entry นี้มาอำลามิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน
ตั้งแต่พรุ่งนี้ถึงวันที่ 5 พฤษภาคมจะออกเดินทางอีกครั้ง
คราวนี้เดินทางไกลเสียด้วย
คิดว่าคงจะไม่มีเวลามาอัพเดทบล็อคแน่ๆ เลยมาพอกกล่าวไว้ก่อนเดี๋ยวเห็นเราหายไปนานๆจะสงสัยว่าเลิกเขียนแล้วหรือเปล่า
ม่ายมี๊ม่ายมี ไม่เลิกเขียนนะคะ
เรื่องที่จะมาเขียนเป็นเรื่องต่อไปท่าจะเป็นเรื่องยาว
ส่วนจะไปไหนนั้น คิดว่าหลายๆคนคงรู้แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่รู้
ไม่บอกหรอก หุหุหุหุหุ ต้องรอติดตามตอนต่อไป หุหุหุหุ
อย่าลืมติดตามอ่านกันใหม่เดือนหน้านะคะ (^O^)/~*
Monday, April 23, 2007
Tuesday, April 17, 2007
สวัสดีีปีใหม่ไทย~
สวัสดีจ้า
สงกรานต์ปีนี้หยุดกันหลายวันทีเดียว ไปไหนกันมาบ้างหรือเปล่า
ครอบครัวเราถือว่าเป็นเรื่องปรกติเสียแล้วที่ตอนเทศกาลสงกรานต์จะไปค่อยออกไปไหน
เพราะว่าต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศกรุงเทพฯที่ไม่ต้องมีรถติดตลอดเวลามากวนใจ
เทศกาลสงกรานต์เลยถือว่าเป็นเทศกาลที่มองไปทางไหนก็สบายตาเสียจริง
รวมถึงวันหยุดนานๆก็ยังทำให้โปรแกรมการดูหนังจีนชุดที่ผลัดมานาน
เพราะไม่มีวันหยุดติดต่อกันยาวๆเสียที
อย่าพูดเป็นเล่นไป ดูหนังจีนชุดนี่มันจะหยุดวันสองวันแล้วมาดูไม่ได้นะยะ
แถมเวลาดูหนังจีนต้องดูทั้งบ้าน เราจะหยุดคนเดียวมันก็ไม่ด๊ายยไม่ได้
อ่อ.. จวบจนวันนี้ ได้ทำปณิธานได้ลุล่วงแล้ว นั้นคือดูหนังจีน "เจาะเวลาหาจิ๋นซี" แปดแผ่น (แผ่นละประมาณ 3 ชม.ครึ่ง) จบก่อนที่จะหมดเทศกาล ยิ้บปี้~
ปีนี้ก็เหมือนเคย สงกรานต์ไม่ได้ไปไหน นอกจากไปทำบุญตักบาตร
และเหมือนเคยที่จะต้องไปบ้านคุณยายที่สิงห์บุรี
วันนี้เอาบรรยากาศสงกรานต์ที่ จ.สิงห์บุรีมาฝากเน้อ
ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าของเช้าวันเสาร์ที่ 14 เมษายน
ไปถึงบ้านคุณยายตอนประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ
แล้วก็มุ่งหน้าไปวัดกุฎีทองเลย
จะบอกว่าวัดนี้ก็ใช่จะธรรมดานะคะคุณผู้อ่าน มีปลุกเสกจตุคามรามเทพเสียด้วยยยยย
หลังจากนั้นก็ทำตามประเพณี รดน้ำดำหัวคุณยาย
มื้อเที่ยงไปร้านอาหารริมแม่น้ำชื่อดัง
ร้านนี้ดังมากจริงๆ ไอ้เราก็เคยกินมาตั้งแต่เด็กๆเพราะมันอยู่ห่างกับบ้านคุณยายนิดเดียว ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันดัง ไปๆมาๆเห็นคนพูดถึงเยอะแฮะ
อ่อ..ร้านนี้ชื่อร้านกุ้งเผาทองชุบ เคยได้ยินกันเปล่า
ชื่อร้านตั้งขนาดนี้แล้วเมนูหลักก็คงไม่พลาดที่จะเป็นกุ้งตัวหญ่ายหญ่ายยยย
ขากลับมายังกรุงเทพฯ ก็ผ่านถนนราชดำเนิน เลยเก็บภาพบรรยากาศงานสงกรานต์ที่ดุสุดๆมาฝาก
รูปนี้ตรงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เด็กๆลงไปเล่นน้ำที่พญานาคปล่อยอย่างสนุกสนาน รวมถึงฝรั่งสองคนนี้ได้ทีเห็นน้ำฟรี แกรีบวิดทันทีเมื่อเจอสามล้อ เหอๆๆ
อันนี้ต่อสู้โดยมีเกราะกำบัง
จริงๆแล้วอยากจะเอารูปถนนข้าวสารมาฝาก แต่ตอนนั้นรถมันคล่องตัวอย่างมากถึงแม้จะมีคนเดินตัวเปียกมากองอยู่เต็มถนนไปหมดก็ตาม
เห็นไหมช่วงสงกรานต์นี่ไม่ว่าจะยังไง รถมันไม่ติดจริ๊งจริงงงง
เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของคนกรุงเทพฯนะเนี่ย
อ่อ ถ้าจะถามว่าเราไปสาดน้ำที่ไหนมา
ก็ไม่ได้สาดอ่ะนะ ปีนี้ป่วยต้อนรับสงกรานต์ ถ้ายังแรดออกไปสาดน้ำอีกมีหวังเป็นปอดบวมตายแน่เลย เอิงเอยยย
ปิดท้ายรูปบาดแผลของรถคันงามหลังจากจบเทศกาล เหอๆ
สงกรานต์ปีนี้หยุดกันหลายวันทีเดียว ไปไหนกันมาบ้างหรือเปล่า
ครอบครัวเราถือว่าเป็นเรื่องปรกติเสียแล้วที่ตอนเทศกาลสงกรานต์จะไปค่อยออกไปไหน
เพราะว่าต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศกรุงเทพฯที่ไม่ต้องมีรถติดตลอดเวลามากวนใจ
เทศกาลสงกรานต์เลยถือว่าเป็นเทศกาลที่มองไปทางไหนก็สบายตาเสียจริง
รวมถึงวันหยุดนานๆก็ยังทำให้โปรแกรมการดูหนังจีนชุดที่ผลัดมานาน
เพราะไม่มีวันหยุดติดต่อกันยาวๆเสียที
อย่าพูดเป็นเล่นไป ดูหนังจีนชุดนี่มันจะหยุดวันสองวันแล้วมาดูไม่ได้นะยะ
แถมเวลาดูหนังจีนต้องดูทั้งบ้าน เราจะหยุดคนเดียวมันก็ไม่ด๊ายยไม่ได้
อ่อ.. จวบจนวันนี้ ได้ทำปณิธานได้ลุล่วงแล้ว นั้นคือดูหนังจีน "เจาะเวลาหาจิ๋นซี" แปดแผ่น (แผ่นละประมาณ 3 ชม.ครึ่ง) จบก่อนที่จะหมดเทศกาล ยิ้บปี้~
ปีนี้ก็เหมือนเคย สงกรานต์ไม่ได้ไปไหน นอกจากไปทำบุญตักบาตร
และเหมือนเคยที่จะต้องไปบ้านคุณยายที่สิงห์บุรี
วันนี้เอาบรรยากาศสงกรานต์ที่ จ.สิงห์บุรีมาฝากเน้อ
ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าของเช้าวันเสาร์ที่ 14 เมษายน
ไปถึงบ้านคุณยายตอนประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ
แล้วก็มุ่งหน้าไปวัดกุฎีทองเลย
จะบอกว่าวัดนี้ก็ใช่จะธรรมดานะคะคุณผู้อ่าน มีปลุกเสกจตุคามรามเทพเสียด้วยยยยย
หลังจากนั้นก็ทำตามประเพณี รดน้ำดำหัวคุณยาย
มื้อเที่ยงไปร้านอาหารริมแม่น้ำชื่อดัง
ร้านนี้ดังมากจริงๆ ไอ้เราก็เคยกินมาตั้งแต่เด็กๆเพราะมันอยู่ห่างกับบ้านคุณยายนิดเดียว ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันดัง ไปๆมาๆเห็นคนพูดถึงเยอะแฮะ
อ่อ..ร้านนี้ชื่อร้านกุ้งเผาทองชุบ เคยได้ยินกันเปล่า
ชื่อร้านตั้งขนาดนี้แล้วเมนูหลักก็คงไม่พลาดที่จะเป็นกุ้งตัวหญ่ายหญ่ายยยย
ขากลับมายังกรุงเทพฯ ก็ผ่านถนนราชดำเนิน เลยเก็บภาพบรรยากาศงานสงกรานต์ที่ดุสุดๆมาฝาก
รูปนี้ตรงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เด็กๆลงไปเล่นน้ำที่พญานาคปล่อยอย่างสนุกสนาน รวมถึงฝรั่งสองคนนี้ได้ทีเห็นน้ำฟรี แกรีบวิดทันทีเมื่อเจอสามล้อ เหอๆๆ
อันนี้ต่อสู้โดยมีเกราะกำบัง
จริงๆแล้วอยากจะเอารูปถนนข้าวสารมาฝาก แต่ตอนนั้นรถมันคล่องตัวอย่างมากถึงแม้จะมีคนเดินตัวเปียกมากองอยู่เต็มถนนไปหมดก็ตาม
เห็นไหมช่วงสงกรานต์นี่ไม่ว่าจะยังไง รถมันไม่ติดจริ๊งจริงงงง
เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของคนกรุงเทพฯนะเนี่ย
อ่อ ถ้าจะถามว่าเราไปสาดน้ำที่ไหนมา
ก็ไม่ได้สาดอ่ะนะ ปีนี้ป่วยต้อนรับสงกรานต์ ถ้ายังแรดออกไปสาดน้ำอีกมีหวังเป็นปอดบวมตายแน่เลย เอิงเอยยย
ปิดท้ายรูปบาดแผลของรถคันงามหลังจากจบเทศกาล เหอๆ
Monday, April 09, 2007
ไปอาบแดดรับฤดูร้อนที่เกาะเต่ากันเถอะ
สวัสดีค่ะ
หายหน้าหายตาไปเกือบหนึ่งสัปดาห์โดยที่ไม่ได้บอกได้กล่าวไว้ก่อน
แต่ถ้าช่วงนี้ใครที่เจอเราก็คงจะเดาได้ว่าเราไปไหนมา เหอๆ
เพราะอะไรน่ะเหรอคะ..
