จากเรื่องเก่า หายไปนานหนึ่งสัปดาห์ เหอๆๆๆ คืออุตส่าห์เขียนยาวๆไง ทิ้งไว้นานๆจะได้มีคนอ่านเยอะๆ หุหุหุหุ
จริงๆเปล่าหรอก คือมันไม่ได้ทำอะไร ก็เลยไม่มีเรื่องจะมาอัพ
จริงๆแล้ววันนี้ก๋ยังไม่มีอะไรจะมาเล่าให้ฟังหรอก
แต่พอดีเกิดไอเดียขึ้น ณ วันหนึ่ง กำลังนั่งรถกลับบ้าน แล้วก็เจอป้ายนี้...
อืม... สรุปแล้วก็ใช้เวลาอยู่บนถนนเส้นนั้นร่วมชั่วโมง
ช่างเป็นวิถีชีวิตของชาว กทม. จริงๆเลย เฮ้อออวววววว
จบซะงั้น...
ปล. สำหรับคราวที่แล้วคนที่ทายว่าเป็น "คนขวาสุด" ในหัวข้อ "รักครั้งแรก" นั้น ถูกต้องนะค๊าาาาาาาาาาาา!!!
รางวัลไม่มีจะให้ มีแต่ใจอ่ะเอามะ หุหุ
(อะไรนะ ไม่เอาเหรอ)
Wednesday, January 31, 2007
Saturday, January 20, 2007
และแล้ว.. ก็มีใบขับขี่เป็นของตัวเอง
หลังจากที่ผลัดเรียนขับรถมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง
ได้มาเรียนจริงๆตอนที่กลับมาจากญี่ปุ่น สิริรวมเวลาแล้วได้ผลัดมาสี่ปีกว่าเท่านั้นเอง -_-"
นับได้ว่าเป็นการพอกหางหมูได้นานที่สุดในชีวิต เหอๆๆๆ
จนบัดนี้ ก็ได้มีใบขับขี่ในครอบครองแล้ว เย้ๆ
เป็นไท... ต่อไปคงจะไปไหนได้เองตามใจคิด
(มันเป็นความรันทดของคนบ้านไกลอ่ะนะ ออกไปไหนไม่ค่อยได้)
แต่...
คงต้องสักพักนึงอ่ะ พ่อถึงจะให้เอารถออกไปขับเอง ถึงแม้จะมีใบขับขี่เป็นของตัวเองแล้วก็ตาม
ก่อนวันสอบขอเล่าความนอยด์ของตัวเองนิดนึง
คือก่อนหน้านี้มีภาพของการสอบใบขับขี่ว่ามันต้องง่ายม๊ากกมากกก
แต่ ... หลังจากอิงเพื่อนรักไปสอบมาก่อนเราประมาณสองสัปดาห์ แกเกิดตกมาหนึ่งรอบ
เราก็เริ่ม เออ มันท่าจะไม่หมูอย่างที่คิด
ทำให้คืนก่อนวันไปสอบแอบนอนไม่หลับ และเวลาที่หลับไปซึ่งน้อยนิดเต็มทีก็เจือกฝันอีกนะ
ฝันว่าอะไรรู้มะ .... ฝันเห็น "ฟุตบาต" อืมมมม เป็นเอามาก -_-"
อ่อ แล้วมีฝันว่าถอยรถเข้าๆออกๆด้วยนะ บ้าไปแล้วกว๊ากกกกกกกกกกกกกก
เท่านั้นยังไม่พอนะซาร่า...
วันที่ไปสอบก็ไปสอบกับโรงเรียนสอนขับรถไง ไปกันทั้งหมดสี่คน
แล้วเราสอบเป็นคนที่สี่
สามคนที่สอบก่อนหน้าเรา ตกไปซะสอง...
