ไปเลียนแบบเพื่อนกิ๊ฟท์มา เลยเอามาลงให้ดูกัน แหม..หน้าเหมือนดาราเกาหลีเหมือนกันนะเรา ฮ่าๆๆ
My cool celebrity look-alike collage from MyHeritage.com. Get one for yourself.
Thursday, March 29, 2007
Kamen Rider Kabuto Hell ซับไทย ไม่ดูไม่ได้แล้วววว
คนทำมันเนียนมากอ่ะ คิดได้ไงเนี่ยยยยยย
Monday, March 26, 2007
๙๐ ปี ดำรงไว้ซึ่งศักดิ์และสิทธิ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครบรอบ ๙๐ ปีแล้ววันนี้ค่ะ
คลิ๊กที่นี่เพื่ออ่านประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ
ณ โอกาสนี้จึงขออัญเชิญบทเพลงประราชนิพนธ์ "มหาจุฬาลงกรณ์" มาฝากทุกท่านค่ะ
น้ำใจน้องพี่สีชมพู
ทุกคนไม่รู้ลืมบูชา
พระคุณของแหล่งเรียนมา
จุฬาลงกรณ์
ขอทูนขอเทิดพระนามไท
พระคุณแนบไว้นิรันดร
ขององค์พระเอื้ออาทร
หลั่งพรคุ้มครอง
นิสิตพร้อมหน้า
สัญญาประคอง
ความดีทุกอย่างต่างปอง
ผยองพระเกียรติเกริกไกร
ขอตราพระเกี้ยวยั้งยืนยง
นิสิตประสงค์เป็นธงชัย
ถาวรยศอยู่คู่ไทย
เชิดชัยชโย
Wednesday, March 21, 2007
ทดสอบทักษะภาษาญี่ปุ่น .. โดยการพาคนญี่ปุ่นไปเที่ยว
หายไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม จริงๆแล้วเหนื่อยมาก
อากาศร้อนเหลือเกิน รายงานก็ยังไม่เสร็จ แถมต้องไล่ตามอาจารย์อีก
เหนื่อยจัดๆ ... พอมาตอนนี้เพื่อนคนญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทย
ก็ไม่พ้นเราที่จะต้องพาไปเที่ยว เหอๆ
เพื่อนที่มาวันนี้ เคยบอกไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ญี่ปุ่นแล้วว่าจะมาเที่ยว
คือจริงๆแล้วก็เตรียมใจไว้นานละ แต่เรื่องที่ยังไม่ทันจะเตรียมใจไว้เลยคืออากาศนั่นเอง
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาเลยได้โอกาสพาเพื่อนที่เพิ่งเดินทางมาจากญี่ปุ่นที่มีอากาศหนาวเหน็บเดินฝ่าอากาศร้อนในเมืองไทยซะเลย เหอๆ
เริ่มด้วยไปตลาดนัดจตุจักรกันก่อน
คาซึอากิ (แฟนเพื่อน) เรา และคานาเมะจังที่ร้านเฉาก๊วยยอดฮิตที่จตุจักร
ตอนคิดเงินเค้าแอบงงๆ คือเราบอกว่า 45 บาท เค้านึกว่าถ้วยละ 45 แต่จริงๆแล้วมันถ้วยละ 15 ไง เออ ถ้วยละ 15 เราก็ว่าแพงแล้วนะ ฮ่าๆๆๆ
ไปช็อปปิ้ง จริงๆแล้วมีร้านขายของถูกใจเราเยอะแยะเลย แต่เราไม่ได้อะไรกลับมาเลย แอบเสียดาย คือว่าต้องพาเพื่อนเดินไงจะมัวแต่ไปซื้อของให้ตัวเองมันก็จะยังไงอยู่
ปิดท้ายด้วยการหลอกคนญี่ปุ่นไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ด เหอๆ
จริงๆแล้วจะพาไปกินส้มตำ แต่เห็นเค้าบอกว่าไม่ชอบอาหารเผ็ด บวกกับหาร้านส้มตำไม่เจอ (พาเค้าหลงอย่างแรงขอบอก คือเราเดินเองเราก็เดินแค่โซนเดียวอ่ะ อันนี้มันต้องตะลุยไปทุกซอยเลย เป็นงงล่ะตู)
วันต่อมาจริงๆแล้วต้องพาเค้าไปอยุธยา แต่เราไม่ไหวแล้วหมดสภาพ (ขนาดคนไทยนะ เจออากาศร้อนยังตายเลย เค้าบอกว่านึกว่าคนไทยจะไม่ร้อนซะอีก เหอๆๆ) แถมต้องปั่นรายงานต่ออีกเลยให้เค้าไปเอง ซาโยนาระ~
แก้ตัวด้วยการพาเที่ยว กทม. ในวันต่อมา
พาขึ้นเรือจากท่าน้ำสาทร ตรงสะพานตากสินอ่ะ
แล้วก็ไปลงที่ท่าเตียนเพื่อไปกินข้าว ตอนแรกกะว่าจะไปกินร้านประจำ แต่ร้านนั้นดันเปิดตอนเย็น
เลยได้กินอะไรไม่รู้แถวนั้นอ่ะ ก็ไม่ค่อยอร่อยหรอก ผิดเป้าหมายไปหน่อย แต่ก็นะพอรับได้
อันนี้พยายามจะถ่ายรูปเพื่อให้เห็นวัดอรุณด้วย แต่แอบหงุดหงิดคือมันย้อนแสงอ่ะต้องเลือกเห็นหน้าคน หรือไม่ก็เห็นวัด เลยเอามาให้ดูทั้งสองเวอร์ชั่น เหอๆ