เพราะว่าสีผิวมันเปลี่ยนค่าาาาาาาาา~
อ๊ะอ๊ะ อย่าทำหน้าสงสัย คือว่าเราไปทะเลมา ทะเลที่ว่าคือเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกาะเต่านี่เราเคยมาแล้วเมื่อครั้นเพิ่งจบ ม.6 ใหม่ๆ กับเพื่อนๆ กน. เวลาผ่านไปห้าปี ชักจะลืมๆว่ามันเป็นยังไง หุหุ
หน้าร้อนก็ต้องคู่กับทะเลช่ายป่าว ทริปนี้วางแผนประมาณหนึ่งเดือน โดยมีสมาชิกแรกเริ่มสี่คน พอถึงวันจริง ตอนแรกๆก็มีเพิ่มๆลดๆ จนในที่สุดมีสมาชิกทั้งหมดคือ 6 คน คือ เรา อิง เมย์ พี่กิ้น พี่เดือน พี่เบลล์ (พี่เดือนและพี่เบลล์เป็นเพื่อนพี่กิ้นที่ออฟฟิศ โดนลากไปซะงั้น หุหุ)
ออกเดินทางตั้งแต่วันพุธที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา รถออกจากถนนข้าวสารเวลาสามทุ่ม
นอนบนรถทัวร์ทุลักทุเลเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะซัดยาช่วยให้หลับสบายเข้าไปก็ตาม
จากรถทัวร์ เรากับพี่กิ้นก็ขอลงรถก่อนตอนตีสี่ครึ่งที่หน้าโตโยต้าชุมพร เพราะพี่เม่ย (ซึ่งเป็นเพื่อนปะป๊าหม่าม้า) เค้าให้ยืม แล้วก็ไปรับคนอื่นที่ท่าเรือ ที่ไปยืมรถมาเพราะว่าวางแผนจะเที่ยวในจังหวัดชุมพรก่อนซะหนึ่งวัน
อาหารเช้าที่ตัวเมืองชุมพร
แล้วก็ไปไหว้ศาลหลักเมืองชุมพร เราดันไปทำของเค้าเสียด้วยนะ แบบทำกล่องไม้ขีดตกลงในถังน้ำมัน เหอๆๆๆ เปียก จุดไม่ได้อีกเลย เหอๆๆๆๆ (แต่ยังมีคนโก๊ะกว่าเราอีก อย่าให้พูด เดี๋ยวจะหาว่าเผา เหอๆๆๆๆ)
หลังจากนั้นก็ไปดูน้ำสวยทะเลใสที่หาดทุ่งวัวแล่น
สักพัก พอแดดเริ่มร้อนก็ย้ายที่ไปช็อปเสบียงในตลาดในตัวเมืองชุมพร ซื้อกันอย่างไม่บันยะบันยัง เสบียงเยอะมากกกกกกกกกกกกก ตอนซื้อไม่นึกถึงเวลาแบก ๕๕๕๕ กะว่าจะไม่เอาตังค์ไปให้ที่เกาะเลยว่างั้นเหอะ ๕๕๕๕๕
หลังจากนั้นก็ไปไหว้ศาลกรมหลวงชุมพร
มื้อเที่ยงที่ร้านเจ๊อ่างริมทะเล เป็นอาหารมื้อที่อร่อยและคุ้มที่สุดในทริปนี้
จากนั้นก็ขับรถไปที่ท่าเรือลมพระยา จัดเก็บของเตรียมตัวขึ้นเรือไปยังเกาะเต่า พี่เม่ยและพี่ป้อมขับรถมาหาเพื่อเอารถคืนไป ชักภาพไว้เป็นที่ระลึก
ก่อนอื่นขอเสนอทางเดินจากท่าเรือไปยังเรือ.... ตอนเดินนี่ไม่มองจุดหมายเลย ไกลค่อดดดดดดด มองพื้นอย่างเดียว เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
เดินมารวมสิบนาที สัมภาระที่แบกมาร่วมสิบกิโลก็มาถึงเรือซะที
นั่งเรือไวกิ้ง โคลงเคลงๆ อาหารกลางวันเกือบย้อนกลับมาประมาณสองชั่วโมง ก็มาถึงเกาะเต่าแล้ววว เย้
อ๊ะ รูปนี้มีคนเป็นรูปแรก ปกติถ่ายแต่รูปวิว หุหุ นี่คือขณะที่นั่งรถกะบะเข้าไปยังรีสอร์ท
พี่เดือน (เห็นเพียงมุมหน้า) พี่กิ้น เรา และเมย์
และนี่คือภาพที่พักจ้า รีสอร์ทที่พักคือที่เดิมกับที่เคยพักมาเมื่อห้าปีที่แล้ว แต่คนละสาขา อันนี้สาขาสอง
ทุกคนออกไปเล่นน้ำทะเลกัน ส่วนเราก็นั่งเฝ้าของถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และมีภาพวิวพระอาทิตย์ตกในยามเย็นมาฝา่กทุกคนกัน
คืนวันนั้นเข้านอนนด้วยความเหนื่อยอ่อนเนื่องจากแทบจะไม่ได้นอนมาทั้งคืน
เช้าวันต่อมา วันนี้มีโปรแกรมไปดำน้ำกัน เช้ามาก็ขึ้นเรือกันไปร่วมกันเพื่อนร่วมทางชาวต่างชาติอีกหนึ่งกลุ่มใหญ่
เรา อิง เมย์ และพี่เดือนบนเรือที่จะพาเราไปดำน้ำกัน
หลังจากดำน้ำกลับไปประมาณสองสามชั่วโมง ... สีผิวก็เปลี่ยนไปทันที!!!