โอย ใจตกไปที่ตาตุ่ม คิดไว้ในใจว่ากรูไม่ผ่านแน่นอนอ่ะ
แล้ววางแผนไว้แล้วด้วยนะว่าวันจันทร์ต้องไปสอบใหม่
แต่.. พระเจ้าก็เข้าข้าง มันผ่านค่ะคุณ!! ผ่านแบบฉลุยอ่ะ งงมากทำได้ไง
ไม่เสียแรงที่ไหว้รถก่อนจะขับออกไปสอบ ฮาาาา (อันนี้ล้อเล่นนะ อย่าคิดเป็นจริง)
เอาภาพมาเป็นหลักฐาน (รูปถ่ายสมัยปีสอง หน้ายังผอมอยู่ เหอๆๆๆ)
ปล. แหม เซ็นเซอร์บัตรด้วยนะ แต่ไม่เซ็นเซอร์วันเกิด ทุกคนจะได้รู้ไว้ว่าวันเกิดเราวันไหน หุหุหุหุหุ
ได้มาเรียนจริงๆตอนที่กลับมาจากญี่ปุ่น สิริรวมเวลาแล้วได้ผลัดมาสี่ปีกว่าเท่านั้นเอง -_-"
นับได้ว่าเป็นการพอกหางหมูได้นานที่สุดในชีวิต เหอๆๆๆ
จนบัดนี้ ก็ได้มีใบขับขี่ในครอบครองแล้ว เย้ๆ
เป็นไท... ต่อไปคงจะไปไหนได้เองตามใจคิด
(มันเป็นความรันทดของคนบ้านไกลอ่ะนะ ออกไปไหนไม่ค่อยได้)
แต่...
คงต้องสักพักนึงอ่ะ พ่อถึงจะให้เอารถออกไปขับเอง ถึงแม้จะมีใบขับขี่เป็นของตัวเองแล้วก็ตาม
ก่อนวันสอบขอเล่าความนอยด์ของตัวเองนิดนึง
คือก่อนหน้านี้มีภาพของการสอบใบขับขี่ว่ามันต้องง่ายม๊ากกมากกก
แต่ ... หลังจากอิงเพื่อนรักไปสอบมาก่อนเราประมาณสองสัปดาห์ แกเกิดตกมาหนึ่งรอบ
เราก็เริ่ม เออ มันท่าจะไม่หมูอย่างที่คิด
ทำให้คืนก่อนวันไปสอบแอบนอนไม่หลับ และเวลาที่หลับไปซึ่งน้อยนิดเต็มทีก็เจือกฝันอีกนะ
ฝันว่าอะไรรู้มะ .... ฝันเห็น "ฟุตบาต" อืมมมม เป็นเอามาก -_-"
อ่อ แล้วมีฝันว่าถอยรถเข้าๆออกๆด้วยนะ บ้าไปแล้วกว๊ากกกกกกกกกกกกกก
เท่านั้นยังไม่พอนะซาร่า...
วันที่ไปสอบก็ไปสอบกับโรงเรียนสอนขับรถไง ไปกันทั้งหมดสี่คน
แล้วเราสอบเป็นคนที่สี่
สามคนที่สอบก่อนหน้าเรา ตกไปซะสอง...
โอย ใจตกไปที่ตาตุ่ม คิดไว้ในใจว่ากรูไม่ผ่านแน่นอนอ่ะ
แล้ววางแผนไว้แล้วด้วยนะว่าวันจันทร์ต้องไปสอบใหม่
แต่.. พระเจ้าก็เข้าข้าง มันผ่านค่ะคุณ!! ผ่านแบบฉลุยอ่ะ งงมากทำได้ไง
ไม่เสียแรงที่ไหว้รถก่อนจะขับออกไปสอบ ฮาาาา (อันนี้ล้อเล่นนะ อย่าคิดเป็นจริง)
เอาภาพมาเป็นหลักฐาน (รูปถ่ายสมัยปีสอง หน้ายังผอมอยู่ เหอๆๆๆ)
ปล. แหม เซ็นเซอร์บัตรด้วยนะ แต่ไม่เซ็นเซอร์วันเกิด ทุกคนจะได้รู้ไว้ว่าวันเกิดเราวันไหน หุหุหุหุหุ
Wednesday, January 17, 2007
ทำไมต้องอดทน???