เวอร์ชั่นแรก แบบเห็นวัด ไม่เห็นคน
เวอร์ชั่นสอง เห็นคน ไม่เห็นวัด
อ่อ ลืมบอกไปว่าวันนี้ลาดพี่โอ้คมาด้วย ฮ่าๆๆๆ ลากสุดฤทธิ์เลยนะ คือเรากลัวหลงอ่ะ
มาวัดพระแก้วครั้งล่าสุด อืม ... ประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว เหอๆ
ตื๊อพี่โอ้คตั้งแต่กลางคืนถึงเช้า โทรไปปลุกอีกตะหาก หึหึหึหึ
กราบขอบพระคุณะี่โอ้คเป็นอย่างสูงค่ะ (-/I\-)
ถึงแล้ววัดพระแก้ว เพิ่งจะรู้ว่าคนไทยเข้าฟรี คนต่างชาติเสีย 250 เหอๆ
เพื่อนมีบ่นอ่ะ แต่ก็นะ..ถ้าให้คนไทยจ่ายแพงเยี่ยงนั้น ใึครมานจาปายหว่าาา
รูปนี้วานให้คานาเมะจังถ่ายให้ เธอแอบถ่ายยักษ์ชฎาขาด เหอๆ
จำได้ว่าเคยถ่ายกับกินรีตอนเด็กๆ (เป็นความทรงจำหนึ่งในสองอย่างเกี่ยวกับวัดพระแก้ว เพราะมันมีรูปอยู่ อีกเรื่องนึงคือจำได้ว่าขึ้นไปเหยียบธรณีประตู แล้วแม่บอกว่าเค้าไม่ให้เหยียบนะลูก ลงมารู้สึกผิดร้องไห้ใหญ่เลย ฮ่าๆๆๆ) เลยขอถ่ายกับมุมเดิมหน่อย
แหน่ะ.. เมื่อกี้ไปคุ้ยรูปเจอรูปตอนเด็กๆพอดี เอามาแปะด้วยเลยดีกว่า น่ารักอ่ะดิ
รูปนี้อนุบาลสามแน่นอนอ่ะ เพราะเป็นช่วงเดียวในชีวิตที่ตัดผมสั้นทรงนี้ เหอๆ
ตัวนี้ชอบมาก เรียกว่าไรนะ มารแบกเจดียร์ หรืออะไรซะอย่างอ่ะ
คาซึอากิแอบทำท่าเลียนแบบ แต่เราไม่ได้เก็บภาพมาฝาก มัวแต่ถ่ายอย่างอื่นอยู่ เหอๆ
จิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ (สะกดถูกป่าวหว่า)
พระแก้วมรกต ห้ามถ่ายรูปข้างใน เลยแอบซูมจากข้างนอก คุณภาพภาพห่วยแตกบรม เหอๆ
ต่อมาเดินข้ามฝั่งมาทางวังบ้าง พระที่นั่งจักรี
มาถึงตอนนี้เจอไกด์ญี่ปุ่นพอดี เลยให้เพื่อนทำเนียนแอบไปฟังด้วย เหอๆ
ได้ข้อมูลมาบ้างเล็กน้อย ตรงส่วนนี้เป็นที่ทรงช้างนะเธอ
ออกมาจากวัดพระแก้ว เดินกลับมาทางท่าเตียน แอบถ่ายรูปชุมชนที่ตั้งแผงลอยขายของแถวนั้น
แล้วของนี่แบบ เหมือนหยิบอะไรออกมาจากบ้านได้ก็เอามาขายอะ่ มีสารพัด เหอๆ
มาถึงวัดโพธิ์ มาไว้พระนอนก่อน ใหญ่มากถ่ายเก็บแทบไม่หมด
อันนี้งง ใครรู้บ้าง ... ทำไมต้องมีฝรั่งง่ะ
อันนี้ยอดฮิต ฤาษีดัดตน
ท่านี้ท่าจะฮิตแฮะ .. ทำไมต้องแบก หนักป่าวอ่ะ
ปิดท้ายด้วยรูปรวมก่อนที่จะแยกกัน ปล่อยให้เค้าไปนวดที่วัดโพธิ์ แอบขำหลวงพี่ที่บอกทางเล็กน้อยนึกว่าเราเป็นคนญี่ปุ่น พอเราพูดไทยถามว่าพูดไทยได้ด้วยเหรอ เหอๆ
จบไปสองวันกับการเป็นไกด์จำเป็น โอยเหนื่อยเหลือเกิน เมื่อคืนเลยเข้านอนตั้งแต่เที่ยงคืน (ไม่ได้นอนเที่ยงคืนมานานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คือว่าหัวค่ำไปว่างั้นเหอะ เหอๆ)
ทริปนี้พัฒนาความสามารถภาษาญี่ปุ่นไปได้อีกระดับหนึ่ง เพราะว่าพูดภาษาญี่ปุ่นกะเค้าร้อยเปอร์เซนต์
แถมพัฒนาสำเนียงคันไซมาอีกตะหาก คือแฟนเพื่อนนี่พูดแต่ภาษาคันไซ เหอๆ แรกๆก็ฟังไม่ค่อยออก ไปๆมาๆฟังออกซะงั้น นี่ขนาดไปอยู่โอซาก้ามานะ เหอๆๆๆ
อากาศร้อนเหลือเกิน รายงานก็ยังไม่เสร็จ แถมต้องไล่ตามอาจารย์อีก
เหนื่อยจัดๆ ... พอมาตอนนี้เพื่อนคนญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทย
ก็ไม่พ้นเราที่จะต้องพาไปเที่ยว เหอๆ
เพื่อนที่มาวันนี้ เคยบอกไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ญี่ปุ่นแล้วว่าจะมาเที่ยว
คือจริงๆแล้วก็เตรียมใจไว้นานละ แต่เรื่องที่ยังไม่ทันจะเตรียมใจไว้เลยคืออากาศนั่นเอง
