สวัสดีเจ้าาา
ช่วงนี้อากาศดีอย่างจริงจัง บางทีตอนเช้ามันก็แอบหนาวเกินไปหน่อย ได้ฤกษ์งามยามดีขุดเสื้อหนาวที่ใช้ในฤดูใบไม้ผลิตอนอยู่ญี่ปุ่นมาใช้ แหมมันพอดี๊พอดี (เสื้อเยอะมาก.. นี่ชั้นซื้อกลับมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย -_-")
ว่าแต่วัน Christmas แล้วไปฉลองที่ไหนมากันหรือเปล่า
เมื่อวานนี้คืน Christmas Eve ก็ได้ฤกษ์งามยามดี ลาช่างถ่ายภาพส่วนตัว (พี่น่ะ) ไปถ่ายรูปไฟที่หน้า Central World กันดีกว่า หุหุ บังคับจิตใจกันอย่างแรง แล้วไม่หยิบกล้องตัวเองออกมาเลยนะ ใช้ของเฮียแกอย่างเดียว หุหุ
ก่อนจะออกไปข้างหน้าห้าง ก็ดูต้นข้างในไปพลางๆก่อน ต้นใหญ่ทีเดียว
อันนี้ต้นที่หน้าห้าง บอกว่าเป็นต้นคริสต์มาสที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชียวนะนี่
แล้วจะบอกว่าคนมันเยอะมากจอร์จจจจจจจจจจจ คือออกมาเพื่อถ่ายรูปกันวันนี้โดยเฉพาะเลยนะ ไม่รวมลานเบียร์นะ ซึ่งคนเต็มแน่นเอี้ยดดด ก็อย่างว่าอ่ะนะอากาศมันดีจริงๆ ถ้าอากาศร้อนๆใครมันจะมานั่งลานเบียร์
แล้วเวลาถ่ายรูปนี่ต้องแย่งกันถ่ายนะ ต่อคิวกันอย่างแรง เหอๆ
ถ่ายกับคุณตุ๊กตาขนมปังขิง
อันนี้มาเป็นคู่ ตัวใหญ่เจรงๆ ไม่กล้าจับมันแรงเดี๋ยวมันล้มทับ เหอๆ
เดินไปหน้าเกษรพลาซ่าก็มีต้นนึง เล็กหน่อยแต่สวยดี
มีกล่องของขวัญด้วย
จะบอกว่าชอบรูปนี้สุด ให้ทายว่ารูอะไร หุหุ
พี่บอกว่าถ้าจะถ่ายรูปแบบนี้ไม่ต้องมาถ่ายที่นี่ก็ได้นะ เหอๆๆๆ
กลับมาที่ในห้าง อันนี้เป็นความพยายามจะถ่ายรูปคู่ ครีเอทมะ หุหุ
แหม สตาร์บักส์ก็มีต้นคริสต์มาสของตัวเองนะ น่ารักทีเดียว
ปิดท้ายด้วย.. ข่าวที่เพิ่งรู้
เย้ออออ เมืองไทยมี muji แล้วค่ะ ที่ชั้น 6 Central World พอดีตอนที่เห็นป้ายนี่ห้างมันปิดแล้วเลยไม่ได้ขึ้นไปดูว่าราคาเท่าไหร่ แต่คาดว่าคงแพงน่าดู กลายเป็นของไฮโซไป จากที่มันแพงอยู่แล้วอ่ะนะ เหอๆ
สุดท้าย Merry Crhistmas ทุกคนเน้อออ ขอให้มีความสุขๆ ใครที่สอบอยู่ก็ตั้งใจอ่านหนังสือนะ (เราไม่มีสอบ เหอๆๆ สบายป่ะล่ะ) ส่วยคนที่หยุดก็เอ็นจอยวันหยุดและอากาศดีๆด้วยนะ ปีใหม่ไปเที่ยวเผื่อด้วยเราอาจจะเป็นนารีเฝ้าบ้าน หุหุ
Monday, December 25, 2006
Tuesday, December 19, 2006
บุกสนามเสือป่า ฝ่าลมหนาว ฟังเพลง Jazz
สวัสดีค่ะ
ตอนนี้ใครที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยคงจะอิจฉา
เพราะอากาศดีมากกกกกก อิอิ
อากาศเย็น ชิลล์สุดๆ เหมาะแก่การฟังเพลงแจ๊สที่จะพากันไปชมในวันนี้
จริงๆแล้วงานนี้ไปมาเมื่อวันเสาร์ แต่ที่เพิ่งจะมาอัพวันนี้เพราะว่าวันเสาร์โดดทำรายงานไป เลยต้องชดใช้กรรมทำรายงานทั้งวันทั้งคืน เหอๆ ... อ่อ ประกอบกับอินเตอร์เน็ทความเร็วต่ำมากของเราทำให้ไม่สามารถอัพโหลดคลิปวีดีโอลง youtube ได้ (ประมาณว่าเน็ทมันตัดทุกห้าชั่วโมงน่ะ แล้วห้าขั่วโมงผ่านไปมันยังอัพโหลดไม่เสร็จ คิดดูสิมันเต่าขนาดไหน เลยต้องเอาคอมไปพึ่งพา wireless ที่คณะเพื่อัพโหลดโดยเฉพาะ ทุ่มเทขนาดไหน เหอๆ ....
เมื่อไหร่บ้านช้านจามี adsl ฮ๊าาาาาาาาาาาาาาาา (เสียงโหยหวนจากชานเมืองกรุงเทพมหานคร)
เข้าเรื่องกันดีกว่านะคะ ขออภัยที่ต้องอุทิศพื้นที่หลายบรรทัดเพื่อทำการบ่น เหอๆ
สงสัยเหมือนกันว่าฤดูหนาวนี่เป็นฤดูกาลของเพลง jazz หรือเปล่านะ เพราะเพิ่งไปอ่านบล็อคของพี่ใหม่ที่ญี่ปุ่นก็มีงานเพลงแจ๊ซเหมือนกันนะเนี่ยยย อินเทรนด์จริงๆเลยเรา หุหุ
งานที่จะพาไปวันนี้ คืองาน "Bangkok Jazz Festival ครั้งที่ 4" ค่ะ
Bangkok Jazz Festival เริ่มจัดครั้งแรกในปี 2003 ที่สนามเสือป่า ซึ่ง (ในเว็บบอกว่า) ประสบความสำเร็จทุกๆปี โดยมีผู้ชมประมาณวันละ 20,000 คน (80% คนไทย 20% ชาวต่างชาติ) งาน 4th Bangkok Jazz Festival ในปีนี้จัดในวันที่ 15-16-17 ธันวาคมที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลา 18.00 น. – 24.00 น.