นั่นสิ.. เราไม่เคยทนเลยนะ เหอๆๆ
งงล่ะสิ พล่ามอะไรอยู่
พอดีช่วงนี้ใกล้จบแล้ว เลยพยายามหาอะไรในคณะ หรือในจุฬาฯมาลงบ่อยๆ
เขียนบล็อคมากๆ ทำให้ถ่ายรูปมาก ต่อไปแก่ตัวลงเอามานั่งดูรูประลึกความหลังก็ดีเหมือนกันนะ หุหุ
ยังเสียดาย ตอนเด็กๆไม่ค่อยถ่ายรูป
เข้าเรื่องๆ
พอดีว่าที่โรงอาหารคณะรัฐศาสตร์ มีร้านบะหมี่อยู่ร้านนึง ซึ่งเป็นร้านชื่อดังมาก
ทำไมน่ะเหรอ???
เพราะว่ามันต้องอดทนไง
ร้าน "บะหมี่อดทน" จริงๆแล้วเค้าคงไม่ได้ชื่อนี้หรอก
แต่จากที่พี่ๆเล่าให้ฟังตอนเราเพิ่งเข้ามาคณะใหม่ๆสมัยยังเฟรชชี่นั้นบอกว่า เวลากินมันต้องอดทนรอคิวนานมากๆน้อง
ไอ้เราก็ใครรู้ ทำไมมันจะต้องอดทนรอกินนานขนาดนั้นด้วย แต่เราก็ไม่เคยทนนะ เพราะเรามักจะกินตอนเช้า ไม่ค่อยมีคนดี เหอๆๆ
เวลาผ่านมาสักพักก็เริ่มๆจะรู้แล้วว่าทำไมมันถึงช้านัก
จริงๆแล้วแถวมันก็ไม่ได้ยาวขนาดนั้นหรอก แต่เวลาเพื่อนไปต่อคิวเพื่อซื้อตอนเที่ยงทีไร มันจะกลับมาตอนที่คนอื่นกินเสร็จแล้วทุกที
คือลองคิดดูนะ...
จริงๆแล้วคนมันก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่หรอก (ก็เยอะในระดับหนึ่งตามชื่อเสียงของมัน)
แต่.. สปีดในการทำบะหมี่ชามนึงของเจ๊เนี่ย มันใช้เวลานานกว่าเจ้าอื่นสักสองเท่าแค่นั้นเอง เหอๆ
คือกว่าแกจะค่อยๆเอาเส้นออกมาจากถูก ขยี้เส้น ลวกเส้น สัปเป็ด ลวกหมู ใส่เครื่อง ใส่น้ำซอส ฯลฯ นานมากว่างั้นเหอะ
นี่ที่มาพูดนี่ไม่ได้ว่าไม่อร่อยนะ
มันก็อร่อยนะ ตอนปีหนึ่งเรากินแทบทุกเช้า จนเจ๊จำได้เลยว่าปกติกินอะไร ไม่ต้องสั่ง ไปยืนปุ๊บแกทำให้เลย ขนาดนั้น เหอๆ
แค่มันช้าแค่นั้นเอง.. มันเลยต้องอดทนไง เหอๆ
พูดถึงความไฮโซของมัน มันก็สมกับจะเป็นร้านอาหารในคณะไฮโซอย่างคณะเรา เหอๆ
เครื่องมากมาย ตามรูป
แล้วตอนจบจะแอบมีน้ำซอสสูตรพิเศษราดเข้ามาอีกชั้นนึง
วันนี้เอามาอวดหนึ่งชาม
หมี่หยก เป็ด ปู หมูแดง
ปกติไม่กินอลังการขนาดนี้หรอก แต่อยากให้มันดูหรูๆถ่ายรูปออกมาสวยๆเลยต้องทุ่มทุนหน่อย
สรุป ตอนจบเสียเงินค่าอาหารเช้าไป 40 บาท -_-"
นี่.. มันแพงนะยะ ถ้าเทียบกับกินอย่างอื่นในโรงอาหารน่ะ ไม่ได้งกกกกกกกกกกกกก!!!