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาเลยได้โอกาสพาเพื่อนที่เพิ่งเดินทางมาจากญี่ปุ่นที่มีอากาศหนาวเหน็บเดินฝ่าอากาศร้อนในเมืองไทยซะเลย เหอๆ
เริ่มด้วยไปตลาดนัดจตุจักรกันก่อน
คาซึอากิ (แฟนเพื่อน) เรา และคานาเมะจังที่ร้านเฉาก๊วยยอดฮิตที่จตุจักร
ตอนคิดเงินเค้าแอบงงๆ คือเราบอกว่า 45 บาท เค้านึกว่าถ้วยละ 45 แต่จริงๆแล้วมันถ้วยละ 15 ไง เออ ถ้วยละ 15 เราก็ว่าแพงแล้วนะ ฮ่าๆๆๆ
ไปช็อปปิ้ง จริงๆแล้วมีร้านขายของถูกใจเราเยอะแยะเลย แต่เราไม่ได้อะไรกลับมาเลย แอบเสียดาย คือว่าต้องพาเพื่อนเดินไงจะมัวแต่ไปซื้อของให้ตัวเองมันก็จะยังไงอยู่
ปิดท้ายด้วยการหลอกคนญี่ปุ่นไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ด เหอๆ
จริงๆแล้วจะพาไปกินส้มตำ แต่เห็นเค้าบอกว่าไม่ชอบอาหารเผ็ด บวกกับหาร้านส้มตำไม่เจอ (พาเค้าหลงอย่างแรงขอบอก คือเราเดินเองเราก็เดินแค่โซนเดียวอ่ะ อันนี้มันต้องตะลุยไปทุกซอยเลย เป็นงงล่ะตู)
วันต่อมาจริงๆแล้วต้องพาเค้าไปอยุธยา แต่เราไม่ไหวแล้วหมดสภาพ (ขนาดคนไทยนะ เจออากาศร้อนยังตายเลย เค้าบอกว่านึกว่าคนไทยจะไม่ร้อนซะอีก เหอๆๆ) แถมต้องปั่นรายงานต่ออีกเลยให้เค้าไปเอง ซาโยนาระ~
แก้ตัวด้วยการพาเที่ยว กทม. ในวันต่อมา
พาขึ้นเรือจากท่าน้ำสาทร ตรงสะพานตากสินอ่ะ
แล้วก็ไปลงที่ท่าเตียนเพื่อไปกินข้าว ตอนแรกกะว่าจะไปกินร้านประจำ แต่ร้านนั้นดันเปิดตอนเย็น
เลยได้กินอะไรไม่รู้แถวนั้นอ่ะ ก็ไม่ค่อยอร่อยหรอก ผิดเป้าหมายไปหน่อย แต่ก็นะพอรับได้
อันนี้พยายามจะถ่ายรูปเพื่อให้เห็นวัดอรุณด้วย แต่แอบหงุดหงิดคือมันย้อนแสงอ่ะต้องเลือกเห็นหน้าคน หรือไม่ก็เห็นวัด เลยเอามาให้ดูทั้งสองเวอร์ชั่น เหอๆ
เวอร์ชั่นแรก แบบเห็นวัด ไม่เห็นคน
เวอร์ชั่นสอง เห็นคน ไม่เห็นวัด
อ่อ ลืมบอกไปว่าวันนี้ลาดพี่โอ้คมาด้วย ฮ่าๆๆๆ ลากสุดฤทธิ์เลยนะ คือเรากลัวหลงอ่ะ
มาวัดพระแก้วครั้งล่าสุด อืม ... ประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว เหอๆ
ตื๊อพี่โอ้คตั้งแต่กลางคืนถึงเช้า โทรไปปลุกอีกตะหาก หึหึหึหึ
กราบขอบพระคุณะี่โอ้คเป็นอย่างสูงค่ะ (-/I\-)
ถึงแล้ววัดพระแก้ว เพิ่งจะรู้ว่าคนไทยเข้าฟรี คนต่างชาติเสีย 250 เหอๆ
เพื่อนมีบ่นอ่ะ แต่ก็นะ..ถ้าให้คนไทยจ่ายแพงเยี่ยงนั้น ใึครมานจาปายหว่าาา
รูปนี้วานให้คานาเมะจังถ่ายให้ เธอแอบถ่ายยักษ์ชฎาขาด เหอๆ
จำได้ว่าเคยถ่ายกับกินรีตอนเด็กๆ (เป็นความทรงจำหนึ่งในสองอย่างเกี่ยวกับวัดพระแก้ว เพราะมันมีรูปอยู่ อีกเรื่องนึงคือจำได้ว่าขึ้นไปเหยียบธรณีประตู แล้วแม่บอกว่าเค้าไม่ให้เหยียบนะลูก ลงมารู้สึกผิดร้องไห้ใหญ่เลย ฮ่าๆๆๆ) เลยขอถ่ายกับมุมเดิมหน่อย
แหน่ะ.. เมื่อกี้ไปคุ้ยรูปเจอรูปตอนเด็กๆพอดี เอามาแปะด้วยเลยดีกว่า น่ารักอ่ะดิ
รูปนี้อนุบาลสามแน่นอนอ่ะ เพราะเป็นช่วงเดียวในชีวิตที่ตัดผมสั้นทรงนี้ เหอๆ
ตัวนี้ชอบมาก เรียกว่าไรนะ มารแบกเจดียร์ หรืออะไรซะอย่างอ่ะ
คาซึอากิแอบทำท่าเลียนแบบ แต่เราไม่ได้เก็บภาพมาฝาก มัวแต่ถ่ายอย่างอื่นอยู่ เหอๆ
จิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ (สะกดถูกป่าวหว่า)
พระแก้วมรกต ห้ามถ่ายรูปข้างใน เลยแอบซูมจากข้างนอก คุณภาพภาพห่วยแตกบรม เหอๆ
ต่อมาเดินข้ามฝั่งมาทางวังบ้าง พระที่นั่งจักรี
มาถึงตอนนี้เจอไกด์ญี่ปุ่นพอดี เลยให้เพื่อนทำเนียนแอบไปฟังด้วย เหอๆ
ได้ข้อมูลมาบ้างเล็กน้อย ตรงส่วนนี้เป็นที่ทรงช้างนะเธอ