เราไปถึงสนามเสือป่าตั้งแต่ห้าโมงเย็น ของวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม
ประตูเปิดตอนหกโมงเย็นนะ แต่ตอนก่อนประตูจะเปิดก็มีคนมายืนต่อแถวรอกันเยอะแล้ว
งานนี้ได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าคุณแม่ ได้บัตร V.I.P มาถือไว้
ซึ่งถือว่าเป็นดาบสองคม เหอๆ คือมันได้ฟรีก็จริงนะ แล้วชื่อมันก็บอกว่าเป็ร Very Important Person ด้วย คือเรารู้อยู่แล้วว่างานนี้มันต้องนั่งพื้นอ่ะ แต่ด้วยความที่คิดว่ามัน V.I.P ไง เลยคิดว่ามันคงจะมีเก้าอี้ให้นั่งสิน่าา แหม คนสำคัญเชียวนะ
สรุปว่า... ไม่มีค่ะ -_-"
ก็ไม่ได้เตรียมไรไปเลย เสื่อเส่ออะไรไม่มีทั้งนั้น ไปตัวเปล่า... เหอๆๆๆ
อ่อ งานนี้ไปกับแม่ค่ะ แล้วดูสภาพแวดล้อมข้างหลังนะเค้ามีเสื่ออะไรกันเต็มที่ สองคนนี้นั่งสัมผัสพื้นผิวธรรมชาติ เหอๆ
แล้วงานก็เริ่มขั้นด้วยวงแรกคือ "Asia Beat Project"
วงนี้นานาชาติมากๆ ที่จำได้มีมือเพอร์คัชชั่นเป็นอินเดีย คียร์บอร์ดเป็นญี่ปุ่น กลองเป็นฟิลิปปินส์ เบสเป็นมาเลเซีย ขลุ่ยญี่ปุ่นเป็นอเมริกัน นักร้องนำเป็นสาวเกาหลี
แถมงานนี้ยังมีศิลปินไทยรับเชิญสามคนมาตีระยาด สีซอด้วง และเป่าขลุ่ยอีกด้วย
สามคนนั้นรู้จักคนเดียว คือคนนี้ "ขุนอิน" เหอๆ
วงต่อมาเป็นวงหนุ่มๆจากสแกนดิเนเวียร์ แล้วจะบอกว่าหน้าตาดีทั้งวงค่ะขอฟรีเซนต์ ชื่อวงว่า "Jazz Kamikaze"
(ถ่ายมาไม่ให้เห็นหน้าชัด เดี๋ยวจะมีคนแย่ง หุหุ)
Jazz Quintet (วงแจ๊ส 5 ผู้เล่น) ด้วยอัลบั้มเปิดตัว Mission 1 หลังจากได้รับรางวัลวงชนะเลิศในรายการสุดหิน Young Nordic Jazz Contest 2005 ของยุโรป โดยกลุ่มนักดนตรีพันธุ์ใหม่ที่จะมาสร้างปรากฏการณ์ในวงการแจ๊สยุโรป ทั้งๆที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในสถาบันดนตรี The Rhythmic Conservatory in Copenhagen ที่เป็นแหล่งผลิตนักดนตรีแจ๊สและคลาสสิคที่สำคัญในยุโรปเวลานี้แห่งหนึ่ง
โดยประกอบไปด้วย Morten Schantz, piano; Marius Neset, tenor sax; Daniel Davidsen, guitar; Kristor Brodsgaard, bass; Anton Eger, drums ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของนักดนตรีหัวก้าวหน้านอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก ที่ถือเป็นความหวังสำคัญของวงการในเวลานี้
ด้วยสไตล์การเล่นที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยจินตนาการในทุกแทร็คเช่นแทร็คแรก Vill Du Bli Munk? ใช้แซ็กเพียวๆนำเข้ามาอย่างสะดุดหูตลอดจนท่อนโซโล่ในแต่ละส่วนที่ต้องบอกถึงความเป็นอัจริยะของเด็กวงนี้ และชวนให้ขยับตลอดทั้งเพลงอย่างสนุกสนานด้วยงานเบสและกลองที่ขับเคลื่อนอย่างมีพลัง หรือแทร็คสอง Rastapopoulos ที่มีลูกเล่นใช้เสียงคนพูดชวนขบขันในลักษณะประกาศทางวิทยุแบบโบราณแต่ตัวเพลงฟังเพลินด้วยจังหวะที่กระชับที่แฟนฮาร์ดคอร์ต้องสะใจกับงานโซโล่ทุกช่วง หรือในแทร็คที่ห้า Well of Echoes ก็คงสร้างความมันส์ให้กับขาพังค์ร็อคและคอฟรีแจ๊สต้องทึ่งกับอารมณ์ดนตรีที่เดือดพล่านตลอดทั้งเพลง แต่ก็มาผ่อนคลายด้วยทำนองที่สวยงามหมดจดในเพลงที่หก Under a Spell
โดยตลอดทั้งอัลบั้ม Jazz Kamikazeได้นำผู้ฟังดื่มด่ำกับมิติทางดนตรีที่มีไม่บ่อยครั้งนักในวงการเพลงแจ๊สที่จะมีวงที่มีความหลากหลายทางดนตรี ตลอดจนไหวพริบ ทักษะของผู้เล่นที่ช่ำชองแต่หาได้ยัดเยียดผู้ฟังไม่ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเหมือนผู้ฟังมีส่วนร่วมในการเดินทางทางดนตรีในครั้งนี้ และเสมือนกับทั้งวงเล่นอยู่ตรงหน้าอย่างเริงร่า อัลบั้มสุดสนุกแห่งปี ซึ่งเร็วๆนี้จะมีงานอัลบั้มล่าสุดจากมือเปียโน Morten Schantz ในสไตล์ Soul Funk, Disco ในยุค70 ที่จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง
มีเล่นเพลงนึงบอกว่าขอมอบให้สาวสวยคนไทยทุกคน แอบกรี๊ดดดขอติ๊ต่างว่าเป็นเราได้ไหม เหอๆ
ต่อมาเป็นศิลปินที่เรารอคอย โดดทำรายงานมาเพื่อการณ์นี้เลยนะจะบอก นั่นคือ "Lisa Ono" นั่นเอง
Lisa Ono เป็นหนึ่งในนักดนตรีชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในภาพของ Bossa Nova Jazz เธอเป็นศิลปินที่มีความสามารถหลากหลายด้าน อาทิ นักร้อง, นักไวโอลิน, กีตาร์อะคูสติก, นักแต่งเพลง เธอมีอัลบั้มเพลงสากลที่ได้รับความนิยมมากมายกว่า 12 อัลบั้ม
รวมทั้งอัลบั้มพิเศษ ที่ได้ร่วมงานกับศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เช่น Tom Jobim, Sivuca, Paulo Moura, Danilo Caymmi, Toots Thielemans เป็นต้น Lisa Ono ศิลปินเสียงคุณภาพชาวญี่ปุ่นที่เกิดและโตในประเทศบราซิล เริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่ยังเยาว์วัย เธอเริ่มแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกที่ประเทศบราซิล ด้วยพรสวรรค์ทางด้านดนตรีประกอบแรงสนับสนุนจากบิดาซึ่งเป็นเจ้าของ nightclub ใหญ่ใน Sao Paulo อีกทั้งยังเป็นผู้จัดการส่วนตัวของ Baden Powell หลังจากนั้น ครอบครัวของเธอก็ได้ย้ายถิ่นฐานกลับมาที่ประเทศญี่ปุ่น บ้านเกิดของเธอ และทำการเปิด nightclub ใหม่ชื่อ Saci Perere Nightclub ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่ Lisa Ono ได้เปิดการแสดงดนตรีใน แนวบราซิลเลี่ยน สไตล์แซมบ้าและบอสซาโนวา รวมทั้ง ออกอัลบั้มเพลงสไตล์บราซิลเลี่ยน กับค่ายเทป Nana ในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ Lisa Ono เริ่มเป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก
งานนี้เธอมาพร้อมเพลงมากมาย รวมถึงเพลงไทยด้วยเพลงนึง!!!
ที่พยายามจะอัพโหลดคลิปวีดีโอให้ได้ก็คือเพลงนี้แหละ อยากให้ดูกันจริงๆ แบบว่าร้องชัดมากอ่ะ (แอบมีดำน้ำนิดหน่อยด้วย แต่เอาเหอะอนุโลมให้ แค่นี้ก็แก่งแล้วววว) เพลงไทยเพลงนั้นก็คือเพลง "สายชล" นั่นเอง
แล้วจะบอกว่าคนไปรุมหน้าเวทีเยอะมากกกก คนญี่ปุ่นมาก็เยอะ เม้าท์กันใหญ่เลยเธออออออ ดีนะไม่เม้าท์เราไม่งั้นจาหันไปยิ้มหวานๆให้ทีนึง เหอๆ
วงสุดท้ายที่มาเล่นในวันนี้คือ "Yellowjacket"
รายนามสมาชิกวง Yellowjacket ในปัจจุบัน
1. Russell Ferrante Keyboard
2. Jimmy Haslip Bass
3. Bob Mintzer Saxophone
4. Marcus Baylor Drums
Yellowjacket ถือเป็นวงที่ประสบความสำเร็จในสายดนตรีชั้นสูงอย่าง Rhythm & Jazz วงหนึ่ง โดยในปี 1981 พวกเขาเริ่มต้นผลงานทางดนตรีชิ้นแรกเป็นสไตล์ R & B ซึ่งขณะนั้นมือกีตาร์ของวงคือ Robben Ford แต่หลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนมือกีตาร์คนใหม่เป็น Marc Russo และทำเพลงภายใต้สังกัด Warner Brothers ต่อมาจึงย้ายสังกัดไปอยู่กับ MCA/GRP ในปี 1986 หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนนักดนตรีอีกครั้ง จาก Marc Russo เป็น Bob Mintzer ในต้นปี 1990 พร้อมทั้งย้ายสังกัดมาที่ Warner Brothers ปี 1995 โดยได้ออกอัลบั้มใหม่ จำนวน 3 อัลบั้ม ก่อนที่จะย้ายสังกัดมาที่ Heads Up Label เมื่อปี 2002 ในชื่อชุด Mint Jam , Time Squared , Peace Round , Altered State
วงนี้เราดูยังไม่ทันครบทุกเพลงก็ขอบายกลับก่อน งานมันจบเที่ยงคืนไง แต่ห้าทุ่มกว่าเราก็เมื่อยตุ้มจะตายอยู่แล้ว เลยขออนุญาติบอกลาลุงๆ กลับบ้านก่อนนะเออ เหอๆ
ระหว่าเดินออกหันไปมองคนที่มาดู เออมันเยอะจริงๆหว่ะ (นั่งอยู่ข้างหน้าไง เกือบหน้าสุดอ่ะ แบบว่าไปเร็ว เลยไม่ได้หันไปมองข้างหลังเลย)
รูปสุดท้ายเก็บตก เป็นกลุ่มที่เตรียมอุปกรณ์ไปพร้อมที่สุดในระแวกตัวเรา ท่าจะนั่งสบาย เหอๆ
กลับบ้านด้วยความสุขสันต์และรื่นรมในการชมดนตรี อากาศก็ดี เพลงก็เพราะ (แหมถ้าที่นั่งสบายกว่านี้นิดนึงนะ..) งานดีๆแบบนี้ปีหน้าไม่พลาดแน่ๆพี่น้องงงงงง
ตอนนี้ใครที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยคงจะอิจฉา
เพราะอากาศดีมากกกกกก อิอิ
อากาศเย็น ชิลล์สุดๆ เหมาะแก่การฟังเพลงแจ๊สที่จะพากันไปชมในวันนี้
จริงๆแล้วงานนี้ไปมาเมื่อวันเสาร์ แต่ที่เพิ่งจะมาอัพวันนี้เพราะว่าวันเสาร์โดดทำรายงานไป เลยต้องชดใช้กรรมทำรายงานทั้งวันทั้งคืน เหอๆ ... อ่อ ประกอบกับอินเตอร์เน็ทความเร็วต่ำมากของเราทำให้ไม่สามารถอัพโหลดคลิปวีดีโอลง youtube ได้ (ประมาณว่าเน็ทมันตัดทุกห้าชั่วโมงน่ะ แล้วห้าขั่วโมงผ่านไปมันยังอัพโหลดไม่เสร็จ คิดดูสิมันเต่าขนาดไหน เลยต้องเอาคอมไปพึ่งพา wireless ที่คณะเพื่อัพโหลดโดยเฉพาะ ทุ่มเทขนาดไหน เหอๆ ....