โอ้วม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เมย์ก็โชว์การเปลี่ยนแปลงของสีผิวเช่นกัน
อิงก็มาร่วมด้วย แต่มองไม่ค่อยจะเห็นเท่าไหร่
ต่อจากนั้นก็ไปเกาะนางยวน โดยมีคุณไกด์ชาวอังกฤษที่มาอยู่เมืองไทยร่วมสิบปีมาอธิบายให้ฟังว่าควรจะไปทางไหน
พวกเราเดินทางขึ้นยังที่สูง เพื่อที่จะไปทัศนาความงามของเกาะนางยวนที่จุดชมวิว โดยการเดินก็เหมือนเดิม คือมองพื้นไม่มองจุดหมาย แฮ่กๆๆๆ
พี่กิ้น พี่เบลล์ และพี่เดือน ไม่ทราบคุยอะไรกันอยู่
อ๊ะถึงแล้ว งามทั้งคนทั้งวิวอ่ะสิ ๕๕๕๕๕
ทุกคนชอบภาพนี้ เราก็เลยชอบด้วย (credit: พี่กิ้น)
หลังจากนั้นก็โบกมือบ๊ายบายเกาะนางยวน กลับไปที่เกาะเต่า แล้วก็พบกับกลุ่มพี่ๆวิดวะที่รู้จักกันโดยบังเอิญ (เรารู้จักสองคน อิงรู้จักหนึ่งคน เหอๆๆ)
วิวยามค่ำคืน
เช้าวันต่อมาไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เป็นวันพักผ่อนของทุกคน ก็เลยออกไปถ่ายรูปกันอย่างหนุกหนาน (credit: พี่กิ้น)
พยายามจะโดดแตะต้นมะพร้าวรูปร่างประหลาดที่อยู่สูงมาก แต่ยังไงก็ไม่ถึงหรอกต้องใช้มุมกล้องช่วย (credit: พี่กิ้น)
เรา เมย์ และอิง
ตกกลางคืน... พี่เบลล์เล่นกีร์ต้า (credit: พี่กิ้น)
พี่กิ้นเทน้ำเขียว น้ำเขียวนะไม่ใช่เหล้า หุหุ (credit: พี่กิ้น)
ส่วนพี่เดือน.. หลับคนแรกเลย (credit: พี่กิ้น)
เช้าวันสุดท้ายตื่นขึ้นมา และอำลาเกาะเต่า (credit: พี่กิ้น)
และเดินทางกลับ กทม. ด้วยสวัสดิภาพจ้าาาา
จบแล้วทริปนี้ สนุกมากค่ะ ขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆทุกคนนะคะ
อิง: ขอบคุณแกมาก ช่วยปล่อยมุขทั้งวันทั้งคืนไม่มีเหน็ดเหนื่อย สร้างเสียงหัวเราะและความกริบในบางครั้วสร้างสีสันให้กับทริปสุดๆ
เมย์: เหรัญญิกประจำทริปจดจำตัวเลขได้หมดทุกเลข ถึงแม้จะทำให้แอบตกใจในตอนท้ายเล็กน้อย แต่ก็ทำงานอย่างไม่มีจุดบกพร่อง แถมได้เงินเกินอีกตะหาก ๕๕๕๕ ขอบคุณนะเมย์
พี่กิ้น: ผู้จัดการทริปตั้งแต่ต้นจนจบ แถมยังเป็นช่างภาพมือดีทำให้เรามีรูปสวยๆมายลอีกตะหาก ขอบคุณนะค๊า
พี่เดือน: พี่สาวคนโตในทริปนี้ พี่เดือนน่ารักมากดูแลน้องๆอย่างดีมาตลอดตั้งแต่วันไปจนวันกลับ ขอบคุณมากคะ
พี่เบลล์: พี่ชายพูดน้อย แต่เวลาร้องเพลงไม่ยักกะร้องน้อย ขอบคุณที่สละมือและเวลามาเล่นกีร์ต้าให้พวกเรา (เอ๊ะ หรือเราคนเดียว คนอื่นไม่เห็นจะได้ร้อง กร๊ากกก) แถมยังสละร่างกายมาให้อิง (และคนอื่นๆอีกเล็กน้อย) แซวตลอดเวลา แต่ไม่ยักโกรธแฮะ ขอบคุณค่าาา
.................................................................................................