ออกมาจากวัดพระแก้ว เดินกลับมาทางท่าเตียน แอบถ่ายรูปชุมชนที่ตั้งแผงลอยขายของแถวนั้น
แล้วของนี่แบบ เหมือนหยิบอะไรออกมาจากบ้านได้ก็เอามาขายอะ่ มีสารพัด เหอๆ
มาถึงวัดโพธิ์ มาไว้พระนอนก่อน ใหญ่มากถ่ายเก็บแทบไม่หมด
อันนี้งง ใครรู้บ้าง ... ทำไมต้องมีฝรั่งง่ะ
อันนี้ยอดฮิต ฤาษีดัดตน
ท่านี้ท่าจะฮิตแฮะ .. ทำไมต้องแบก หนักป่าวอ่ะ
ปิดท้ายด้วยรูปรวมก่อนที่จะแยกกัน ปล่อยให้เค้าไปนวดที่วัดโพธิ์ แอบขำหลวงพี่ที่บอกทางเล็กน้อยนึกว่าเราเป็นคนญี่ปุ่น พอเราพูดไทยถามว่าพูดไทยได้ด้วยเหรอ เหอๆ
จบไปสองวันกับการเป็นไกด์จำเป็น โอยเหนื่อยเหลือเกิน เมื่อคืนเลยเข้านอนตั้งแต่เที่ยงคืน (ไม่ได้นอนเที่ยงคืนมานานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คือว่าหัวค่ำไปว่างั้นเหอะ เหอๆ)
ทริปนี้พัฒนาความสามารถภาษาญี่ปุ่นไปได้อีกระดับหนึ่ง เพราะว่าพูดภาษาญี่ปุ่นกะเค้าร้อยเปอร์เซนต์
แถมพัฒนาสำเนียงคันไซมาอีกตะหาก คือแฟนเพื่อนนี่พูดแต่ภาษาคันไซ เหอๆ แรกๆก็ฟังไม่ค่อยออก ไปๆมาๆฟังออกซะงั้น นี่ขนาดไปอยู่โอซาก้ามานะ เหอๆๆๆ
Wednesday, March 14, 2007
มาดับร้อนกันดับไอศกรีมโฮมเมดกันไหมคะ
Home made จริงๆ ... เพราะทำเอง
หุหุ โปรเปล่า ทำไอติมกินเองก็ได้ หุหุ
จริงๆแล้วมานั่งคิดๆดูไม่น่าจะลำบากเลยซื้อกินเองก็ได้ ไม่เหนื่อยด้วย
เพราะต้องคอยเอาไอติมที่แช่อยู่ใน Freezer หลังจากทำเสร็จใหม่้ๆออกมาคนทุกสองชั่วโมง
(เพื่อให้ัมันมีลักษณะเป็นเนื้อครีมไม่ใช่เป็นน้ำแข็งก้อนน่ะ)
เหนื่อยอ่ะขอบอก... แต่พอดีเพิ่งได้สูตรมา คนมันร้อนวิชา.. ก็เลยทำซะเลย อิอิ
Tuesday, March 13, 2007
เมื่อ...กลายเป็นคนมีระดับ
entry นี้เป็นภาคต่อของตอนเมื่อ...อยากเป็นคนมีระดับ
ใครไม่รู้ระดับอะไรก็คลิ๊กไปอ่านซะก่อน หุหุ
หลังจากปล่อยให้พี่ใหม่และผิงได้กลายเป็นคนมีระดับกันไปแล้ว
แต่ว่าสองคนที่กล่าวมาข้างต้น... ขอเปรียบว่าเป็นระดับชนชั้นนำในสังคม ส่วนเรา.. ขอเป็นชนชั้นกรรมาชีพก็พอ -_-"
ผ่านแล้วจ้าาาา ... ระดับสามนะ
ปลายปีนี้ตั้งใจว่าจะสอบระดับสอง ... แต่จะรอดไหม ตอนนี้ที่เรียนอยู่ยังเนื้อหาระดับสามอยู่เลย เหอๆๆๆ
ใครไม่รู้ระดับอะไรก็คลิ๊กไปอ่านซะก่อน หุหุ
หลังจากปล่อยให้พี่ใหม่และผิงได้กลายเป็นคนมีระดับกันไปแล้ว
แต่ว่าสองคนที่กล่าวมาข้างต้น... ขอเปรียบว่าเป็นระดับชนชั้นนำในสังคม ส่วนเรา.. ขอเป็นชนชั้นกรรมาชีพก็พอ -_-"
ผ่านแล้วจ้าาาา ... ระดับสามนะ
ปลายปีนี้ตั้งใจว่าจะสอบระดับสอง ... แต่จะรอดไหม ตอนนี้ที่เรียนอยู่ยังเนื้อหาระดับสามอยู่เลย เหอๆๆๆ
Friday, March 09, 2007
การเปลี่ยนแปลงทางความคิด: ศึกษาจากกรณีไอติม
ตอนแรกออกแนวไม่รู้จะตั้งชื่อหัวข้อ entry นี้ว่าอะไรดี
คือแรงบันดาลใจในการเขียนบล็อคในวันนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะว่า...
พอดีวันนี้หลังจากที่ใช้เวลานอนเพียง 2 ชม.ครึ่งเมื่อคืนเพื่อปั่นรายงานให้เสร็จส่งทันวันนี้ แถมยังต้องนั่งหงุดหงิดกะ printer รุ่นเก่าเก็บที่มีสปีดในการพิมพ์หน้าสีหน้าละ 2 นาทีครึ่ง โอยมันเซ็งมาก.. แล้วก็ไปส่งรายงาน ส่งเสร็จก็รับหัวข้อรายงานอีกวิชาที่ต้องส่งวันอังคารทันที..
โอ้..นี่หรือชีวิตนิสิตรัฐศาสตร์!!!!
เข้าเรื่องดีกว่า ก็คือว่าตอนบ่ายหลังจากรับข้อสอบก็ไปเดินซูเปอร์ที่สยามพารากอนมา
บังเอิญเดินผ่านตู้ไอติม ก็ได้ไปเจอไอติมพวกนี้เข้า...