เมื่อไหร่บ้านช้านจามี adsl ฮ๊าาาาาาาาาาาาาาาา (เสียงโหยหวนจากชานเมืองกรุงเทพมหานคร)
เข้าเรื่องกันดีกว่านะคะ ขออภัยที่ต้องอุทิศพื้นที่หลายบรรทัดเพื่อทำการบ่น เหอๆ
สงสัยเหมือนกันว่าฤดูหนาวนี่เป็นฤดูกาลของเพลง jazz หรือเปล่านะ เพราะเพิ่งไปอ่านบล็อคของพี่ใหม่ที่ญี่ปุ่นก็มีงานเพลงแจ๊ซเหมือนกันนะเนี่ยยย อินเทรนด์จริงๆเลยเรา หุหุ
งานที่จะพาไปวันนี้ คืองาน "Bangkok Jazz Festival ครั้งที่ 4" ค่ะ
Bangkok Jazz Festival เริ่มจัดครั้งแรกในปี 2003 ที่สนามเสือป่า ซึ่ง (ในเว็บบอกว่า) ประสบความสำเร็จทุกๆปี โดยมีผู้ชมประมาณวันละ 20,000 คน (80% คนไทย 20% ชาวต่างชาติ) งาน 4th Bangkok Jazz Festival ในปีนี้จัดในวันที่ 15-16-17 ธันวาคมที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลา 18.00 น. – 24.00 น.
เราไปถึงสนามเสือป่าตั้งแต่ห้าโมงเย็น ของวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม
ประตูเปิดตอนหกโมงเย็นนะ แต่ตอนก่อนประตูจะเปิดก็มีคนมายืนต่อแถวรอกันเยอะแล้ว
งานนี้ได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าคุณแม่ ได้บัตร V.I.P มาถือไว้
ซึ่งถือว่าเป็นดาบสองคม เหอๆ คือมันได้ฟรีก็จริงนะ แล้วชื่อมันก็บอกว่าเป็ร Very Important Person ด้วย คือเรารู้อยู่แล้วว่างานนี้มันต้องนั่งพื้นอ่ะ แต่ด้วยความที่คิดว่ามัน V.I.P ไง เลยคิดว่ามันคงจะมีเก้าอี้ให้นั่งสิน่าา แหม คนสำคัญเชียวนะ
สรุปว่า... ไม่มีค่ะ -_-"
ก็ไม่ได้เตรียมไรไปเลย เสื่อเส่ออะไรไม่มีทั้งนั้น ไปตัวเปล่า... เหอๆๆๆ
อ่อ งานนี้ไปกับแม่ค่ะ แล้วดูสภาพแวดล้อมข้างหลังนะเค้ามีเสื่ออะไรกันเต็มที่ สองคนนี้นั่งสัมผัสพื้นผิวธรรมชาติ เหอๆ
แล้วงานก็เริ่มขั้นด้วยวงแรกคือ "Asia Beat Project"
วงนี้นานาชาติมากๆ ที่จำได้มีมือเพอร์คัชชั่นเป็นอินเดีย คียร์บอร์ดเป็นญี่ปุ่น กลองเป็นฟิลิปปินส์ เบสเป็นมาเลเซีย ขลุ่ยญี่ปุ่นเป็นอเมริกัน นักร้องนำเป็นสาวเกาหลี
แถมงานนี้ยังมีศิลปินไทยรับเชิญสามคนมาตีระยาด สีซอด้วง และเป่าขลุ่ยอีกด้วย
สามคนนั้นรู้จักคนเดียว คือคนนี้ "ขุนอิน" เหอๆ
วงต่อมาเป็นวงหนุ่มๆจากสแกนดิเนเวียร์ แล้วจะบอกว่าหน้าตาดีทั้งวงค่ะขอฟรีเซนต์ ชื่อวงว่า "Jazz Kamikaze"
(ถ่ายมาไม่ให้เห็นหน้าชัด เดี๋ยวจะมีคนแย่ง หุหุ)
Jazz Quintet (วงแจ๊ส 5 ผู้เล่น) ด้วยอัลบั้มเปิดตัว Mission 1 หลังจากได้รับรางวัลวงชนะเลิศในรายการสุดหิน Young Nordic Jazz Contest 2005 ของยุโรป โดยกลุ่มนักดนตรีพันธุ์ใหม่ที่จะมาสร้างปรากฏการณ์ในวงการแจ๊สยุโรป ทั้งๆที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในสถาบันดนตรี The Rhythmic Conservatory in Copenhagen ที่เป็นแหล่งผลิตนักดนตรีแจ๊สและคลาสสิคที่สำคัญในยุโรปเวลานี้แห่งหนึ่ง
โดยประกอบไปด้วย Morten Schantz, piano; Marius Neset, tenor sax; Daniel Davidsen, guitar; Kristor Brodsgaard, bass; Anton Eger, drums ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของนักดนตรีหัวก้าวหน้านอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก ที่ถือเป็นความหวังสำคัญของวงการในเวลานี้
ด้วยสไตล์การเล่นที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยจินตนาการในทุกแทร็คเช่นแทร็คแรก Vill Du Bli Munk? ใช้แซ็กเพียวๆนำเข้ามาอย่างสะดุดหูตลอดจนท่อนโซโล่ในแต่ละส่วนที่ต้องบอกถึงความเป็นอัจริยะของเด็กวงนี้ และชวนให้ขยับตลอดทั้งเพลงอย่างสนุกสนานด้วยงานเบสและกลองที่ขับเคลื่อนอย่างมีพลัง หรือแทร็คสอง Rastapopoulos ที่มีลูกเล่นใช้เสียงคนพูดชวนขบขันในลักษณะประกาศทางวิทยุแบบโบราณแต่ตัวเพลงฟังเพลินด้วยจังหวะที่กระชับที่แฟนฮาร์ดคอร์ต้องสะใจกับงานโซโล่ทุกช่วง หรือในแทร็คที่ห้า Well of Echoes ก็คงสร้างความมันส์ให้กับขาพังค์ร็อคและคอฟรีแจ๊สต้องทึ่งกับอารมณ์ดนตรีที่เดือดพล่านตลอดทั้งเพลง แต่ก็มาผ่อนคลายด้วยทำนองที่สวยงามหมดจดในเพลงที่หก Under a Spell
โดยตลอดทั้งอัลบั้ม Jazz Kamikazeได้นำผู้ฟังดื่มด่ำกับมิติทางดนตรีที่มีไม่บ่อยครั้งนักในวงการเพลงแจ๊สที่จะมีวงที่มีความหลากหลายทางดนตรี ตลอดจนไหวพริบ ทักษะของผู้เล่นที่ช่ำชองแต่หาได้ยัดเยียดผู้ฟังไม่ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเหมือนผู้ฟังมีส่วนร่วมในการเดินทางทางดนตรีในครั้งนี้ และเสมือนกับทั้งวงเล่นอยู่ตรงหน้าอย่างเริงร่า อัลบั้มสุดสนุกแห่งปี ซึ่งเร็วๆนี้จะมีงานอัลบั้มล่าสุดจากมือเปียโน Morten Schantz ในสไตล์ Soul Funk, Disco ในยุค70 ที่จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง
มีเล่นเพลงนึงบอกว่าขอมอบให้สาวสวยคนไทยทุกคน แอบกรี๊ดดดขอติ๊ต่างว่าเป็นเราได้ไหม เหอๆ
ต่อมาเป็นศิลปินที่เรารอคอย โดดทำรายงานมาเพื่อการณ์นี้เลยนะจะบอก นั่นคือ "Lisa Ono" นั่นเอง
Lisa Ono เป็นหนึ่งในนักดนตรีชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในภาพของ Bossa Nova Jazz เธอเป็นศิลปินที่มีความสามารถหลากหลายด้าน อาทิ นักร้อง, นักไวโอลิน, กีตาร์อะคูสติก, นักแต่งเพลง เธอมีอัลบั้มเพลงสากลที่ได้รับความนิยมมากมายกว่า 12 อัลบั้ม
รวมทั้งอัลบั้มพิเศษ ที่ได้ร่วมงานกับศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เช่น Tom Jobim, Sivuca, Paulo Moura, Danilo Caymmi, Toots Thielemans เป็นต้น Lisa Ono ศิลปินเสียงคุณภาพชาวญี่ปุ่นที่เกิดและโตในประเทศบราซิล เริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่ยังเยาว์วัย เธอเริ่มแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกที่ประเทศบราซิล ด้วยพรสวรรค์ทางด้านดนตรีประกอบแรงสนับสนุนจากบิดาซึ่งเป็นเจ้าของ nightclub ใหญ่ใน Sao Paulo อีกทั้งยังเป็นผู้จัดการส่วนตัวของ Baden Powell หลังจากนั้น ครอบครัวของเธอก็ได้ย้ายถิ่นฐานกลับมาที่ประเทศญี่ปุ่น บ้านเกิดของเธอ และทำการเปิด nightclub ใหม่ชื่อ Saci Perere Nightclub ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่ Lisa Ono ได้เปิดการแสดงดนตรีใน แนวบราซิลเลี่ยน สไตล์แซมบ้าและบอสซาโนวา รวมทั้ง ออกอัลบั้มเพลงสไตล์บราซิลเลี่ยน กับค่ายเทป Nana ในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ Lisa Ono เริ่มเป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก
งานนี้เธอมาพร้อมเพลงมากมาย รวมถึงเพลงไทยด้วยเพลงนึง!!!