สุดท้าย ขอปิดท้ายด้วยข้อคิดเล็กๆน้อยๆที่ได้จากการมาเที่ยวเกาะเต่าในครั้งนี้
สิ่งที่เกาะเต่าในความทรงจำของเราในอดีต กับเกาะเต่าในวันนี้ก็คือความคลาสสิค
เกาะเต่าในวันนี้มันเหลือความคลาสสิคอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ภาพที่เราจะเห็นได้ในทุกวันนี้คือเกาะที่เต็มไปด้วยที่เที่ยวยามราตรี เปิดเพลงแดนซ์ซึ่งเป็นเพลงฝรั่งทั้งสิ้นจนปวดหูน่ารำคาญ เห็นฝรั่งผิวแทนนอนแก้ผ้าอาบแดดเรียงกันยังกะพยูนเกยตื่นเต็มหาดไปหมด แม้กระทั่งห้างร้านต่างๆ หรือเมนูตามร้านอาหารก็ดีก็ไม่มีที่ไหนที่จะเขียนตัวอักษรไทยลงไปด้วยความภูมิใจ
แต่อย่างนั้นก็เถอะ คนไทยกันเองยังมองไม่เห็นความสำคัญของคนไทยด้วยกันเลย เวลากินข้าวมักจะได้อาหารช้ากว่าฝรั่งโต๊ะที่มาช้ากว่าเราเสมอ เราไม่ปฏิเสธที่ว่าฝรั่งที่มาเที่ยวมักจะนำเงินมาหมุนเวียนสร้างรายได้ให้กับคนในเกาะเสมอมา การตกแต่งต่างๆ การให้บริการต่างๆก็เป็นการเอาใจชาวต่างชาติทั้งหมดทั้งสิ้น ตอนกลางคืนเมื่องานเลี้ยงเลิกราก็จะเห็นขวด กระป๋อง ฝาเบียร์ทิ้งเกลื่นกลาดเต็มหาดไปหมด ซึ่งขยะเหล่านั้นเมื่อน้ำขึ้นชายหาดก็จะสะอาดเหมือนเดิม แต่มันจะทำให้เกิดปลกระทบต่อทะเลที่เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำของพวกเรา
ทำให้เราเกิดสงสัยว่านี่มันประเทศอะไรกันแน่?? อีกทั้งยังงงๆว่า ระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาได้เปี่ลนสภาพสถานที่ในความทรงจำของเราไปเป็นสถานที่อื่นไปเสียแล้ว
คนไทยที่เราเห็นในวันนี้ที่เกาะเต่า กลับเป็นคนไทยที่เหลือความภูมิใจในแผ่นดินเกิดน้อยเต็มที แต่กลับเป็นกลุ่มคนที่หลงไหลในอำนาจของเงินตรา และปล่อยให้คนต่างชาติมาทำลายธรรมชาติที่น่าภูมิใจของเรา
ต่อไปจากนี้อีกสิบปี เราไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าภาพที่เราเห็นทุกวันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ แต่หวังว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยเราภาคภูมิใจในตัวของเราเองมากกว่านี้ก็พอ
หายหน้าหายตาไปเกือบหนึ่งสัปดาห์โดยที่ไม่ได้บอกได้กล่าวไว้ก่อน
แต่ถ้าช่วงนี้ใครที่เจอเราก็คงจะเดาได้ว่าเราไปไหนมา เหอๆ
เพราะอะไรน่ะเหรอคะ..
เพราะว่าสีผิวมันเปลี่ยนค่าาาาาาาาา~
อ๊ะอ๊ะ อย่าทำหน้าสงสัย คือว่าเราไปทะเลมา ทะเลที่ว่าคือเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกาะเต่านี่เราเคยมาแล้วเมื่อครั้นเพิ่งจบ ม.6 ใหม่ๆ กับเพื่อนๆ กน. เวลาผ่านไปห้าปี ชักจะลืมๆว่ามันเป็นยังไง หุหุ
หน้าร้อนก็ต้องคู่กับทะเลช่ายป่าว ทริปนี้วางแผนประมาณหนึ่งเดือน โดยมีสมาชิกแรกเริ่มสี่คน พอถึงวันจริง ตอนแรกๆก็มีเพิ่มๆลดๆ จนในที่สุดมีสมาชิกทั้งหมดคือ 6 คน คือ เรา อิง เมย์ พี่กิ้น พี่เดือน พี่เบลล์ (พี่เดือนและพี่เบลล์เป็นเพื่อนพี่กิ้นที่ออฟฟิศ โดนลากไปซะงั้น หุหุ)
ออกเดินทางตั้งแต่วันพุธที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา รถออกจากถนนข้าวสารเวลาสามทุ่ม
นอนบนรถทัวร์ทุลักทุเลเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะซัดยาช่วยให้หลับสบายเข้าไปก็ตาม
จากรถทัวร์ เรากับพี่กิ้นก็ขอลงรถก่อนตอนตีสี่ครึ่งที่หน้าโตโยต้าชุมพร เพราะพี่เม่ย (ซึ่งเป็นเพื่อนปะป๊าหม่าม้า) เค้าให้ยืม แล้วก็ไปรับคนอื่นที่ท่าเรือ ที่ไปยืมรถมาเพราะว่าวางแผนจะเที่ยวในจังหวัดชุมพรก่อนซะหนึ่งวัน
อาหารเช้าที่ตัวเมืองชุมพร
แล้วก็ไปไหว้ศาลหลักเมืองชุมพร เราดันไปทำของเค้าเสียด้วยนะ แบบทำกล่องไม้ขีดตกลงในถังน้ำมัน เหอๆๆๆ เปียก จุดไม่ได้อีกเลย เหอๆๆๆๆ (แต่ยังมีคนโก๊ะกว่าเราอีก อย่าให้พูด เดี๋ยวจะหาว่าเผา เหอๆๆๆๆ)
หลังจากนั้นก็ไปดูน้ำสวยทะเลใสที่หาดทุ่งวัวแล่น
สักพัก พอแดดเริ่มร้อนก็ย้ายที่ไปช็อปเสบียงในตลาดในตัวเมืองชุมพร ซื้อกันอย่างไม่บันยะบันยัง เสบียงเยอะมากกกกกกกกกกกกก ตอนซื้อไม่นึกถึงเวลาแบก ๕๕๕๕ กะว่าจะไม่เอาตังค์ไปให้ที่เกาะเลยว่างั้นเหอะ ๕๕๕๕๕
หลังจากนั้นก็ไปไหว้ศาลกรมหลวงชุมพร