Sunday, January 14, 2007
Wednesday, January 10, 2007
รถป็อปเปลี๊ยนไป๋!!
ยังกะรถโดยสารกรุงเทพฯ-สระบุรี -_-"
เด็กจุฬาฯคงรู้จัก "รถป็อป" กันเป็นอย่างดี แต่หากคุณไม่รู้จักก็ไม่แปลกเพราะมันคือรถโดยสารภายในจุฬาฯ ซึ่งให้บริการรับส่งนิสิตและบุคคลากรรจุฬาฯ (คนอื่นก็ได้แหละ ถ้ามีบัตร) ในราคาถูกนั่นเอง
ที่ชื่อว่ารถป็อปนั้น จริงๆแล้วมันมาจากคำว่า รถป.อ.พ. (ปรับอากาศพิเศษน่ะ) เพราะว่ามันหน้าตาเหมือนรถไมโครบัสไง ที่ม.เกษตรฯก็มีรถแบบนี้เหมือนกัน รู้สึกว่าจะเรียกว่า "รถตะไล" (ย่อมาจากตะลุยทั่วมหา'ลัย) พอดีรู้จักเพราะช่วงยังวัยสะรุ่นไปรับน้องที่เกษตรฯตอนช่วงประกาศผลเอ็นท์ทุกปี เลยได้ใช้บริการ
เมื่อก่อนนี้รถป็อปหน้าตาเหมือนรถไม่โครบัสสีชมพูๆ แต่ตอนนี้...รู้สึกว่ามันจะอยู่ในช่วงหมดสัญญา ก็เลยต้องใช้รถทัวร์ไปก่อน
จริงๆมันเปลี่ยนมาได้หลายสัปดาห์แล้วแหละนะ แต่ช่วงแรกๆมัวแต่อึ้งอยู่ เดินผ่านผ่านป้ายรถหลายครั้งก็ยังงงๆ เหอๆ
ขนากรถป็อปมันยังเปลี่ยนไป แล้วจะไปนับประสาอะไรกับสถานการณ์ที่มันเปลี่ยนแปลง (น่าน...น)
จบซะงั้น
Friday, January 05, 2007
หลบร้อนมาพึ่งหนาวรับวันปีใหม่ที่ "เขาค้อ"
ยังไม่ทันไร อากาศใน กทม.ก็กลับสู่สภาพเดิมอีกแล้ว เฮ้อออ เมืองไท๊ยยเมืองไทย อากาศดีได้ไม่เกินสองสัปดาห์ก็กลับมาเหงื่อหยดติ๋งๆอีกเช่นเคย
หลังจากที่ไม่ได้ขุดรากตัวเองออกจากเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลตั้งแต่ย้ายข้าวของกลับมาเมืองไทย (ที่ต้องบอกว่าปริมณฑลเพราะว่า ต้องไปกลับรถที่นครปฐมทุกเช้า เหอๆๆ จริงๆแล้วเราก็ออกต่างจังหวัดแทบทุกวันนะเนี่ยยยย)
ทั้งๆที่ตั้งชื่อ blog ว่า on the move แต่จริงๆแล้วกลับไม่ได้ move ซะเท่าไหร่ มันน่าเศร้านักกกก
ปีใหม่นี้ฤกษ์งามยามดี ประกอบกับอารมณ์โหยหาอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศา จึงยกบ้านขึ้นดอยกันที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ "เขาค้อ" กัน
ออกจาก กทม.ตั้งแต่เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 ก่อนวันหยุดจริงหนึ่งวัน
เนื่องจากคำนวณไว้แล้วว่าถ้าไปหลังจากนี้วันนึงได้รถติดมหาศาลไม่ต้องไปถึงที่หมายพอดี
(ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องเป็นอย่างมาก ...)
