนะ...
ตั้งแต่เราเกิดมานี่เราแำ้พ้หลายอย่างมาก จะกลายเป็นคนขี้แพ้อยู่แล้ว เหอๆ
จำได้ว่าเริ่มอาการที่รู้สึกว่าแพ้เนี่ย ตอนป.4 นั่งรถตู้ของโรงเรียนไปที่ออฟฟิศแม่
อากาศร้อนเลยเปิดหน้าต่างรถตู้ให้ลมโกรกหน้า .... แล้วขอบอกว่าคืนนั้น รู้สึกคันมากๆ เลยเดินไปส่องกระจก
ตกใจมาก!!!! นึกว่าผีหลอก
เฮ้ย! ทำหน้าหน้าตู (ตอนนั้นอาจจะเป็นแบบ ทำไมหน้าหนู เด็กไม่พูดหยาบค่ะ เหอๆ) มันบวมๆไปหมดเลย
แล้วก็คิดว่า เออ คงฝันมั้งแล้วก็ไปนอนต่อ ... ตื่นมาก็หาย
ตอนนั้นทำให้ีรู้ตัวเองว่าคงแพ้ฝุ่น เพราะหลังจากนั้นพอห้องนอนเริ่มมีฝุ่นเยอะก็จะมีลมพิษขึ้นที่แขนทุกครั้ง
กลายเป็นคนรักความสะอาดไปเลยทันที เหอๆ
แพ้อีกอย่างจำได้ว่าเกิดขึ้นตอน ป.5
ตอนนั้นไปกินอาหารญี่ปุ่นที่เวิร์ลดเทรด (ตอนนั้นยังเป็นเวิร์ลดเทรดอยู่) กับที่บ้าน
ตอนนั้นจำได้ว่าอาหารผิดปกติที่กินคือปลาดิบ และปลาหมึกดิบ
กลับมาบ้านลมพิษขึ้นเต็มไปหมดเลย เยอะมากวันนั้นยังไงก็ไม่หายต้องไปโรงพยาบาล
เลยสันนิษฐานว่าเราต้องแพ้ปลาดิบแน่เลย ชิชะแพ้ของแพง
ทำให้ไม่กินปลาดิบอีกเลย จนกระทั่งรู้ตัวว่าต้องมาอยู่ญี่ปุ่นปีนึง (ผ่านไปเป็นสิบปีอ่ะนะ) เลยลองหัดดู
อ่าว... ก็ไม่แพ้หนิ เอ๊ะ แล้วตอนนั้นเราแพ้อะไรหว่า
ตอนที่มาอยู่โตเกียวได้แรกๆ มีวันนึงจำได้ว่าไปซื้อปลาหมึุกเทมปุระจากซูเปอร์มากิน
เช้ามาลมพิษขึ้นเต็มขาเลยน่ากลัวมาก ... เลย อ่ออออ เราแพ้ปลาหมึกนี่เอง
แต่ทุกวันนี้ก็ยังกินปลาหมึกอยู่นะ ก็แบบว่าชอบ เหอๆ
แพ้นิดๆหน่อยๆ ไม่เป็นไรม๊างงงงงงง
อาการแำ้พ้นี่เราว่าเป็นเรื่องปกตินะ
โดยเฉพาะตอนไหนที่เราเปลี่ยนสถานที่ที่อยู่เป็นที่ใหม่
อย่างที่เพื่อนเราเป็นน่ะ ตั้งแต่มาญี่ปุ่นก็แพ้นั่นนี่ไปหมด
จริงๆไม่เกี่ยวนะว่าญี่ปุ่นอากาศดีกว่าเมืองไทย ไม่น่าจะแพ้
เพราะเมื่อไหร่ที่เราเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง
จากสิ่งที่เคยชินทำมันอยู่ทุกวัน เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ไม่เคยชิน
ก็ไม่แปลกที่ร่างกายของเราจะปรับตัวไปกับสภาพใหม่ๆไม่ได้
จิตใจก็เหมือนกัน ...