มื้อเที่ยงที่ร้านเจ๊อ่างริมทะเล เป็นอาหารมื้อที่อร่อยและคุ้มที่สุดในทริปนี้
จากนั้นก็ขับรถไปที่ท่าเรือลมพระยา จัดเก็บของเตรียมตัวขึ้นเรือไปยังเกาะเต่า พี่เม่ยและพี่ป้อมขับรถมาหาเพื่อเอารถคืนไป ชักภาพไว้เป็นที่ระลึก
ก่อนอื่นขอเสนอทางเดินจากท่าเรือไปยังเรือ.... ตอนเดินนี่ไม่มองจุดหมายเลย ไกลค่อดดดดดดด มองพื้นอย่างเดียว เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
เดินมารวมสิบนาที สัมภาระที่แบกมาร่วมสิบกิโลก็มาถึงเรือซะที
นั่งเรือไวกิ้ง โคลงเคลงๆ อาหารกลางวันเกือบย้อนกลับมาประมาณสองชั่วโมง ก็มาถึงเกาะเต่าแล้ววว เย้
อ๊ะ รูปนี้มีคนเป็นรูปแรก ปกติถ่ายแต่รูปวิว หุหุ นี่คือขณะที่นั่งรถกะบะเข้าไปยังรีสอร์ท
พี่เดือน (เห็นเพียงมุมหน้า) พี่กิ้น เรา และเมย์
และนี่คือภาพที่พักจ้า รีสอร์ทที่พักคือที่เดิมกับที่เคยพักมาเมื่อห้าปีที่แล้ว แต่คนละสาขา อันนี้สาขาสอง
ทุกคนออกไปเล่นน้ำทะเลกัน ส่วนเราก็นั่งเฝ้าของถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และมีภาพวิวพระอาทิตย์ตกในยามเย็นมาฝา่กทุกคนกัน
คืนวันนั้นเข้านอนนด้วยความเหนื่อยอ่อนเนื่องจากแทบจะไม่ได้นอนมาทั้งคืน
เช้าวันต่อมา วันนี้มีโปรแกรมไปดำน้ำกัน เช้ามาก็ขึ้นเรือกันไปร่วมกันเพื่อนร่วมทางชาวต่างชาติอีกหนึ่งกลุ่มใหญ่
เรา อิง เมย์ และพี่เดือนบนเรือที่จะพาเราไปดำน้ำกัน
หลังจากดำน้ำกลับไปประมาณสองสามชั่วโมง ... สีผิวก็เปลี่ยนไปทันที!!!
โอ้วม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เมย์ก็โชว์การเปลี่ยนแปลงของสีผิวเช่นกัน
อิงก็มาร่วมด้วย แต่มองไม่ค่อยจะเห็นเท่าไหร่
ต่อจากนั้นก็ไปเกาะนางยวน โดยมีคุณไกด์ชาวอังกฤษที่มาอยู่เมืองไทยร่วมสิบปีมาอธิบายให้ฟังว่าควรจะไปทางไหน
พวกเราเดินทางขึ้นยังที่สูง เพื่อที่จะไปทัศนาความงามของเกาะนางยวนที่จุดชมวิว โดยการเดินก็เหมือนเดิม คือมองพื้นไม่มองจุดหมาย แฮ่กๆๆๆ
พี่กิ้น พี่เบลล์ และพี่เดือน ไม่ทราบคุยอะไรกันอยู่
อ๊ะถึงแล้ว งามทั้งคนทั้งวิวอ่ะสิ ๕๕๕๕๕
ทุกคนชอบภาพนี้ เราก็เลยชอบด้วย (credit: พี่กิ้น)
หลังจากนั้นก็โบกมือบ๊ายบายเกาะนางยวน กลับไปที่เกาะเต่า แล้วก็พบกับกลุ่มพี่ๆวิดวะที่รู้จักกันโดยบังเอิญ (เรารู้จักสองคน อิงรู้จักหนึ่งคน เหอๆๆ)
วิวยามค่ำคืน
เช้าวันต่อมาไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เป็นวันพักผ่อนของทุกคน ก็เลยออกไปถ่ายรูปกันอย่างหนุกหนาน (credit: พี่กิ้น)
พยายามจะโดดแตะต้นมะพร้าวรูปร่างประหลาดที่อยู่สูงมาก แต่ยังไงก็ไม่ถึงหรอกต้องใช้มุมกล้องช่วย (credit: พี่กิ้น)
เรา เมย์ และอิง
ตกกลางคืน... พี่เบลล์เล่นกีร์ต้า (credit: พี่กิ้น)
พี่กิ้นเทน้ำเขียว น้ำเขียวนะไม่ใช่เหล้า หุหุ (credit: พี่กิ้น)
ส่วนพี่เดือน.. หลับคนแรกเลย (credit: พี่กิ้น)
เช้าวันสุดท้ายตื่นขึ้นมา และอำลาเกาะเต่า (credit: พี่กิ้น)
และเดินทางกลับ กทม. ด้วยสวัสดิภาพจ้าาาา
จบแล้วทริปนี้ สนุกมากค่ะ ขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆทุกคนนะคะ
อิง: ขอบคุณแกมาก ช่วยปล่อยมุขทั้งวันทั้งคืนไม่มีเหน็ดเหนื่อย สร้างเสียงหัวเราะและความกริบในบางครั้วสร้างสีสันให้กับทริปสุดๆ
เมย์: เหรัญญิกประจำทริปจดจำตัวเลขได้หมดทุกเลข ถึงแม้จะทำให้แอบตกใจในตอนท้ายเล็กน้อย แต่ก็ทำงานอย่างไม่มีจุดบกพร่อง แถมได้เงินเกินอีกตะหาก ๕๕๕๕ ขอบคุณนะเมย์
พี่กิ้น: ผู้จัดการทริปตั้งแต่ต้นจนจบ แถมยังเป็นช่างภาพมือดีทำให้เรามีรูปสวยๆมายลอีกตะหาก ขอบคุณนะค๊า
พี่เดือน: พี่สาวคนโตในทริปนี้ พี่เดือนน่ารักมากดูแลน้องๆอย่างดีมาตลอดตั้งแต่วันไปจนวันกลับ ขอบคุณมากคะ
พี่เบลล์: พี่ชายพูดน้อย แต่เวลาร้องเพลงไม่ยักกะร้องน้อย ขอบคุณที่สละมือและเวลามาเล่นกีร์ต้าให้พวกเรา (เอ๊ะ หรือเราคนเดียว คนอื่นไม่เห็นจะได้ร้อง กร๊ากกก) แถมยังสละร่างกายมาให้อิง (และคนอื่นๆอีกเล็กน้อย) แซวตลอดเวลา แต่ไม่ยักโกรธแฮะ ขอบคุณค่าาา
.................................................................................................