ที่พยายามจะอัพโหลดคลิปวีดีโอให้ได้ก็คือเพลงนี้แหละ อยากให้ดูกันจริงๆ แบบว่าร้องชัดมากอ่ะ (แอบมีดำน้ำนิดหน่อยด้วย แต่เอาเหอะอนุโลมให้ แค่นี้ก็แก่งแล้วววว) เพลงไทยเพลงนั้นก็คือเพลง "สายชล" นั่นเอง
แล้วจะบอกว่าคนไปรุมหน้าเวทีเยอะมากกกก คนญี่ปุ่นมาก็เยอะ เม้าท์กันใหญ่เลยเธออออออ ดีนะไม่เม้าท์เราไม่งั้นจาหันไปยิ้มหวานๆให้ทีนึง เหอๆ
วงสุดท้ายที่มาเล่นในวันนี้คือ "Yellowjacket"
รายนามสมาชิกวง Yellowjacket ในปัจจุบัน
1. Russell Ferrante Keyboard
2. Jimmy Haslip Bass
3. Bob Mintzer Saxophone
4. Marcus Baylor Drums
Yellowjacket ถือเป็นวงที่ประสบความสำเร็จในสายดนตรีชั้นสูงอย่าง Rhythm & Jazz วงหนึ่ง โดยในปี 1981 พวกเขาเริ่มต้นผลงานทางดนตรีชิ้นแรกเป็นสไตล์ R & B ซึ่งขณะนั้นมือกีตาร์ของวงคือ Robben Ford แต่หลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนมือกีตาร์คนใหม่เป็น Marc Russo และทำเพลงภายใต้สังกัด Warner Brothers ต่อมาจึงย้ายสังกัดไปอยู่กับ MCA/GRP ในปี 1986 หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนนักดนตรีอีกครั้ง จาก Marc Russo เป็น Bob Mintzer ในต้นปี 1990 พร้อมทั้งย้ายสังกัดมาที่ Warner Brothers ปี 1995 โดยได้ออกอัลบั้มใหม่ จำนวน 3 อัลบั้ม ก่อนที่จะย้ายสังกัดมาที่ Heads Up Label เมื่อปี 2002 ในชื่อชุด Mint Jam , Time Squared , Peace Round , Altered State
วงนี้เราดูยังไม่ทันครบทุกเพลงก็ขอบายกลับก่อน งานมันจบเที่ยงคืนไง แต่ห้าทุ่มกว่าเราก็เมื่อยตุ้มจะตายอยู่แล้ว เลยขออนุญาติบอกลาลุงๆ กลับบ้านก่อนนะเออ เหอๆ
ระหว่าเดินออกหันไปมองคนที่มาดู เออมันเยอะจริงๆหว่ะ (นั่งอยู่ข้างหน้าไง เกือบหน้าสุดอ่ะ แบบว่าไปเร็ว เลยไม่ได้หันไปมองข้างหลังเลย)
รูปสุดท้ายเก็บตก เป็นกลุ่มที่เตรียมอุปกรณ์ไปพร้อมที่สุดในระแวกตัวเรา ท่าจะนั่งสบาย เหอๆ
กลับบ้านด้วยความสุขสันต์และรื่นรมในการชมดนตรี อากาศก็ดี เพลงก็เพราะ (แหมถ้าที่นั่งสบายกว่านี้นิดนึงนะ..) งานดีๆแบบนี้ปีหน้าไม่พลาดแน่ๆพี่น้องงงงงง
Wednesday, December 13, 2006
เมื่อ...อยากเป็นคนมีระดับ
สวัสดีค่ะ
ช่วงนี้ไม่มีอะไรจะเล่าเท่าไหร่
อาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงเทศกาลแห่งการสอบ เลยไม่มีใครจัดงานอะไรเลย
ก็เลยได้ทีเอาเรื่องเก่าเก็บมาเล่าให้ฟัง เหอๆ
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่เป็นคนไร้ระดับมานาน
หลังจากการสอบคราวนี้คงจะมีระดับขึ้นมาบ้าง
ระดับที่ว่าคือระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง เหอๆ
จริงๆแล้วต้องรีบไปสอบให้มันมีระดับซะก่อนที่มันจะลืม
ช่วงนี้โง่ลงจริงๆ พูดอะไรไม่ค่อยออกแล้ว สงสัยไม่ค่อยได้เล่นเกม เหอๆ
การสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่น เป็นการสอบที่มีปีละครั้ง
ไม่เหมือนกับการสอบพวก TOEFL หรือ IELTS ที่มีกันทุกเดือน (ว่าจะไปสอบเหมือนกันยังไม่ได้ไปเลย นี่คงเป็นข้อเสียของการจัดการสอบทุกเดือน คือมันก็ผลัดไปเรื่อยๆ สอบเดือนหน้าก็ได้ๆๆ อะไรยังงี้)
อ่อ สำหรับการสอบวัดระดับครั้งนี้เป็นการสอบครั้งแรก ก็แหงล่ะเพิ่งจะเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนที่อยู่ญี่ปุ่น ก่อนหน้านั้นมันจะเอาอะไรไปสอบล่ะยะ เหอๆ
ระดับของภาษาญี่ปุ่นแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ 1 2 3 และ 4 ทำความเข้าใจง่ายๆคือ ระดับหนึ่งคือเก่งสุด แล้วก็ไล่ลงมา
ปีนี้สอบระดับ 3 เพราะคงไม่สามารถปีกกล้าขาแข็งไปสอบระดับสองได้ แบบว่าขี้เกียจง่ะ จะสอบระดับสองได้ต้องอ่านกันบ้าไปเลย (แล้วใช่ว่าถ้าไม่ขี้เกียจแล้วมันจะสอบได้นะ เหอๆ)
ระดับสามกับสี่สอบที่ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต
ที่คณะนี้
แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เพราะมันไกลมากกกกก ตื่นตีห้าครึ่งอ่ะ ตื่นเช้ากว่าไปเรียนอีก เหอๆ
แล้วเพราะว่าเป็นการสอบที่จัดขึ้นปีละครั้ง เลยมีคนมากมายขนาดนี้
ไปดูที่หน้าห้องสอบกันมั่ง ยืนออกันเต็มเลยทีเดียว
อวดบัตรสอบให้ดูก่อน เดี๋ยวจะหาว่าโม้
แอบถ่ายในห้องให้ดูด้วย เหอๆ
แล้วก็เข้าไปสอบ...
ทำได้หรือเปล่าน่ะเหรอ....
อืม...............................
รอผลสอบออกตอนเดือนมีนาละกันนะว่าผ่านหรือเปล่า เหอๆๆๆๆๆๆ
สุดท้ายรูปเก็บตก
เนื่องจากมันจะถึงงานบอลแล้ว ก็เลยมีอะไรแบบนี้เป็นเครื่องประดับมหาลัยไปด้วย
แล้วเจอกันงานบอลนะธรรมศาสตร์ หุหุ
ช่วงนี้ไม่มีอะไรจะเล่าเท่าไหร่
อาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงเทศกาลแห่งการสอบ เลยไม่มีใครจัดงานอะไรเลย
ก็เลยได้ทีเอาเรื่องเก่าเก็บมาเล่าให้ฟัง เหอๆ
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่เป็นคนไร้ระดับมานาน
หลังจากการสอบคราวนี้คงจะมีระดับขึ้นมาบ้าง
ระดับที่ว่าคือระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง เหอๆ
จริงๆแล้วต้องรีบไปสอบให้มันมีระดับซะก่อนที่มันจะลืม
ช่วงนี้โง่ลงจริงๆ พูดอะไรไม่ค่อยออกแล้ว สงสัยไม่ค่อยได้เล่นเกม เหอๆ
การสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่น เป็นการสอบที่มีปีละครั้ง
ไม่เหมือนกับการสอบพวก TOEFL หรือ IELTS ที่มีกันทุกเดือน (ว่าจะไปสอบเหมือนกันยังไม่ได้ไปเลย นี่คงเป็นข้อเสียของการจัดการสอบทุกเดือน คือมันก็ผลัดไปเรื่อยๆ สอบเดือนหน้าก็ได้ๆๆ อะไรยังงี้)
อ่อ สำหรับการสอบวัดระดับครั้งนี้เป็นการสอบครั้งแรก ก็แหงล่ะเพิ่งจะเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนที่อยู่ญี่ปุ่น ก่อนหน้านั้นมันจะเอาอะไรไปสอบล่ะยะ เหอๆ
ระดับของภาษาญี่ปุ่นแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ 1 2 3 และ 4 ทำความเข้าใจง่ายๆคือ ระดับหนึ่งคือเก่งสุด แล้วก็ไล่ลงมา
ปีนี้สอบระดับ 3 เพราะคงไม่สามารถปีกกล้าขาแข็งไปสอบระดับสองได้ แบบว่าขี้เกียจง่ะ จะสอบระดับสองได้ต้องอ่านกันบ้าไปเลย (แล้วใช่ว่าถ้าไม่ขี้เกียจแล้วมันจะสอบได้นะ เหอๆ)
ระดับสามกับสี่สอบที่ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต
ที่คณะนี้
แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เพราะมันไกลมากกกกก ตื่นตีห้าครึ่งอ่ะ ตื่นเช้ากว่าไปเรียนอีก เหอๆ
แล้วเพราะว่าเป็นการสอบที่จัดขึ้นปีละครั้ง เลยมีคนมากมายขนาดนี้
ไปดูที่หน้าห้องสอบกันมั่ง ยืนออกันเต็มเลยทีเดียว
อวดบัตรสอบให้ดูก่อน เดี๋ยวจะหาว่าโม้
แอบถ่ายในห้องให้ดูด้วย เหอๆ
แล้วก็เข้าไปสอบ...