สิบเอ็ดโมงก็ถึงเขาค้อแล้ว ระหว่างทางก็แวะเดินตลาดคลาสสิคซะหน่อย
ที่เรียกว่าตลาดคลาสสิคก็เพราะว่าบรรยากาศของมันไม่มีกลิ่นของการตอแหลเหมือนซูเปอร์มาเก็ตที่มีอยู่ดาษดื่นไปหมด
รูปนี้ไม่ได้ตั้งใจจะด่าใคร ตอนแรกคิดไม่ถึงด้วย แต่พอดีแม่พูดขึ้นมา "อุ๊ย..เห็ดสด" กร๊ากกก ได้ไอเดีย
บวกเราเข้าไปก็เป็น "อี (โบว์) เห็ด สด" พอดี เหอๆๆๆ (สรุปแล้วด่าตัวเองหรือนี่ -_-")
ขับรถต่ออีกสักพักก็ไปถึง "พระตำหนักเขาค้อ" มีดอกไม้เยอะเลย แต่น่าเสียดายตอนที่เราไปถึงมันก็เหี่ยวกันซะเกือบหมดแล้ว
กว่าจะหาดอกที่สมบูรณ์มาถ่ายก็เหนื่อยยิ่งนัก
เดินชมพืชพันธุ์ไม้สักพักก็ไปที่ที่พัก รีสอร์ทชื่อว่า "ดอยแก้ว"
เห็นไหม.. ว่ามันเป็นรีสอร์ท
ไอ้เรานี่ไม่ได้พักรีสอร์ทมา ... กี่ปีแล้วนะ เหอๆๆ
นี่เพราะมากับที่บ้านนะเลยได้มาพักรีสอร์ท ไม่งั้นที่พักก็คงเป็นที่นอน และที่อาบน้ำเท่านั้น
อันนี้ขอโทษทีที่เล่นมุขควาย แต่มันหนาวววว อยาก "ว่าย" อยู่หรอกนะ แต่ทำได้แค่ "ไหว้" ไปพลางๆ เหอๆ
ตกกลางคืน ก็หนีไม่พ้น "คาราโอเกะ"
เค้าไม่จ้างด้วยนะ มันหน้าด้านขึ้นไปเอง ร้องตั้งแต่คนเต็มร้าน จนเหลือโต๊ะเราเป็นโต๊ะสุดท้าย
(อ้อ คราวนี้ไปกับครอบครัวเพื่อนแม่น่ะ บ้านนั้นก็อารมณ์เดียวกัน มือไม่ปล่อยไมค์ เหอๆ)
เช้าวันต่อมา มาดูเด็กๆ (ลูกหลานอีกบ้านนึง) มาเล่นเครื่องเล่นที่รีสอร์ทมีให้
มีนี่ "โรยตัว"
"ไต่ผา"
"รถ" (อะไรหว่า)
ส่วนเราเหรอ แหม ก็ทำหน้าสวยๆถ่ายรูปไป เหอๆๆๆๆๆ
ยังคงคอนเซ็ปเดิม ไม่มีการเสียเหงื่อในการออกกำลังกาย เหอๆๆๆ
แล้วก็เดินทางกลับ กทม. มาเที่ยวครั้งนี้นี่มันมาพักผ่อนจริงๆหว่ะ แบบไม่เคยชินอ่ะ เคยแต่เที่ยวๆๆๆทั้งวัน แล้วกลับมานอนที่ที่พัก
แต่นี่ไม่ได้เที่ยวเลย มาเปลี่ยนที่ดูละคร และมาซาบซึ้งอากาศหนาว เหอๆๆๆ
อ้อ ขากลับแวะที่จังหวัดลพบุรี ถ่ายรูปกับทุ่งทานตะวัน (ทุ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในระแวกนั้น เพราะที่เหลือพี่แกคอตกห่อเหี่ยวกันหมดแล้ว)
เอาดอกไม้ (และนางแบบ) สวยๆมาฝากสวัสดีปีใหม่ทุกคนค่าาา