เห็นแล้วก็คิดถึง... เพราะเป็นคนชอบกินไอติมไง สมัยอยู่ญี่ปุ่นนี่กินไอติมมันแทบจะทุกวัน ไม่ว่าแดดจะออก ใบไม้จะเปลี่ยนสี ดอกไม้จะผลิบาน หรือแม้กระทั่งหิมะตก ดิฉันก็ยังดำรงชีวิตอยู่ด้วยการกินไอติม... ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงแบกร่างกายช้างน้ำกลับมาสู่มาตุภูมิได้
แล้วไอติมเหล่านี้เองซึ่งเป็นไอติมธรรมด๊าธรรมดา ที่ขายอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ ที่สามารถเดินออกจากหอไม่ถึงสามสิบก้าวก็ถึง แถมเป็นราคาถูกแสนถูกแบบว่าพกเหรียญไปเหรียญเดียวก็มีไอติมกลับบ้านหนึ่งแท่ง (ห่อ ชิ้น แล้วแต่)
เหรียญเหรียญเดียวที่ว่าตอนนั้นคือ "เหรียญ 100 เยน" (แต่โดยมากเค้าจะรวมภาษีด้วยกลายเป็น 105 เยน แต่จะบอกว่าซื้อได้ในราคาสองเหรียญมันจะไม่เท่ ฮ่าๆๆๆ)
ตอนที่อยู่ญี่ปุ่นนี่เงิน 100 เยนนับว่าเป็นเศษตังค์จัดๆ เอาไว้ซื้อขนมปัญญาอ่อน ปากกาลูกลื่น และไอติมได้เท่านั้นแล.. ซึ่งก็ไม่ต้องบอกเลยว่าไอติมมันช่างราคาถูกได้ถูกใจชั้นเหลือเกิน~~
(ในที่นี้ขอไม่รวมของสารพัดอย่างในร้าน 100 เยนแล้วกันนะ... ไม่งั้นมันจะดูเหมือนซื้อของได้เยอะไป ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันคือขอถูก ฮ่าๆๆๆ)
แต่คุณคะ.. ไม่ทราบว่ารู้กันหรือไม่ พอไอติมราคาถูกแสนถูกของดิฉันในตอนนั้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงประเทศไทย และยกระดับตัวเองด้วยการเป็นไอติมสัญชาติญี่ปุ่น และเข้าไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้แช่ของห้างสยามพารากอน ข้างๆกับไอติมสัญชาติอื่นอีกมากมา่ย..
มันราคาเท่านี้ค่ะคุณ...
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ไอติมถูกแสนถูกในตอนนั้น กลับกลายเป็นของที่แพงเกินกว่าจะรับได้ในตอนนี้... ทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงเกิดขึ้นได้จอร์จ!!!!!!!
แต่จริงๆแล้วถ้าวัดกันดูอีกที ราคา 100 เยนนี่เทียบเป็นเงินไทยในสภาวะที่เงินบาทแข็งตัวเสียเหลือเกินนั้นก็น่าจะได้ราคาประมาณว่า 30 บาท
ถ้าเป็นเราในตอนนี้ ให้เอาตังค์สามสิบบาทไปซื้อไอติมห่วยๆเราคงไม่กินอ่ะ ไปกินไอติมวอลล์ได้ตั้งหลายอัน (โดยเฉพาะรสถั่วดำแท่งละ 5 บาทเนี่ยนะ.. เหอๆ)
เลยคิดถึงคำพูดของพี่ใหม่ตอนอยู่ญี่ปุ่นออกเลย ประมาณว่าเวลาซื้อของที่ญี่ปุ่นอย่าเอามาตรฐานเงินไทยมาวัด ไม่งั้นมันจะไม่ได้ซื้อซะอย่างแหละ เพราะัมันก็จะแพงไปหมด
ก็คิดดูสิคะ ซื้อโค้กกระป๋องนึงก็ 120 เยนเข้าไปละ กระป๋องละ 40 บาท (ราคาพอๆกับที่โค้กที่บุคคลที่เรียกตนเองว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินราคาถูกสายการบินหนึ่ง ออกเร่ขายให้ผู้โดยสาย ซึ่งเราขอไม่เรียกเค้าว่าพนักงานต้อนรับละกัน อยากเรียกว่าพนักงานขายของแทน เพราะไม่เห็นเค้าจะต้อนรับอะไรเราเท่าไหร่ เหอๆ อ่อ.. บนเครื่องมันราคากระป๋องละ 50 บาท) เอาไปซื้อข้่าวกินดีกว่าไหมคะ...
แปลกเน๊อะ.. ทั้งๆที่ตอนนั้นคิดว่าไอติมราคา 30 บาทนี่มันถูกเหลือเกิน แต่พอนั่งเครื่องบินไม่กี่ ชม. ความคิดก็เปลี่ยนไปซะแล้ว
คือแรงบันดาลใจในการเขียนบล็อคในวันนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะว่า...
พอดีวันนี้หลังจากที่ใช้เวลานอนเพียง 2 ชม.ครึ่งเมื่อคืนเพื่อปั่นรายงานให้เสร็จส่งทันวันนี้ แถมยังต้องนั่งหงุดหงิดกะ printer รุ่นเก่าเก็บที่มีสปีดในการพิมพ์หน้าสีหน้าละ 2 นาทีครึ่ง โอยมันเซ็งมาก.. แล้วก็ไปส่งรายงาน ส่งเสร็จก็รับหัวข้อรายงานอีกวิชาที่ต้องส่งวันอังคารทันที..
โอ้..นี่หรือชีวิตนิสิตรัฐศาสตร์!!!!
เข้าเรื่องดีกว่า ก็คือว่าตอนบ่ายหลังจากรับข้อสอบก็ไปเดินซูเปอร์ที่สยามพารากอนมา
บังเอิญเดินผ่านตู้ไอติม ก็ได้ไปเจอไอติมพวกนี้เข้า...