ทำได้หรือเปล่าน่ะเหรอ....
อืม...............................
รอผลสอบออกตอนเดือนมีนาละกันนะว่าผ่านหรือเปล่า เหอๆๆๆๆๆๆ
สุดท้ายรูปเก็บตก
เนื่องจากมันจะถึงงานบอลแล้ว ก็เลยมีอะไรแบบนี้เป็นเครื่องประดับมหาลัยไปด้วย
แล้วเจอกันงานบอลนะธรรมศาสตร์ หุหุ
Friday, December 08, 2006
พาชมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยว งานบอลครั้งที่ 63
สวัสดีค่ะ
ช่วงนี้มีอะไรดีๆหลายอย่าง
นอกจากจะเป็นเดือนธันวาฯที่เป็นเดือนที่มีวันหยุดโคตรจะเยอะแล้ว
ลมหนาวก็เริ่มๆจะพัดมาแล้วค่ะ
เดือนธันวาคม (ของเมืองไทย) นี่เป็นเดือนที่เหมาะสำหรับคนขี้เกียจอย่างเราจริงๆ
อากาศเย็นสบาย วันหยุดเยอะๆ ไม่ต้องตื่นไปเรียน โอ้ววว นอนหลับสบายเสียนี่กระไร
เดือนธันวานี่นอกจากจะเป็นเดือนที่เหมาะสำหรับคนขี้กียจแล้ว
ยังเป็นเดือนที่อาจเรียกได้ว่ากำลังที่จะเข้าสู่เทศกาลงานบอล
หรืองานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ที่จัดขึ้นเป็นประจำแทบจะทุกปี
(บางปีไม่ได้จัดเนื่องจากมีเหตุการณ์ทางการเมือง ฯลฯ)
ช่วงนี้ถ้าเดินไปไหนมาไหนรอบจุฬาฯก็จะเห็นคัทเอ้าท์ต่างๆ ร่วมถึงจะเห็นนิสิตนั่งตามพื้นเป็นหย่อมๆ เพื่อเตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่จะเป็นส่วนประกอบในงานบอลซึ่งจะจัดในต้นปีหน้านี้
นอกจากเชียร์หลีดเดอร์ซึ่งเป็นสีสันหนึ่งในงานบอลแล้ว
อีกตำแหน่งหน้าที่หนึ่งที่จุฬาฯมองเห็นว่าเป็นหน้าที่อันสำคัญมากในวันงานบอล
(รวมถึงช่วงก่อนงานบอลด้วยนะ) ก็คือตำแหน่ง "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" นั่นเอง
ตัวเราเองบางทีก็รู้สึกว่าตำแหน่ง และบุคคลเหล่านี้ (ทั้งหลีด และกลุ่มตัวแทนนิสิตซึ่งสองในสิบคนนั้นจะถูกคัดเลือกเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยวต่อมา) มักจะมีความสำคัญกว่าหัวใจของงาน นั่นก็คือ "ฟุตบอล" เสียอีก ชื่อก็บอลอยู่แล้วว่างานบอล แต่พอวันงานจริงๆก็ไม่ยักจะมีใครสนใจตัวฟุตบอลมากซักเท่าไหร่ เชื่อได้ว่าคนส่วนมากมักจะจำหน้าหลีด และผู้อัญเชิญได้มากกว่าจำสกอร์ฟุตบอลในแต่ละปีได้ซะอีก
ซึ่งเราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม??
ตัวเราเองตอนปีสองเคยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานเชียร์หลีดเดอร์ และกลุ่มตัวแทนนิสิต ว่าง่ายๆอาจจะเรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งผู้จัดการก็ว่าได้ หน้าที่หลักๆก็คือคอยรับโทรศัพท์ คอยจัดคิวให้หลีดและกลุ่มตัวแทนฯ ไปออกรายการต่างๆ ไปพบปะสื่อมวลชน เยี่ยมหนังสือพิมพ์ เล่นเกมโชว์ทางทีวี ฯลฯ ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์งานบอลไปในตัว
แต่สงสัยกันไหม ทำไมไม่มีใครสนใจนักบอล???
นั่นสิ ทำไมไม่เห็นมีใครขอสัมภาษณ์นักบอลเลย นี่มันงานบอลนะ ไม่ใช่งานประกวดเชียร์หลีดเดอร์!!!
ไม่เอาๆ บ่นมาก เข้าเรื่องดีกว่า
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปชมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยว สำหรับงานบอลฯครั้งที่ 63 มา
ร้อยวันพันปีไม่เคยไปดู แต่เพราะมีรุ่นน้องที่สนิทกันอยู่คนนึงได้รับเลือกเป็นหนึ่งในตัวแทนนิสิตฯ ซึ่งจะเข้าร่วมการคัดเลือกนี้ด้วย
(แล้วจากที่สังเกตุมาก็มีแต่กองเชียร์เท่านั้นแหละที่ไปดู ไม่รู้จักจะไปดูทำไมจริงป่ะ)
อย่างที่เกริ่นไว้แล้วข้างบนๆว่าผู้อัญเชิญพระเกี้ยวจะถูกคัดเลือกมาจากกลุ่มตัวแทนนิสิตซึ่งปีนี้มีสิบคน
กลุ่มตัวแทนนี้ก็ได้รับคัดเลือกมาจากกลุ่มตัวแทนนิสิตปีเก่าๆมาก่อน คือใครจะสมัครก็ได้แล้วก็คัดเลือกกันสามสี่รอบให้เหลือสิบคน (บางปีก็ 12 คนแล้วแต่อารมณ์เค้ามั้ง) แต่เกณฑ์กันตัดสินนี่ไม่รู้เค้าทำยังไงเหมือนกันเพระาไม่เคยไปสมัคร เพราะก่อนไปสมัครนี่ก็พอตัวรู้อยู่แล้วว่าหน้าตาคงไม่เข้าขั้น (การคัดเลือกเพื่อเป็นประชาสัมพันธ์งานใดๆ หน้าตาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเสมอล่ะนะ)
ไปดูบรรยากาศงานกันดีกว่า
ให้ดูกันก่อนว่า ช่างภาพสื่อมวลชนมากันมากมายทีเดียว
วันนี้ไปเชียร์คนนี้
ขอบอกว่า วันนี้แกเรียบร้อยมากริโกะ เหอๆ
มีการตอบคำถามด้วย เหมือนประกวดนางงอม เอ้ย นางงาม
เมื่อตอบคำถามครบทั้งสิบคน ก็มีการพูดคุยกับกลุ่มทูตบำเพ็ญประโยชน์ (ชื่อนี้หรือเปล่า??) ของธรรมศาสตร์
ใกล้ประกาศผลแล้ว โชว์ตัวกันก่อน
น้องวิทย์สุดหล่อได้ตำแหน่ง popular vote ไป
ส่วนริโกะน้องรัก ได้ทำหน้าที่ผู้อัญเชิญถ้วยพระราชทาน
และนี่คือโฉมหน้าผู้อัญเชิญพระเกี้ยวปีนี้ของจุฬาฯ
ฝ่ายหญิงชื่ออะไรจำไม่ได้ อยู่คณะอักษรศาสตร์ปี 1 ฝ่ายชายคือน้องบิ๊ก รัฐศาสตร์ ปี 4
ขอแสดงความยินดีด้วยกับทุกคนนะคะ แล้วก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
คราวหน้าจะพาไปชมอะไรอีก อย่าลืมติดตามกันนะ
สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
ช่วงนี้มีอะไรดีๆหลายอย่าง
นอกจากจะเป็นเดือนธันวาฯที่เป็นเดือนที่มีวันหยุดโคตรจะเยอะแล้ว
ลมหนาวก็เริ่มๆจะพัดมาแล้วค่ะ
เดือนธันวาคม (ของเมืองไทย) นี่เป็นเดือนที่เหมาะสำหรับคนขี้เกียจอย่างเราจริงๆ
อากาศเย็นสบาย วันหยุดเยอะๆ ไม่ต้องตื่นไปเรียน โอ้ววว นอนหลับสบายเสียนี่กระไร
เดือนธันวานี่นอกจากจะเป็นเดือนที่เหมาะสำหรับคนขี้กียจแล้ว
ยังเป็นเดือนที่อาจเรียกได้ว่ากำลังที่จะเข้าสู่เทศกาลงานบอล
หรืองานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ที่จัดขึ้นเป็นประจำแทบจะทุกปี
(บางปีไม่ได้จัดเนื่องจากมีเหตุการณ์ทางการเมือง ฯลฯ)
ช่วงนี้ถ้าเดินไปไหนมาไหนรอบจุฬาฯก็จะเห็นคัทเอ้าท์ต่างๆ ร่วมถึงจะเห็นนิสิตนั่งตามพื้นเป็นหย่อมๆ เพื่อเตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่จะเป็นส่วนประกอบในงานบอลซึ่งจะจัดในต้นปีหน้านี้
นอกจากเชียร์หลีดเดอร์ซึ่งเป็นสีสันหนึ่งในงานบอลแล้ว
อีกตำแหน่งหน้าที่หนึ่งที่จุฬาฯมองเห็นว่าเป็นหน้าที่อันสำคัญมากในวันงานบอล
(รวมถึงช่วงก่อนงานบอลด้วยนะ) ก็คือตำแหน่ง "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" นั่นเอง
ตัวเราเองบางทีก็รู้สึกว่าตำแหน่ง และบุคคลเหล่านี้ (ทั้งหลีด และกลุ่มตัวแทนนิสิตซึ่งสองในสิบคนนั้นจะถูกคัดเลือกเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยวต่อมา) มักจะมีความสำคัญกว่าหัวใจของงาน นั่นก็คือ "ฟุตบอล" เสียอีก ชื่อก็บอลอยู่แล้วว่างานบอล แต่พอวันงานจริงๆก็ไม่ยักจะมีใครสนใจตัวฟุตบอลมากซักเท่าไหร่ เชื่อได้ว่าคนส่วนมากมักจะจำหน้าหลีด และผู้อัญเชิญได้มากกว่าจำสกอร์ฟุตบอลในแต่ละปีได้ซะอีก
ซึ่งเราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม??
ตัวเราเองตอนปีสองเคยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานเชียร์หลีดเดอร์ และกลุ่มตัวแทนนิสิต ว่าง่ายๆอาจจะเรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งผู้จัดการก็ว่าได้ หน้าที่หลักๆก็คือคอยรับโทรศัพท์ คอยจัดคิวให้หลีดและกลุ่มตัวแทนฯ ไปออกรายการต่างๆ ไปพบปะสื่อมวลชน เยี่ยมหนังสือพิมพ์ เล่นเกมโชว์ทางทีวี ฯลฯ ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์งานบอลไปในตัว
แต่สงสัยกันไหม ทำไมไม่มีใครสนใจนักบอล???
นั่นสิ ทำไมไม่เห็นมีใครขอสัมภาษณ์นักบอลเลย นี่มันงานบอลนะ ไม่ใช่งานประกวดเชียร์หลีดเดอร์!!!
ไม่เอาๆ บ่นมาก เข้าเรื่องดีกว่า
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปชมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยว สำหรับงานบอลฯครั้งที่ 63 มา
ร้อยวันพันปีไม่เคยไปดู แต่เพราะมีรุ่นน้องที่สนิทกันอยู่คนนึงได้รับเลือกเป็นหนึ่งในตัวแทนนิสิตฯ ซึ่งจะเข้าร่วมการคัดเลือกนี้ด้วย
(แล้วจากที่สังเกตุมาก็มีแต่กองเชียร์เท่านั้นแหละที่ไปดู ไม่รู้จักจะไปดูทำไมจริงป่ะ)
อย่างที่เกริ่นไว้แล้วข้างบนๆว่าผู้อัญเชิญพระเกี้ยวจะถูกคัดเลือกมาจากกลุ่มตัวแทนนิสิตซึ่งปีนี้มีสิบคน
กลุ่มตัวแทนนี้ก็ได้รับคัดเลือกมาจากกลุ่มตัวแทนนิสิตปีเก่าๆมาก่อน คือใครจะสมัครก็ได้แล้วก็คัดเลือกกันสามสี่รอบให้เหลือสิบคน (บางปีก็ 12 คนแล้วแต่อารมณ์เค้ามั้ง) แต่เกณฑ์กันตัดสินนี่ไม่รู้เค้าทำยังไงเหมือนกันเพระาไม่เคยไปสมัคร เพราะก่อนไปสมัครนี่ก็พอตัวรู้อยู่แล้วว่าหน้าตาคงไม่เข้าขั้น (การคัดเลือกเพื่อเป็นประชาสัมพันธ์งานใดๆ หน้าตาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเสมอล่ะนะ)
ไปดูบรรยากาศงานกันดีกว่า
ให้ดูกันก่อนว่า ช่างภาพสื่อมวลชนมากันมากมายทีเดียว
วันนี้ไปเชียร์คนนี้
ขอบอกว่า วันนี้แกเรียบร้อยมากริโกะ เหอๆ
มีการตอบคำถามด้วย เหมือนประกวดนางงอม เอ้ย นางงาม
เมื่อตอบคำถามครบทั้งสิบคน ก็มีการพูดคุยกับกลุ่มทูตบำเพ็ญประโยชน์ (ชื่อนี้หรือเปล่า??) ของธรรมศาสตร์
ใกล้ประกาศผลแล้ว โชว์ตัวกันก่อน
น้องวิทย์สุดหล่อได้ตำแหน่ง popular vote ไป
ส่วนริโกะน้องรัก ได้ทำหน้าที่ผู้อัญเชิญถ้วยพระราชทาน
และนี่คือโฉมหน้าผู้อัญเชิญพระเกี้ยวปีนี้ของจุฬาฯ
ฝ่ายหญิงชื่ออะไรจำไม่ได้ อยู่คณะอักษรศาสตร์ปี 1 ฝ่ายชายคือน้องบิ๊ก รัฐศาสตร์ ปี 4
ขอแสดงความยินดีด้วยกับทุกคนนะคะ แล้วก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
คราวหน้าจะพาไปชมอะไรอีก อย่าลืมติดตามกันนะ
สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
Monday, December 04, 2006
ไอ้โรคจิตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต
วันนี้ขอมาเล่าเรื่องโดยไร้ภาพประกอบใดๆทั้งสิ้น
แต่ขอให้คุณผู้อ่านได้ใช้จินตนาการประกอบไปกับการบรรยายของเราไปด้วย
จินตนาการไปด้วบนะ อย่าลืมมมมม หุหุหุ
ตอนแรกตั้งใจว่าเรื่องต่อไปที่จะมาอัพวันนี้คือเรื่องที่ไปสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นมา แต่พอดีว่าวันนี้ดันมีเหตุการณ์ระทึกขวัญเข้ามาแทรกซะก่อน เลยต้องรีบเอามาเล่าให้ฟัง เดี๋ยวจะลืมความรู้สึกนั้นๆ เหอๆๆ
ใครที่ไม่ได้อ่านหัวข้อบล็อควันนี้ กรุณาเลื่อนหน้าจอขึ้นไปมองที่หัวข้ออีกที...