สุดท้าย ขอปิดท้ายด้วยข้อคิดเล็กๆน้อยๆที่ได้จากการมาเที่ยวเกาะเต่าในครั้งนี้
สิ่งที่เกาะเต่าในความทรงจำของเราในอดีต กับเกาะเต่าในวันนี้ก็คือความคลาสสิค
เกาะเต่าในวันนี้มันเหลือความคลาสสิคอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ภาพที่เราจะเห็นได้ในทุกวันนี้คือเกาะที่เต็มไปด้วยที่เที่ยวยามราตรี เปิดเพลงแดนซ์ซึ่งเป็นเพลงฝรั่งทั้งสิ้นจนปวดหูน่ารำคาญ เห็นฝรั่งผิวแทนนอนแก้ผ้าอาบแดดเรียงกันยังกะพยูนเกยตื่นเต็มหาดไปหมด แม้กระทั่งห้างร้านต่างๆ หรือเมนูตามร้านอาหารก็ดีก็ไม่มีที่ไหนที่จะเขียนตัวอักษรไทยลงไปด้วยความภูมิใจ
แต่อย่างนั้นก็เถอะ คนไทยกันเองยังมองไม่เห็นความสำคัญของคนไทยด้วยกันเลย เวลากินข้าวมักจะได้อาหารช้ากว่าฝรั่งโต๊ะที่มาช้ากว่าเราเสมอ เราไม่ปฏิเสธที่ว่าฝรั่งที่มาเที่ยวมักจะนำเงินมาหมุนเวียนสร้างรายได้ให้กับคนในเกาะเสมอมา การตกแต่งต่างๆ การให้บริการต่างๆก็เป็นการเอาใจชาวต่างชาติทั้งหมดทั้งสิ้น ตอนกลางคืนเมื่องานเลี้ยงเลิกราก็จะเห็นขวด กระป๋อง ฝาเบียร์ทิ้งเกลื่นกลาดเต็มหาดไปหมด ซึ่งขยะเหล่านั้นเมื่อน้ำขึ้นชายหาดก็จะสะอาดเหมือนเดิม แต่มันจะทำให้เกิดปลกระทบต่อทะเลที่เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำของพวกเรา
ทำให้เราเกิดสงสัยว่านี่มันประเทศอะไรกันแน่?? อีกทั้งยังงงๆว่า ระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาได้เปี่ลนสภาพสถานที่ในความทรงจำของเราไปเป็นสถานที่อื่นไปเสียแล้ว
คนไทยที่เราเห็นในวันนี้ที่เกาะเต่า กลับเป็นคนไทยที่เหลือความภูมิใจในแผ่นดินเกิดน้อยเต็มที แต่กลับเป็นกลุ่มคนที่หลงไหลในอำนาจของเงินตรา และปล่อยให้คนต่างชาติมาทำลายธรรมชาติที่น่าภูมิใจของเรา
ต่อไปจากนี้อีกสิบปี เราไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าภาพที่เราเห็นทุกวันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ แต่หวังว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยเราภาคภูมิใจในตัวของเราเองมากกว่านี้ก็พอ
Wednesday, April 04, 2007
อำลาอาลัย ตึกอักษรศาสตร์ ๔
วันนี้ตึกอักษรศาสตร์ ๔ ถูกทุบไปแล้วค่ะ เพื่อจะสร้างตึกใหม่ให้กับคณะอักษรศาสตร์ชื่อ "มหาจักรีสิรินทร"
วันนี้นำภาพสุดท้ายของตึกอักษรศาสตร์ ๔ มาฝากค่ะ เพราะว่าต่อไปภาพนี้ก็จะกลายเป็นภาพแห่งความทรงจำไปเสียแล้ว
เราเคยเรียนไปเรียนที่ตึกอักษรศาสตร์ ๔ เหมือนกัน จำได้ว่าตอนปี 2 เรียนวิชาเลือกคือวิชาอารยธรรม ตอนปี 3 - 4 ก็มาเรียนวิชาภาษาเวียดนามที่ห้อง sound lab ในตึกนี้ แถมมาดูละครอักษรฯที่ตึกนี้หลายครั้ง เพราะว่าตึกนี้มีโรงละครด้วยนะ อ่อ อีกอย่างคือห้องน้ำสะอาด แอบมาเข้าบ่อยๆ ฮ่าๆๆๆ
ก็นับได้ว่าเราก็มีความทรงจำกับตึกนี้บ้างเหมือนกันนะเนี่ย ถึงแม้จะไม่ใช่สาวอักษรฯก็ตาม ^^
Monday, April 02, 2007
อ่ะหือ งานสัปดาห์หนังสือนี่มันฮิตเจรงๆ
พาไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือมาแล้วหนึ่งครั้งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
งานนี้ก็ออกจะเหมือนเดิม เราก็เดินทางด้วยความเร็วสูงเช่นเคย ไปรองานมันเปิดเลยว่างั้นเหอะ แล้วก็แวะเข้าเฉพาะบูธที่ต้องการดู