เห็นแล้วก็คิดถึง... เพราะเป็นคนชอบกินไอติมไง สมัยอยู่ญี่ปุ่นนี่กินไอติมมันแทบจะทุกวัน ไม่ว่าแดดจะออก ใบไม้จะเปลี่ยนสี ดอกไม้จะผลิบาน หรือแม้กระทั่งหิมะตก ดิฉันก็ยังดำรงชีวิตอยู่ด้วยการกินไอติม... ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงแบกร่างกายช้างน้ำกลับมาสู่มาตุภูมิได้
แล้วไอติมเหล่านี้เองซึ่งเป็นไอติมธรรมด๊าธรรมดา ที่ขายอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ ที่สามารถเดินออกจากหอไม่ถึงสามสิบก้าวก็ถึง แถมเป็นราคาถูกแสนถูกแบบว่าพกเหรียญไปเหรียญเดียวก็มีไอติมกลับบ้านหนึ่งแท่ง (ห่อ ชิ้น แล้วแต่)
เหรียญเหรียญเดียวที่ว่าตอนนั้นคือ "เหรียญ 100 เยน" (แต่โดยมากเค้าจะรวมภาษีด้วยกลายเป็น 105 เยน แต่จะบอกว่าซื้อได้ในราคาสองเหรียญมันจะไม่เท่ ฮ่าๆๆๆ)
ตอนที่อยู่ญี่ปุ่นนี่เงิน 100 เยนนับว่าเป็นเศษตังค์จัดๆ เอาไว้ซื้อขนมปัญญาอ่อน ปากกาลูกลื่น และไอติมได้เท่านั้นแล.. ซึ่งก็ไม่ต้องบอกเลยว่าไอติมมันช่างราคาถูกได้ถูกใจชั้นเหลือเกิน~~
(ในที่นี้ขอไม่รวมของสารพัดอย่างในร้าน 100 เยนแล้วกันนะ... ไม่งั้นมันจะดูเหมือนซื้อของได้เยอะไป ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันคือขอถูก ฮ่าๆๆๆ)
แต่คุณคะ.. ไม่ทราบว่ารู้กันหรือไม่ พอไอติมราคาถูกแสนถูกของดิฉันในตอนนั้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงประเทศไทย และยกระดับตัวเองด้วยการเป็นไอติมสัญชาติญี่ปุ่น และเข้าไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้แช่ของห้างสยามพารากอน ข้างๆกับไอติมสัญชาติอื่นอีกมากมา่ย..
มันราคาเท่านี้ค่ะคุณ...
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ไอติมถูกแสนถูกในตอนนั้น กลับกลายเป็นของที่แพงเกินกว่าจะรับได้ในตอนนี้... ทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงเกิดขึ้นได้จอร์จ!!!!!!!
แต่จริงๆแล้วถ้าวัดกันดูอีกที ราคา 100 เยนนี่เทียบเป็นเงินไทยในสภาวะที่เงินบาทแข็งตัวเสียเหลือเกินนั้นก็น่าจะได้ราคาประมาณว่า 30 บาท
ถ้าเป็นเราในตอนนี้ ให้เอาตังค์สามสิบบาทไปซื้อไอติมห่วยๆเราคงไม่กินอ่ะ ไปกินไอติมวอลล์ได้ตั้งหลายอัน (โดยเฉพาะรสถั่วดำแท่งละ 5 บาทเนี่ยนะ.. เหอๆ)
เลยคิดถึงคำพูดของพี่ใหม่ตอนอยู่ญี่ปุ่นออกเลย ประมาณว่าเวลาซื้อของที่ญี่ปุ่นอย่าเอามาตรฐานเงินไทยมาวัด ไม่งั้นมันจะไม่ได้ซื้อซะอย่างแหละ เพราะัมันก็จะแพงไปหมด
ก็คิดดูสิคะ ซื้อโค้กกระป๋องนึงก็ 120 เยนเข้าไปละ กระป๋องละ 40 บาท (ราคาพอๆกับที่โค้กที่บุคคลที่เรียกตนเองว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินราคาถูกสายการบินหนึ่ง ออกเร่ขายให้ผู้โดยสาย ซึ่งเราขอไม่เรียกเค้าว่าพนักงานต้อนรับละกัน อยากเรียกว่าพนักงานขายของแทน เพราะไม่เห็นเค้าจะต้อนรับอะไรเราเท่าไหร่ เหอๆ อ่อ.. บนเครื่องมันราคากระป๋องละ 50 บาท) เอาไปซื้อข้่าวกินดีกว่าไหมคะ...
แปลกเน๊อะ.. ทั้งๆที่ตอนนั้นคิดว่าไอติมราคา 30 บาทนี่มันถูกเหลือเกิน แต่พอนั่งเครื่องบินไม่กี่ ชม. ความคิดก็เปลี่ยนไปซะแล้ว
Thursday, March 08, 2007
บ๊ายบาย ITV
หลังจากนั่งดูข่าวนักข่าวไอทีวีทั้งหลายออกมาทั้งเรียกร้องความเห็นใจ
ทั้งตอกย้ำว่าเราทำเพื่อประชาชนมาตลอดดดดดดด
มาประมาณ... สองสามวันละ
คือไม่ต้องดูข่าวอย่างอื่นทางไอทีวีเลยว่างั้นเหอะ
(หงุดหงิดจะดูสาระแน เหอๆ... แล้วในที่สุดก็ฉายแหละแต่ดึกหน่อย)
ตอนนี้เราไม่มีไอทีวีแล้วค่ะพี่น้องชาวไทยในต่างแดนที่ไม่ได้ตามข่าวทั้งหลาย
เพราะตอนนี้ทีวีช่องหกที่คุณจะกดรีโมทไปโดนนั้นจะเปลี่ยนเป็น...
เอาคำแถลงการณ์ที่ถ่ายออกมาสีสวยพอดีมาให้ดูด้วย
เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้ตามข่าว ถ้ากลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่อย่าไปปล่อยไก่ถามคนที่บ้านนะคะว่าไอทีวีหายไปไหน หุหุ
เพราะตอนนี้เค้าปั๊ดตะนาแล้วววว
...............................................................................