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ
ปล. ขอได้รับความขอบคุณจากตากล้องคนเดิม (คุณพี่) ค่ะ
หลังจากที่ไม่ได้ขุดรากตัวเองออกจากเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลตั้งแต่ย้ายข้าวของกลับมาเมืองไทย (ที่ต้องบอกว่าปริมณฑลเพราะว่า ต้องไปกลับรถที่นครปฐมทุกเช้า เหอๆๆ จริงๆแล้วเราก็ออกต่างจังหวัดแทบทุกวันนะเนี่ยยยย)
ทั้งๆที่ตั้งชื่อ blog ว่า on the move แต่จริงๆแล้วกลับไม่ได้ move ซะเท่าไหร่ มันน่าเศร้านักกกก
ปีใหม่นี้ฤกษ์งามยามดี ประกอบกับอารมณ์โหยหาอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศา จึงยกบ้านขึ้นดอยกันที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ "เขาค้อ" กัน
ออกจาก กทม.ตั้งแต่เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 ก่อนวันหยุดจริงหนึ่งวัน
เนื่องจากคำนวณไว้แล้วว่าถ้าไปหลังจากนี้วันนึงได้รถติดมหาศาลไม่ต้องไปถึงที่หมายพอดี
(ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องเป็นอย่างมาก ...)
สิบเอ็ดโมงก็ถึงเขาค้อแล้ว ระหว่างทางก็แวะเดินตลาดคลาสสิคซะหน่อย
ที่เรียกว่าตลาดคลาสสิคก็เพราะว่าบรรยากาศของมันไม่มีกลิ่นของการตอแหลเหมือนซูเปอร์มาเก็ตที่มีอยู่ดาษดื่นไปหมด
รูปนี้ไม่ได้ตั้งใจจะด่าใคร ตอนแรกคิดไม่ถึงด้วย แต่พอดีแม่พูดขึ้นมา "อุ๊ย..เห็ดสด" กร๊ากกก ได้ไอเดีย
บวกเราเข้าไปก็เป็น "อี (โบว์) เห็ด สด" พอดี เหอๆๆๆ (สรุปแล้วด่าตัวเองหรือนี่ -_-")
ขับรถต่ออีกสักพักก็ไปถึง "พระตำหนักเขาค้อ" มีดอกไม้เยอะเลย แต่น่าเสียดายตอนที่เราไปถึงมันก็เหี่ยวกันซะเกือบหมดแล้ว
กว่าจะหาดอกที่สมบูรณ์มาถ่ายก็เหนื่อยยิ่งนัก
เดินชมพืชพันธุ์ไม้สักพักก็ไปที่ที่พัก รีสอร์ทชื่อว่า "ดอยแก้ว"
เห็นไหม.. ว่ามันเป็นรีสอร์ท
ไอ้เรานี่ไม่ได้พักรีสอร์ทมา ... กี่ปีแล้วนะ เหอๆๆ
นี่เพราะมากับที่บ้านนะเลยได้มาพักรีสอร์ท ไม่งั้นที่พักก็คงเป็นที่นอน และที่อาบน้ำเท่านั้น
อันนี้ขอโทษทีที่เล่นมุขควาย แต่มันหนาวววว อยาก "ว่าย" อยู่หรอกนะ แต่ทำได้แค่ "ไหว้" ไปพลางๆ เหอๆ