เข้างาน 10 โมง ออกจากงาน 11 โมงครึ่งเร็วไหมล่ะ เหอๆ คือคนยังไม่ทันจะตั้งตัวเตรียมพร้อมจะมาเลย ชั้นก็เดินเสร็จละ ตรงที่ซื้อตั๋วรถใต้ดินยังไม่มีคนต่อเลย สงสัยจะออกจากงานคนแรก หุหุหุ
วันนี้เลยจะพาดูบรรยากาศคร่าวๆ เพราะส่วนใหญ่ก็เหมือนเดิมอ่ะนะ
ถึงแล้วงานหนังสือ
นี่แล้วจะพาไปดูคลื่นมหาชนที่มายืนรองานเปิด
ให้ดูอีกมุม
นี่ขนาดรีบมานะเนี่ย เหอๆๆๆ
ส่วนอันนี้.. เห็นแล้วอดขำไม่ได้ 5555
รู้กันใช่ไหมว่าการ์ตูน Y คืออะไร เหอๆๆๆ
ปิดท้ายด้วยหนังสือที่ซื้อมาในเวลา 1 ชม.ครึ่ง
1. วุ่นรักนักดนตรี (Nodame Cantabile) เล่ม 1-6
2. Death Note เล่ม 1-12 (อยากได้กล่องด้วย แต่กล่องหมด กร๊าาาาา~ ทุรนทุราย)
3. ตำหรับขนมไทย (สำนักพิมพ์แสงแดด)
4. Tales of the Otori ตอน สิ้นเสียงปักษา (ลิอัน เฮิร์น) อันนี้เล่ม 1-3 ยังไม่ได้อ่านเลย แต่ซื้อมาดองไว้ 555
5. ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว (A history of the world in 6 glasses - Tom Standage)
6. ความปวดร้าวอันงดงาม (Jimmy Liao)
ึ7. เดียวดายในความอ้างว้าง (Jimmy Liao)
8. อัศจรรย์พลันสลาย (Jimmy Liao)
9. เมื่อปาฏิหาริย์เลือนหาย (Jimmy Liao)
10. ดอกไม้แห่งความรักผลิบานแล้ว (Jimmy Liao)
11. โลกเหงาของหินสีฟ้า (Jimmy Liao)
12. Introduction หลังสตรีนิยม (โซเฟีย โพคา และ รีเบคก้า ไรท์ - เขียน)
13. ควายบิน (วินทร์ เลียววาริณ)
14. The Bear Wish Project (เดปป์ นนทเขตคาม)
งานนี้ก็ออกจะเหมือนเดิม เราก็เดินทางด้วยความเร็วสูงเช่นเคย ไปรองานมันเปิดเลยว่างั้นเหอะ แล้วก็แวะเข้าเฉพาะบูธที่ต้องการดู
เข้างาน 10 โมง ออกจากงาน 11 โมงครึ่งเร็วไหมล่ะ เหอๆ คือคนยังไม่ทันจะตั้งตัวเตรียมพร้อมจะมาเลย ชั้นก็เดินเสร็จละ ตรงที่ซื้อตั๋วรถใต้ดินยังไม่มีคนต่อเลย สงสัยจะออกจากงานคนแรก หุหุหุ
วันนี้เลยจะพาดูบรรยากาศคร่าวๆ เพราะส่วนใหญ่ก็เหมือนเดิมอ่ะนะ
ถึงแล้วงานหนังสือ
นี่แล้วจะพาไปดูคลื่นมหาชนที่มายืนรองานเปิด
ให้ดูอีกมุม
นี่ขนาดรีบมานะเนี่ย เหอๆๆๆ
ส่วนอันนี้.. เห็นแล้วอดขำไม่ได้ 5555
รู้กันใช่ไหมว่าการ์ตูน Y คืออะไร เหอๆๆๆ
ปิดท้ายด้วยหนังสือที่ซื้อมาในเวลา 1 ชม.ครึ่ง
1. วุ่นรักนักดนตรี (Nodame Cantabile) เล่ม 1-6
2. Death Note เล่ม 1-12 (อยากได้กล่องด้วย แต่กล่องหมด กร๊าาาาา~ ทุรนทุราย)
3. ตำหรับขนมไทย (สำนักพิมพ์แสงแดด)
4. Tales of the Otori ตอน สิ้นเสียงปักษา (ลิอัน เฮิร์น) อันนี้เล่ม 1-3 ยังไม่ได้อ่านเลย แต่ซื้อมาดองไว้ 555
5. ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว (A history of the world in 6 glasses - Tom Standage)
6. ความปวดร้าวอันงดงาม (Jimmy Liao)
ึ7. เดียวดายในความอ้างว้าง (Jimmy Liao)
8. อัศจรรย์พลันสลาย (Jimmy Liao)
9. เมื่อปาฏิหาริย์เลือนหาย (Jimmy Liao)
10. ดอกไม้แห่งความรักผลิบานแล้ว (Jimmy Liao)
11. โลกเหงาของหินสีฟ้า (Jimmy Liao)
12. Introduction หลังสตรีนิยม (โซเฟีย โพคา และ รีเบคก้า ไรท์ - เขียน)
13. ควายบิน (วินทร์ เลียววาริณ)
14. The Bear Wish Project (เดปป์ นนทเขตคาม)
Subscribe to:
Posts (Atom)