ปล. ปัญญาชนทั้งหลาย ถ้าว่างๆไปตอบข้อสอบที่เราเอามาฝากในเอนทรี่ก่อนหน้านี้กันหน่อยนะ ถือว่าเป็นการฝึกสมองละกัน หุหุหุ
ทั้งตอกย้ำว่าเราทำเพื่อประชาชนมาตลอดดดดดดด
มาประมาณ... สองสามวันละ
คือไม่ต้องดูข่าวอย่างอื่นทางไอทีวีเลยว่างั้นเหอะ
(หงุดหงิดจะดูสาระแน เหอๆ... แล้วในที่สุดก็ฉายแหละแต่ดึกหน่อย)
ตอนนี้เราไม่มีไอทีวีแล้วค่ะพี่น้องชาวไทยในต่างแดนที่ไม่ได้ตามข่าวทั้งหลาย
เพราะตอนนี้ทีวีช่องหกที่คุณจะกดรีโมทไปโดนนั้นจะเปลี่ยนเป็น...
เอาคำแถลงการณ์ที่ถ่ายออกมาสีสวยพอดีมาให้ดูด้วย
เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้ตามข่าว ถ้ากลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่อย่าไปปล่อยไก่ถามคนที่บ้านนะคะว่าไอทีวีหายไปไหน หุหุ
เพราะตอนนี้เค้าปั๊ดตะนาแล้วววว
...............................................................................
ปล. ปัญญาชนทั้งหลาย ถ้าว่างๆไปตอบข้อสอบที่เราเอามาฝากในเอนทรี่ก่อนหน้านี้กันหน่อยนะ ถือว่าเป็นการฝึกสมองละกัน หุหุหุ
Wednesday, March 07, 2007
ข้อสอบ...
วิชาเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐิตินันท์ พงศ์สุทธิรักษ์
ข้อสอบมีทั้งหมด 4 ข้อ โดยนิสิตทุกคนต้องตอบข้อที่ 1 และในข้อที่ 2 - 4 ให้นิสิตเลือกทำเพียง 2 ข้อ รวมทั้งสิ้น 3 ข้อ
ส่วนนี้นิสิตต้องทำทุกคน (20 คะแนน)
1. อธิบายปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยใช้แนวความคิด Mercantilism, Liberalism, Structuralism และ Rational choice
ส่วนนี้ให้นิสิตเลือกทำเพียง 2 ข้อ (ข้อละ 10 คะแนน)
2. บรรษัทข้ามชาติริดรอดอำนาจรัฐหรือไม่ อย่างไร ยกตัวอย่างประกอบการพิจารณา
3. หากสมมุติว่าการเจรจาการค้าระหว่างประเทศภายใต้ WTO รอบ Doha นั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง รูปแบบการค้าระหว่างประเทศจะมีรูปแบบใด อธิบายและยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม
4. อธิบายว่าเหตุใดค่าเงินบาทจึงแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีผลเสียต่อประเทศไทยอย่างไร และรัฐบาลควรจะรับมืออย่างไร
......................................................................................
ข้อสอบตัวจริงเค้าไม่ให้เราเอาออกมา แต่จำโจทย์ทุกข้อได้อย่างแม่นยำ นั่งขดหลังแข็งเขียนตอบไป 3 ชม. ได้ไป 7 หน้า โอยเมื่อยมือจริงๆ
เราเลือกตอบข้อ 1, 2 และ 3
แต่แอบเซ็งเล็กน้อยตูอุตส่าห์ไปอ่านเรื่องสิงคโปร์เทมาเส็กมาเยอะมากๆๆๆ กะว่าอาจารย์ออกแน่ๆๆ (เพราะอาจารย์พูดในห้องแอบบ่อย) แต่ก็ไม่มีออก ง่ะงะ่ แถมเมื่อคืนนั่งอ่านกรณีไอทีวีด้วยนะ แต่สงสัยเหตุการณ์มันจะใหม่เกินไป -_-"
ใครอยากจะร่วมสนุกตอบข้อสอบเราก็ได้นะไม่ว่ากัน อ่ะเหอๆๆๆ
อ่อ เทอมนี้เรามีสอบตัวเดียวคือวิชานี้แหละ แล้วก็เป็นการสอบครั้งสุดท้ายแล้ว แอบใจหาย แต่ใจหายไม่มาก เพราะยังมีรายงานรออยู่อีก 4 ตัวให้ใจหายกันต่อถึงสิ้นเดือน เฮ้ออออออ
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐิตินันท์ พงศ์สุทธิรักษ์
ข้อสอบมีทั้งหมด 4 ข้อ โดยนิสิตทุกคนต้องตอบข้อที่ 1 และในข้อที่ 2 - 4 ให้นิสิตเลือกทำเพียง 2 ข้อ รวมทั้งสิ้น 3 ข้อ
ส่วนนี้นิสิตต้องทำทุกคน (20 คะแนน)
1. อธิบายปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยใช้แนวความคิด Mercantilism, Liberalism, Structuralism และ Rational choice
ส่วนนี้ให้นิสิตเลือกทำเพียง 2 ข้อ (ข้อละ 10 คะแนน)
2. บรรษัทข้ามชาติริดรอดอำนาจรัฐหรือไม่ อย่างไร ยกตัวอย่างประกอบการพิจารณา
3. หากสมมุติว่าการเจรจาการค้าระหว่างประเทศภายใต้ WTO รอบ Doha นั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง รูปแบบการค้าระหว่างประเทศจะมีรูปแบบใด อธิบายและยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม
4. อธิบายว่าเหตุใดค่าเงินบาทจึงแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีผลเสียต่อประเทศไทยอย่างไร และรัฐบาลควรจะรับมืออย่างไร
......................................................................................