ตกกลางคืน ก็หนีไม่พ้น "คาราโอเกะ"
เค้าไม่จ้างด้วยนะ มันหน้าด้านขึ้นไปเอง ร้องตั้งแต่คนเต็มร้าน จนเหลือโต๊ะเราเป็นโต๊ะสุดท้าย
(อ้อ คราวนี้ไปกับครอบครัวเพื่อนแม่น่ะ บ้านนั้นก็อารมณ์เดียวกัน มือไม่ปล่อยไมค์ เหอๆ)
เช้าวันต่อมา มาดูเด็กๆ (ลูกหลานอีกบ้านนึง) มาเล่นเครื่องเล่นที่รีสอร์ทมีให้
มีนี่ "โรยตัว"
"ไต่ผา"
"รถ" (อะไรหว่า)
ส่วนเราเหรอ แหม ก็ทำหน้าสวยๆถ่ายรูปไป เหอๆๆๆๆๆ
ยังคงคอนเซ็ปเดิม ไม่มีการเสียเหงื่อในการออกกำลังกาย เหอๆๆๆ
แล้วก็เดินทางกลับ กทม. มาเที่ยวครั้งนี้นี่มันมาพักผ่อนจริงๆหว่ะ แบบไม่เคยชินอ่ะ เคยแต่เที่ยวๆๆๆทั้งวัน แล้วกลับมานอนที่ที่พัก
แต่นี่ไม่ได้เที่ยวเลย มาเปลี่ยนที่ดูละคร และมาซาบซึ้งอากาศหนาว เหอๆๆๆ
อ้อ ขากลับแวะที่จังหวัดลพบุรี ถ่ายรูปกับทุ่งทานตะวัน (ทุ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในระแวกนั้น เพราะที่เหลือพี่แกคอตกห่อเหี่ยวกันหมดแล้ว)
เอาดอกไม้ (และนางแบบ) สวยๆมาฝากสวัสดีปีใหม่ทุกคนค่าาา
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ
ปล. ขอได้รับความขอบคุณจากตากล้องคนเดิม (คุณพี่) ค่ะ
Monday, January 01, 2007
สวัสดีปีหมูค่าาา
ถึงแม้จะมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นต้อนรับปีหมูนี้ แต่ก็ขอให้เหตุการณ์ร้ายๆผ่านไปได้ด้วยดี ขอให้ประเทศไทยสงบดังเดิม
ปีใหม่ปีนี้ขอให้ทุกคน (โดยเฉพาะคนที่มาอ่านบล็อคนี้ อิอิ) มีความสุขสมหวังกันทุกคนนะคะ
"สวัสดีปีใหม่ค่ะ"
สุดท้ายเอาบุญจากศาลเจ้าพ่อเสือที่ไปไหว้มารับวันปีใหม่มาฝากทุกคน ขอให้เฮง เฮง เฮงกันถ้วนหน้านะคะ
ปล. จริงๆแล้วไปเที่ยวรับปีใหม่มา แต่ว่ายังไม่ได้ย่อรูปเลย ไว้คราวหน้าจะเอามาโพสนะคะ
ปีใหม่ปีนี้ขอให้ทุกคน (โดยเฉพาะคนที่มาอ่านบล็อคนี้ อิอิ) มีความสุขสมหวังกันทุกคนนะคะ
"สวัสดีปีใหม่ค่ะ"
สุดท้ายเอาบุญจากศาลเจ้าพ่อเสือที่ไปไหว้มารับวันปีใหม่มาฝากทุกคน ขอให้เฮง เฮง เฮงกันถ้วนหน้านะคะ
ปล. จริงๆแล้วไปเที่ยวรับปีใหม่มา แต่ว่ายังไม่ได้ย่อรูปเลย ไว้คราวหน้าจะเอามาโพสนะคะ
Subscribe to:
Posts (Atom)