เปลี่ยนจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้ร่างกายแพ้ เป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
สิ่งนั้นก็ทำให้จิตใจแพ้ได้เหมือนกัน
เมื่อสถานการณ์กลับตัวโดยฉับพลัน จิตใจของคนเราก็คงไม่เข้มแข็งพอที่จะปรับให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆได้
เลยมีคนกำหนดคำว่า "แพ้ใจ" ขึ้น
สำหรับเรา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ นอกจากร่างกายจะแพ้ง่ายแล้ว
จิตใจก็ยังขี้แพ้ไปด้วย
ไม่ว่าจะเปลี่ยนสถานที่ไปกี่ครั้งแล้วก็ตาม ไอ้จิตใจที่ขี้แพ้ก็ยังดำรงอยู่
แต่ก็เหมือนกับอาการแพ้ของร่างกาย วันไหนเราดื้อยอมสู้กับสิ่งที่เราแพ้ไปเรื่อยๆ
เหมือนแบบแพ้ปลาหมึก แต่ตูก็ยังกินปลาหมึกอยู่ ก็มีอยู่สองทาง ไม่ตาย ก็หายขาด
ก็ในเมื่อความสุขของเราคือการได้กินปลาหมึกหนิ จะให้เิลิกกินปลาหมึกคงทนไม่ได้
คนเรานี่ก็แปลกเน๊อะ รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราแพ้ แต่เราก็ยังฝืนต่อสู้กับมัน
ทุกวันนี้อาการแพ้เนื่องจากปลาหมึกก็ดีขึ้น จนไม่รู้ว่าหายขาดแล้วหรือยัง
ส่วนจิตใจขี้แพ้นั้น หลังจากดื้อดึงต่้อสู้กับมันมานาน
จริงๆแล้วก็ยังไม่รู้ว่าหายขาดแล้วหรือยัง แต่ก็เหมือนกับว่าจิตใจจะสร้างภูมิต้านทานออกมาต่อสู้กับสิ่งที่ทำให้แพ้ได้มากขึ้น
ไม่ใช่แค่ร่่างกายที่เข้มแข็งขึ้นเมื่อเราตั้งใจจะต่อสู้่กับอาการแพ้ของตัวเอง
แต่จิตใจก็เข้มแข็งไปด้วยเมื่อปฏิบัติกับมันอย่างเดียวกัน
และเราคิดว่าเมื่อต่อสู้กับมันไปเรื่อยๆอย่างไม่ท้อถอย
สักวันนึงสิ่งที่เราแพ้ อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรา "ชนะ" ก็ได้นะ
ถ้าไม่ "แพ้ภัยตัวเอง" ไปซะก่อน -_-"
แพ้จนอาจารย์สงสัยว่า ญี่ปุ่นอากาศดีกว่าเมืองไทยตั้งเยอะ แพ้ได้ไงมากมายขนาดนี้
แต่เราว่าไม่แปลกนะ...
ตั้งแต่เราเกิดมานี่เราแำ้พ้หลายอย่างมาก จะกลายเป็นคนขี้แพ้อยู่แล้ว เหอๆ
จำได้ว่าเริ่มอาการที่รู้สึกว่าแพ้เนี่ย ตอนป.4 นั่งรถตู้ของโรงเรียนไปที่ออฟฟิศแม่
อากาศร้อนเลยเปิดหน้าต่างรถตู้ให้ลมโกรกหน้า .... แล้วขอบอกว่าคืนนั้น รู้สึกคันมากๆ เลยเดินไปส่องกระจก
ตกใจมาก!!!! นึกว่าผีหลอก
เฮ้ย! ทำหน้าหน้าตู (ตอนนั้นอาจจะเป็นแบบ ทำไมหน้าหนู เด็กไม่พูดหยาบค่ะ เหอๆ) มันบวมๆไปหมดเลย
แล้วก็คิดว่า เออ คงฝันมั้งแล้วก็ไปนอนต่อ ... ตื่นมาก็หาย
ตอนนั้นทำให้ีรู้ตัวเองว่าคงแพ้ฝุ่น เพราะหลังจากนั้นพอห้องนอนเริ่มมีฝุ่นเยอะก็จะมีลมพิษขึ้นที่แขนทุกครั้ง
กลายเป็นคนรักความสะอาดไปเลยทันที เหอๆ
แพ้อีกอย่างจำได้ว่าเกิดขึ้นตอน ป.5
ตอนนั้นไปกินอาหารญี่ปุ่นที่เวิร์ลดเทรด (ตอนนั้นยังเป็นเวิร์ลดเทรดอยู่) กับที่บ้าน
ตอนนั้นจำได้ว่าอาหารผิดปกติที่กินคือปลาดิบ และปลาหมึกดิบ
กลับมาบ้านลมพิษขึ้นเต็มไปหมดเลย เยอะมากวันนั้นยังไงก็ไม่หายต้องไปโรงพยาบาล