ใช่แล้วค่ะ.. วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง "ไอ้โรคจิต" กันค่ะ
วันนี้ขณะที่กำลังเรียนวิชา Global Film ซึ่งจริงๆแล้วเป็นวิชาดูหนังค่ะ
ต้นคาบเราจะดูหนังก่อนทุกสัปดาห์ ซึ่งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงเราจะมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังที่ได้ดูไปนั้น ในบริบทของเรื่องที่เราจะเรียนกันในแต่ละปี
ซึ่งปีนี้เรื่องที่เราเน้นหนัก และซึ่งเป็นแนวมากๆของอ.สรวิศก็คือเรื่อง Gender Study ค่ะ
วันนี้หนังที่เราดูกันในห้องคือหนังสัญชาติฝรั่งเศสเรื่อง"The Piano Teacher"
พอดูหนังเสร็จ ก็มีพักเล็กน้อยแล้วก็กลับมาในห้องเรียนเพื่อวิเคราะห์หนังเรื่องนี้ว่ามีประเด็นเกี่ยวกับเพศสภาพอย่างไรบ้าง
ระหว่างที่กำลังวิเคราะห์อยู่นั้น (กำลังเข้าเรื่อง..ตั้งใจอ่านกันหน่อยยยย)
ก็เห็นเงาตะครุ่มๆอยู่ที่ประตูหน้าห้องเรียน
ห้องเรียนที่เราเรียนอยู่นั้นอยู่ที่ตึกหนึ่งของคณะรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นตึกเก่าแก่ ประตูของห้องเรียนก็เป็นประตูแบบเก่า เปิดทีนึงก็จะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเป็นซาวด์เอฟเฟ็คเป็นประจำ ประตูที่ว่านั้นเป็นประตูแบบสองบาน จะเปิดต้องผลักตรงกลางออกจากกัน ขอบประตูเป็นไม้และมีกระจกสีขุ่นเป็นตัวประตู
ตอนแรกก็เห็นแล้วว่าเงาที่อยู่หน้าห้องนั้นส่องผ่านตรงช่องว่างระหว่างกลอนประตูตรงกลางเข้ามาดูภายในห้อง แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะลักษณะการแต่งตัวของคนๆนั้นออกแนวฮิบฮอบ ซึ่งเหมือนกับรุ่นน้องคนนึงที่จริงๆแล้วก็เรียนวิชานี้เหมือนกัน แต่วันนี้แกดันไม่มา
เราก็สงสัยนิดหน่อยว่าน้องคนนั้นจะมายืนทำลับๆล่อๆอยู่หน้าห้องทำไม ทำไมไม่เข้าห้องเรียน แล้วก็หันหน้ากลับไปสนใจอาจารย์ที่กำลังบรรยายอยู่
ผ่านไปไม่กี่นาทีก็มีเสียงน้องคนนึงที่นั่งหน้าห้องร้องขึ้นมาว่า
(ออกจะเป็นแนวอีโรไปซะหน่อย.. แต่ทุกเรื่องที่ดูมามันก็แบบนี้แหละ เห็นทุกส่วนสัดจนชินชาไปเสียแล้ว เหอๆๆๆ)
"อาจารย์คะ ผู้ชายที่อยู่หน้าห้อง เค้า.. เค้า.. เค้าทำท่าเหมือนกำลัง masterbate อยู่ค่ะ"
(ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษเพราะว่าพวกเรามักจะอ่าน text เกี่ยวกับเรื่อง gender study เป็นภาษาอังกฤษเสมอ เลยกลายเป็นคำติดปากไปก่อนที่คำศัพท์คำอื่นจะโผล่ขึ้นมา)
เราซึ่งมองไปที่หน้าห้องพอดีก็กำลังเห็นชายคนนั้นกำลังทำท่าเหมือนกำลังประกิบกิจกรรมดังกล่าวอยู่กับประตูห้องเรียนของเรา
เมื่อชายคนนั้นได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งหนีไป
ห้องเรียนที่ตอนก่อนหน้านี้ฉายหนังทำให้ต้องปิดหน้าต่างไม้ให้หมดเพื่อแสงจะได้ไม่เข้ามารบกวนเวลาดูทีวี
ก็ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าโฉมหน้าของชายคนดังกล่าวนั้นเป็นใคร
ระหว่งที่กำลังชุลมุนชุลเกกันอยู่ ประกอบกับเพื่อนผู้ชายคนนึงของเราก็วิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว
เราก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนเที่ยงๆเห็นผู้ชายคนนึงแต่งตัวลักษณะแบบนี้แหละ เป็นที่สะดุดตาพอสมควรนะเพราะไม่มีใครแต่งแบบนี้ให้เราเห็นบ่อยๆนอกจากรุ่นน้องที่เราได้บอกไป แต่เราก็จำหน้าเค้าไม่ได้หรอกนะ คือแค่เห็นหน้าว่าไม่ใช่น้องคนนั้นก็สงสัยนิดๆว่ายังมีคนแต่งตัวสไตล์นี้อยู่อีกหรือวะ แล้วก็ไม่ได้สนใจ
เพื่อนเราที่วิ่งตามออกไปก็ไม่สามารถหาตัวเค้าเจอได้ คาดว่าอาจจะวิ่งหนีออกไปนอกมหา'ลัยแล้ว (นี่คงเป็นข้อเสียข้อหนึ่งของคณะที่อยู่ติดถนน ใครเข้าออกก็มักจะมาเป็นคณะแรกนี่แหละ)
ทำให้สรุปแล้วก็ไม่รู้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นเป็นใคร
รู้แต่เพียงว่าเค้าคือ "ไอ้โรคจิตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต" นั่นเอง
แต่ขอให้คุณผู้อ่านได้ใช้จินตนาการประกอบไปกับการบรรยายของเราไปด้วย
จินตนาการไปด้วบนะ อย่าลืมมมมม หุหุหุ
ตอนแรกตั้งใจว่าเรื่องต่อไปที่จะมาอัพวันนี้คือเรื่องที่ไปสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นมา แต่พอดีว่าวันนี้ดันมีเหตุการณ์ระทึกขวัญเข้ามาแทรกซะก่อน เลยต้องรีบเอามาเล่าให้ฟัง เดี๋ยวจะลืมความรู้สึกนั้นๆ เหอๆๆ
ใครที่ไม่ได้อ่านหัวข้อบล็อควันนี้ กรุณาเลื่อนหน้าจอขึ้นไปมองที่หัวข้ออีกที...
ใช่แล้วค่ะ.. วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง "ไอ้โรคจิต" กันค่ะ
วันนี้ขณะที่กำลังเรียนวิชา Global Film ซึ่งจริงๆแล้วเป็นวิชาดูหนังค่ะ
ต้นคาบเราจะดูหนังก่อนทุกสัปดาห์ ซึ่งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงเราจะมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังที่ได้ดูไปนั้น ในบริบทของเรื่องที่เราจะเรียนกันในแต่ละปี
ซึ่งปีนี้เรื่องที่เราเน้นหนัก และซึ่งเป็นแนวมากๆของอ.สรวิศก็คือเรื่อง Gender Study ค่ะ
วันนี้หนังที่เราดูกันในห้องคือหนังสัญชาติฝรั่งเศสเรื่อง"The Piano Teacher"
พอดูหนังเสร็จ ก็มีพักเล็กน้อยแล้วก็กลับมาในห้องเรียนเพื่อวิเคราะห์หนังเรื่องนี้ว่ามีประเด็นเกี่ยวกับเพศสภาพอย่างไรบ้าง
ระหว่างที่กำลังวิเคราะห์อยู่นั้น (กำลังเข้าเรื่อง..ตั้งใจอ่านกันหน่อยยยย)
ก็เห็นเงาตะครุ่มๆอยู่ที่ประตูหน้าห้องเรียน
ห้องเรียนที่เราเรียนอยู่นั้นอยู่ที่ตึกหนึ่งของคณะรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นตึกเก่าแก่ ประตูของห้องเรียนก็เป็นประตูแบบเก่า เปิดทีนึงก็จะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเป็นซาวด์เอฟเฟ็คเป็นประจำ ประตูที่ว่านั้นเป็นประตูแบบสองบาน จะเปิดต้องผลักตรงกลางออกจากกัน ขอบประตูเป็นไม้และมีกระจกสีขุ่นเป็นตัวประตู
ตอนแรกก็เห็นแล้วว่าเงาที่อยู่หน้าห้องนั้นส่องผ่านตรงช่องว่างระหว่างกลอนประตูตรงกลางเข้ามาดูภายในห้อง แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะลักษณะการแต่งตัวของคนๆนั้นออกแนวฮิบฮอบ ซึ่งเหมือนกับรุ่นน้องคนนึงที่จริงๆแล้วก็เรียนวิชานี้เหมือนกัน แต่วันนี้แกดันไม่มา
เราก็สงสัยนิดหน่อยว่าน้องคนนั้นจะมายืนทำลับๆล่อๆอยู่หน้าห้องทำไม ทำไมไม่เข้าห้องเรียน แล้วก็หันหน้ากลับไปสนใจอาจารย์ที่กำลังบรรยายอยู่
ผ่านไปไม่กี่นาทีก็มีเสียงน้องคนนึงที่นั่งหน้าห้องร้องขึ้นมาว่า
(ออกจะเป็นแนวอีโรไปซะหน่อย.. แต่ทุกเรื่องที่ดูมามันก็แบบนี้แหละ เห็นทุกส่วนสัดจนชินชาไปเสียแล้ว เหอๆๆๆ)
"อาจารย์คะ ผู้ชายที่อยู่หน้าห้อง เค้า.. เค้า.. เค้าทำท่าเหมือนกำลัง masterbate อยู่ค่ะ"
(ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษเพราะว่าพวกเรามักจะอ่าน text เกี่ยวกับเรื่อง gender study เป็นภาษาอังกฤษเสมอ เลยกลายเป็นคำติดปากไปก่อนที่คำศัพท์คำอื่นจะโผล่ขึ้นมา)
เราซึ่งมองไปที่หน้าห้องพอดีก็กำลังเห็นชายคนนั้นกำลังทำท่าเหมือนกำลังประกิบกิจกรรมดังกล่าวอยู่กับประตูห้องเรียนของเรา
เมื่อชายคนนั้นได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งหนีไป
ห้องเรียนที่ตอนก่อนหน้านี้ฉายหนังทำให้ต้องปิดหน้าต่างไม้ให้หมดเพื่อแสงจะได้ไม่เข้ามารบกวนเวลาดูทีวี
ก็ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าโฉมหน้าของชายคนดังกล่าวนั้นเป็นใคร
ระหว่งที่กำลังชุลมุนชุลเกกันอยู่ ประกอบกับเพื่อนผู้ชายคนนึงของเราก็วิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว
เราก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนเที่ยงๆเห็นผู้ชายคนนึงแต่งตัวลักษณะแบบนี้แหละ เป็นที่สะดุดตาพอสมควรนะเพราะไม่มีใครแต่งแบบนี้ให้เราเห็นบ่อยๆนอกจากรุ่นน้องที่เราได้บอกไป แต่เราก็จำหน้าเค้าไม่ได้หรอกนะ คือแค่เห็นหน้าว่าไม่ใช่น้องคนนั้นก็สงสัยนิดๆว่ายังมีคนแต่งตัวสไตล์นี้อยู่อีกหรือวะ แล้วก็ไม่ได้สนใจ
เพื่อนเราที่วิ่งตามออกไปก็ไม่สามารถหาตัวเค้าเจอได้ คาดว่าอาจจะวิ่งหนีออกไปนอกมหา'ลัยแล้ว (นี่คงเป็นข้อเสียข้อหนึ่งของคณะที่อยู่ติดถนน ใครเข้าออกก็มักจะมาเป็นคณะแรกนี่แหละ)
ทำให้สรุปแล้วก็ไม่รู้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นเป็นใคร
รู้แต่เพียงว่าเค้าคือ "ไอ้โรคจิตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต" นั่นเอง
Friday, December 01, 2006
Undertab Acoustic Contest ประกวดดนตรีใต้ตึก
สวัสดีค่ะ
หายไปหนึ่งสัปดาห์ ... กล้องก็ยังพังอยู่ เหอๆ
หลังจากคราวที่แล้วใช้ความพยายามกับการใช้กล้องมือถือต๊อกต๋อยถ่ายไป แต่ได้รูปออกมาห่วยแตกสมใจ คราวนี้เลยไปยืมกล้องแม่มา หวังว่าจะได้ภาพที่ดีขึ้น
วันนี้จะพาไปชมงานประกวดดนตรีที่จุฬาฯกันค่ะ
Undertab Acoustic Contest ขัดโดยคณะวิทยาศาสตร์เป็นประจำทุกปี ปีนี้จัดเป็นครั้งที่เจ็ดแล้ว
ชื่อ Undertab นี่จากที่มีคนเคยเล่าให้ฟังมานะ บอกว่าที่ชื่อนี้เพราะเมื่อก่อนจะจัดการประกวดที่ใต้ตึกแถบของคณะวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้น Under Tab นี่คือใต้ตึกแถบนะ ไม่ใช่ Caps Lock แต่อย่างใด (กริบ... มุกไม่ฮาพาเพื่อนเครียด -_-")
เราก็เคยประกวดงานนี้เหมือนกันนะ ตอนปีหนึ่งกับตอนปีสาม ปีสองไปประกวด CU Music Award ตกรอบแรก เหอๆๆๆ แต่ก็นะ.. การประกวด Undertab ทั้งสองครั้งของเราก็ตกรอบแรกเหมือนกัน เหอๆ อ่อ นอกจากนี้ยังลงประกวด Singing Contest ของคณะแพทย์ทุกปีด้วยนะ (เว้นปีสี่นะ ไม่อยู่ ปีนี้ก็กลับมาไม่ทัน) เข้ารอบรองชนะเลิศสองปี (ตอนปีสองอกหักเลยตกรอบ.. เกี่ยวไหม เหอๆ) แต่ไม่เคยเข้ารอบชิงเลยซะปี เฮ้อออออ
ส่วนปีนี้ไม่มีคนชวน ก็เลยนั่งว่างๆไป
จริงๆแล้วก็ไม่ได้ว่างเท่าไหร่เพราะปีนี้ไปเชียร์ค่ะ
น้องบ้านโจ๊ะเด๊ะห้าคนลงประกวดปีนี้ คนแรกคือน้องบาสซึ่งเล่นกีร์ต้าอยู่ในรูปด้านบน ต่อมาอยู่วงเดียวกันคือน้องอ๋อง น้องเติ้ล น้องแมน และน้องเบิร์ด ชื่อวงอะไรจำไม่ได้
คนไปเชียร์เพียบเลยยยยยยยย
เสียดายจังปีนี้ไม่มีโอกาสลง (เพราะไม่มีคนชวน) เคยคิดว่าอยากชนะ Undertab ซักปีนะเนี่ย ถึงแม้จะไม่เคยเข้ารอบซักปี เหอๆๆๆ
ไม่มีวีดีโอของการแข่งเมื่อวานนี้มาให้ดู เพราะว่ายืมกล้องแม่ไปใช้ ถ่ายวีดีโอได้แค่คลิปละสามสิบวินาที... ไม่รู้ว่าปรับไม่เป็นหรืออะไรนะ แต่ขอบอกว่าไม่คุ้นมือเลย ซูมได้แต่ digital zoom ซึ่งไม่เข้าใจว่าระบบนี้จะมีทำไม ซูมไปก็รูปแตก เอาไปตัดในคอมก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอออออ เฮ้ออออ
แต่เอารูปที่เคยไปประกวดตอนปีสามมาให้ดูกัน คิดว่าหลายๆคนคงได้ดูกันแล้ว เพราะอัพโหลดไว้ใน Youtube ไว้นานแล้วเหมือนกัน ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูก็เชิญทัศนา และกรุณาวิจารณ์ตามอัธยาศัย
สำหรับวันนี้... สวัสดีค่ะ
หายไปหนึ่งสัปดาห์ ... กล้องก็ยังพังอยู่ เหอๆ
หลังจากคราวที่แล้วใช้ความพยายามกับการใช้กล้องมือถือต๊อกต๋อยถ่ายไป แต่ได้รูปออกมาห่วยแตกสมใจ คราวนี้เลยไปยืมกล้องแม่มา หวังว่าจะได้ภาพที่ดีขึ้น
วันนี้จะพาไปชมงานประกวดดนตรีที่จุฬาฯกันค่ะ
Undertab Acoustic Contest ขัดโดยคณะวิทยาศาสตร์เป็นประจำทุกปี ปีนี้จัดเป็นครั้งที่เจ็ดแล้ว
ชื่อ Undertab นี่จากที่มีคนเคยเล่าให้ฟังมานะ บอกว่าที่ชื่อนี้เพราะเมื่อก่อนจะจัดการประกวดที่ใต้ตึกแถบของคณะวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้น Under Tab นี่คือใต้ตึกแถบนะ ไม่ใช่ Caps Lock แต่อย่างใด (กริบ... มุกไม่ฮาพาเพื่อนเครียด -_-")
เราก็เคยประกวดงานนี้เหมือนกันนะ ตอนปีหนึ่งกับตอนปีสาม ปีสองไปประกวด CU Music Award ตกรอบแรก เหอๆๆๆ แต่ก็นะ.. การประกวด Undertab ทั้งสองครั้งของเราก็ตกรอบแรกเหมือนกัน เหอๆ อ่อ นอกจากนี้ยังลงประกวด Singing Contest ของคณะแพทย์ทุกปีด้วยนะ (เว้นปีสี่นะ ไม่อยู่ ปีนี้ก็กลับมาไม่ทัน) เข้ารอบรองชนะเลิศสองปี (ตอนปีสองอกหักเลยตกรอบ.. เกี่ยวไหม เหอๆ) แต่ไม่เคยเข้ารอบชิงเลยซะปี เฮ้อออออ
ส่วนปีนี้ไม่มีคนชวน ก็เลยนั่งว่างๆไป
จริงๆแล้วก็ไม่ได้ว่างเท่าไหร่เพราะปีนี้ไปเชียร์ค่ะ
น้องบ้านโจ๊ะเด๊ะห้าคนลงประกวดปีนี้ คนแรกคือน้องบาสซึ่งเล่นกีร์ต้าอยู่ในรูปด้านบน ต่อมาอยู่วงเดียวกันคือน้องอ๋อง น้องเติ้ล น้องแมน และน้องเบิร์ด ชื่อวงอะไรจำไม่ได้
คนไปเชียร์เพียบเลยยยยยยยย
เสียดายจังปีนี้ไม่มีโอกาสลง (เพราะไม่มีคนชวน) เคยคิดว่าอยากชนะ Undertab ซักปีนะเนี่ย ถึงแม้จะไม่เคยเข้ารอบซักปี เหอๆๆๆ
ไม่มีวีดีโอของการแข่งเมื่อวานนี้มาให้ดู เพราะว่ายืมกล้องแม่ไปใช้ ถ่ายวีดีโอได้แค่คลิปละสามสิบวินาที... ไม่รู้ว่าปรับไม่เป็นหรืออะไรนะ แต่ขอบอกว่าไม่คุ้นมือเลย ซูมได้แต่ digital zoom ซึ่งไม่เข้าใจว่าระบบนี้จะมีทำไม ซูมไปก็รูปแตก เอาไปตัดในคอมก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอออออ เฮ้ออออ
แต่เอารูปที่เคยไปประกวดตอนปีสามมาให้ดูกัน คิดว่าหลายๆคนคงได้ดูกันแล้ว เพราะอัพโหลดไว้ใน Youtube ไว้นานแล้วเหมือนกัน ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูก็เชิญทัศนา และกรุณาวิจารณ์ตามอัธยาศัย
สำหรับวันนี้... สวัสดีค่ะ
Subscribe to:
Posts (Atom)