ข้อสอบตัวจริงเค้าไม่ให้เราเอาออกมา แต่จำโจทย์ทุกข้อได้อย่างแม่นยำ นั่งขดหลังแข็งเขียนตอบไป 3 ชม. ได้ไป 7 หน้า โอยเมื่อยมือจริงๆ
เราเลือกตอบข้อ 1, 2 และ 3
แต่แอบเซ็งเล็กน้อยตูอุตส่าห์ไปอ่านเรื่องสิงคโปร์เทมาเส็กมาเยอะมากๆๆๆ กะว่าอาจารย์ออกแน่ๆๆ (เพราะอาจารย์พูดในห้องแอบบ่อย) แต่ก็ไม่มีออก ง่ะงะ่ แถมเมื่อคืนนั่งอ่านกรณีไอทีวีด้วยนะ แต่สงสัยเหตุการณ์มันจะใหม่เกินไป -_-"
ใครอยากจะร่วมสนุกตอบข้อสอบเราก็ได้นะไม่ว่ากัน อ่ะเหอๆๆๆ
อ่อ เทอมนี้เรามีสอบตัวเดียวคือวิชานี้แหละ แล้วก็เป็นการสอบครั้งสุดท้ายแล้ว แอบใจหาย แต่ใจหายไม่มาก เพราะยังมีรายงานรออยู่อีก 4 ตัวให้ใจหายกันต่อถึงสิ้นเดือน เฮ้ออออออ
Sunday, March 04, 2007
พากินอาหารเกาหลี "เมียงคา" สุขุมวิท 10
พากินกันอีกแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ ฮ่าๆๆๆ
พอดีว่าบ่นๆกะที่บ้านว่าอยากกินอาหารเกาหลีมาตั้งนานแล้ว
ตอนอยู่ญี่ปุ่นมีโอกาสได้กินหลายครั้ง กลับมาเมืองไทยเลยเกิดคิดถึงขึ้นมา
แล้วที่บ้านไม่เคยกินกันเลย ก็เลยตกลงปลงใจพากันไปกิน
คราวนี้เดินทางไปที่ย่านร้านอาหารเกาหลีคือสุขุมวิท 10
พอไปถึงก็จอดรถแล้วเดินขึ้นตึกไป มันเลือกไม่ถูกเลยแฮะ มีเป็นสิบๆร้าน
แล้วเมนูหน้าร้านก็หน้าตาเหมือนๆกันหมด
แต่สุดท้ายก็มาจบที่ร้าน "เมียงคา" เนื่องจากมองๆแล้วมีครื่องดูดควัน ฮ่าๆๆ ใช้เกณฑ์แค่นี้แหละในการตัดสิน
ตอนแรกเข้าไปก็งงๆ เพราะเมนูมันน้อยมากไม่รู้จะสั่งอะไรดี
เอ๊ะ แล้วทำไมโต๊ะที่อยู่หน้าร้านเค้ามีของกินเต็มโต๊ะเลยนะ
พอสั่งเสร็จอาหารมาเสิร์ฟก็ตกจายยย o_O" เหวออออ
ทำไมมันมีเครื่องเคียงเยอะเยี่ยงนี้ล่ะคะ..
มาร้านเกาหลีก็ต้องเป็นเนื้อย่าง...
"บิบิมบับ" อยากกินมานานนนน
อันนี้ไม่รู้เรียกอะไรจำไม่ได้แล้ว ประมาณโอโคโนมิยากิไส้ทะเล
อันนี้ก็ไม่รู้อะไรพ่อสั่งมา ปลาหมึกๆ
ปะป๊าหม่าม้าหน้าตาอิ่มหนำ
นี่ก็อิ่มหนำเช่นกัน..
สุดท้าย อิ่มอร่อย...ง่ำง่ำ
ว่างๆจะพาไปหาอะไรกินกันอีกนะ ฮ่าๆๆๆ
หลังสอบนะ สอบวันพุธ หุหุ
พอดีว่าบ่นๆกะที่บ้านว่าอยากกินอาหารเกาหลีมาตั้งนานแล้ว
ตอนอยู่ญี่ปุ่นมีโอกาสได้กินหลายครั้ง กลับมาเมืองไทยเลยเกิดคิดถึงขึ้นมา
แล้วที่บ้านไม่เคยกินกันเลย ก็เลยตกลงปลงใจพากันไปกิน
คราวนี้เดินทางไปที่ย่านร้านอาหารเกาหลีคือสุขุมวิท 10
พอไปถึงก็จอดรถแล้วเดินขึ้นตึกไป มันเลือกไม่ถูกเลยแฮะ มีเป็นสิบๆร้าน
แล้วเมนูหน้าร้านก็หน้าตาเหมือนๆกันหมด
แต่สุดท้ายก็มาจบที่ร้าน "เมียงคา" เนื่องจากมองๆแล้วมีครื่องดูดควัน ฮ่าๆๆ ใช้เกณฑ์แค่นี้แหละในการตัดสิน
ตอนแรกเข้าไปก็งงๆ เพราะเมนูมันน้อยมากไม่รู้จะสั่งอะไรดี
เอ๊ะ แล้วทำไมโต๊ะที่อยู่หน้าร้านเค้ามีของกินเต็มโต๊ะเลยนะ
พอสั่งเสร็จอาหารมาเสิร์ฟก็ตกจายยย o_O" เหวออออ
ทำไมมันมีเครื่องเคียงเยอะเยี่ยงนี้ล่ะคะ..
มาร้านเกาหลีก็ต้องเป็นเนื้อย่าง...
"บิบิมบับ" อยากกินมานานนนน
อันนี้ไม่รู้เรียกอะไรจำไม่ได้แล้ว ประมาณโอโคโนมิยากิไส้ทะเล
อันนี้ก็ไม่รู้อะไรพ่อสั่งมา ปลาหมึกๆ
ปะป๊าหม่าม้าหน้าตาอิ่มหนำ
นี่ก็อิ่มหนำเช่นกัน..
สุดท้าย อิ่มอร่อย...ง่ำง่ำ
ว่างๆจะพาไปหาอะไรกินกันอีกนะ ฮ่าๆๆๆ
หลังสอบนะ สอบวันพุธ หุหุ
Subscribe to:
Posts (Atom)