เลยสันนิษฐานว่าเราต้องแพ้ปลาดิบแน่เลย ชิชะแพ้ของแพง
ทำให้ไม่กินปลาดิบอีกเลย จนกระทั่งรู้ตัวว่าต้องมาอยู่ญี่ปุ่นปีนึง (ผ่านไปเป็นสิบปีอ่ะนะ) เลยลองหัดดู
อ่าว... ก็ไม่แพ้หนิ เอ๊ะ แล้วตอนนั้นเราแพ้อะไรหว่า
ตอนที่มาอยู่โตเกียวได้แรกๆ มีวันนึงจำได้ว่าไปซื้อปลาหมึุกเทมปุระจากซูเปอร์มากิน
เช้ามาลมพิษขึ้นเต็มขาเลยน่ากลัวมาก ... เลย อ่ออออ เราแพ้ปลาหมึกนี่เอง
แต่ทุกวันนี้ก็ยังกินปลาหมึกอยู่นะ ก็แบบว่าชอบ เหอๆ
แพ้นิดๆหน่อยๆ ไม่เป็นไรม๊างงงงงงง
อาการแำ้พ้นี่เราว่าเป็นเรื่องปกตินะ
โดยเฉพาะตอนไหนที่เราเปลี่ยนสถานที่ที่อยู่เป็นที่ใหม่
อย่างที่เพื่อนเราเป็นน่ะ ตั้งแต่มาญี่ปุ่นก็แพ้นั่นนี่ไปหมด
จริงๆไม่เกี่ยวนะว่าญี่ปุ่นอากาศดีกว่าเมืองไทย ไม่น่าจะแพ้
เพราะเมื่อไหร่ที่เราเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง
จากสิ่งที่เคยชินทำมันอยู่ทุกวัน เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ไม่เคยชิน
ก็ไม่แปลกที่ร่างกายของเราจะปรับตัวไปกับสภาพใหม่ๆไม่ได้
จิตใจก็เหมือนกัน ...
เปลี่ยนจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้ร่างกายแพ้ เป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
สิ่งนั้นก็ทำให้จิตใจแพ้ได้เหมือนกัน
เมื่อสถานการณ์กลับตัวโดยฉับพลัน จิตใจของคนเราก็คงไม่เข้มแข็งพอที่จะปรับให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆได้
เลยมีคนกำหนดคำว่า "แพ้ใจ" ขึ้น
สำหรับเรา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ นอกจากร่างกายจะแพ้ง่ายแล้ว
จิตใจก็ยังขี้แพ้ไปด้วย
ไม่ว่าจะเปลี่ยนสถานที่ไปกี่ครั้งแล้วก็ตาม ไอ้จิตใจที่ขี้แพ้ก็ยังดำรงอยู่
แต่ก็เหมือนกับอาการแพ้ของร่างกาย วันไหนเราดื้อยอมสู้กับสิ่งที่เราแพ้ไปเรื่อยๆ
เหมือนแบบแพ้ปลาหมึก แต่ตูก็ยังกินปลาหมึกอยู่ ก็มีอยู่สองทาง ไม่ตาย ก็หายขาด
ก็ในเมื่อความสุขของเราคือการได้กินปลาหมึกหนิ จะให้เิลิกกินปลาหมึกคงทนไม่ได้
คนเรานี่ก็แปลกเน๊อะ รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราแพ้ แต่เราก็ยังฝืนต่อสู้กับมัน
ทุกวันนี้อาการแพ้เนื่องจากปลาหมึกก็ดีขึ้น จนไม่รู้ว่าหายขาดแล้วหรือยัง
ส่วนจิตใจขี้แพ้นั้น หลังจากดื้อดึงต่้อสู้กับมันมานาน
จริงๆแล้วก็ยังไม่รู้ว่าหายขาดแล้วหรือยัง แต่ก็เหมือนกับว่าจิตใจจะสร้างภูมิต้านทานออกมาต่อสู้กับสิ่งที่ทำให้แพ้ได้มากขึ้น
ไม่ใช่แค่ร่่างกายที่เข้มแข็งขึ้นเมื่อเราตั้งใจจะต่อสู้่กับอาการแพ้ของตัวเอง
แต่จิตใจก็เข้มแข็งไปด้วยเมื่อปฏิบัติกับมันอย่างเดียวกัน
และเราคิดว่าเมื่อต่อสู้กับมันไปเรื่อยๆอย่างไม่ท้อถอย
สักวันนึงสิ่งที่เราแพ้ อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรา "ชนะ" ก็ได้นะ
ถ้าไม่ "แพ้ภัยตัวเอง" ไปซะก่อน -_-"
Subscribe to:
Posts (Atom)