Sunday, October 29, 2006

กิจกรรมในช่วงปิดเทอม

สวัสดีค่ะ
หายหน้าไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ จริงๆแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร
ที่ทำก็เป้นกิจกรรมเดิมๆที่สามารถทำได้ที่บ้าน เหอๆ

เนื่องจากพรุ่งนี้จะเปิดเทอมแล้ว เลยขอมาอัพเดทกิจกรรม (ไร้สาระ) ยามปิดเทอมให้ประชาชนได้รู้กัน เหอๆ

คนที่เคยคุยกะเราบ่อยๆทาง msn อาจจะสงสัยว่า เราหายไปไหน???

ใช่... แปลกใช่ไหม ขจีภรณ์ไม่เคยหายหัวไปจากโลกไซเบอร์มาก่อน

แต่มันเกิดขึ้นแล้วววววววววววววววววววว!!!

สาเหตุน่ะหรือคะ...
เพราะอาการเสพติดค่ะ

ไม่ได้เสพติดอาหาร กาแฟ หรือยาใดๆ แต่เป็นการเสพติด

"เกม" และ "หนังจีน"

เกมที่ว่าก็คือ....

Tokimeki Memorial Girl Side 2nd Kiss

Photobucket - Video and Image Hosting

ไไม่รู้ว่ารู้จักเกมในตระกูล Tokimeki Memorial กันหรือเปล่า
ก่อนหน้านี้เป็นเกมเครื่อง PS ธรรมดา ออกมาแล้วสามภาค (เล่นมาแล้วทั้งสามภาค) เป็นเกมจีบสาวนะคะ เหอๆ โรคจิตมาก เรานะ..โรคจิตน่ะ เหอๆ

แต่ที่เหมือนกันในทุกภาคก็คือ เกมนี้จะเป็นชีวิตของตัวเอก (เรา) ซึ่งเป็นนักเรียน ม.ปลายที่เพิ่งย้ายเข้า รร.ใหม่ (รร.อะไรก็ว่าไป แต่ละภาคมันคนละโรงเรียนกัน)

ตอนนี้ตามมาออกที่เครื่อง PS2 แล้วก็พลิกกายมาเป็นเกม "จีบหนุ่ม" แทน (แล้วหนุ่มๆนี่น่ากินทั้งนั้นเลย เหอๆ)
จริงๆออกมาแล้วหนึ่งภาค แต่ภาคหนึ่งไม่ได้เล่นง่ะ หลังจากซื้อภาคสองมาก็ติดงอมแงมเลย จีบหนุ่มเป็นว่าเล่น (แบบว่าชีวิตจริงทำไม่ได้ ขอไประบายกับเกมนิดนึง เหอๆ) แล้วยิ่งพอมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นอยู่บ้างแล้ว ไปเล่นแล้วมันหนุกขึ้นเยอะเลยอ่ะนะ ตอนที่เล่นภาคจีบสาวนี่จิ้มหมด พูดไรว้าาาไม่รู้เรื่องเลย (แต่ก็ยังเล่นอ่ะนะ)

จะแสดงผลงานให้ดูว่าตลอดสองสัปดาห์จีบใครไปได้แล้งมั่ง หุหุ
Photobucket - Video and Image Hosting
Saeki Teru พระเอกของเกมเลย เคยเจอกับเราตอนเด็กๆ แล้วเราก็ย้ายออกจากเมืองไป กลับมาอีกครั้งก็เป็นนักเรียน ม.ปลายที่ รร.เดียวกัน ปกติแล้วตัวเอกมันจะจีบยากมากนะ แต่ทำไมภาคนี้มันจีบง่ายๆไงไม่รู้ ไม่ท้าทายเรยยยย

Photobucket - Video and Image Hosting
Masaki Masaharu พี่ชายร้านขายดอกไม้ เจอกันตอนไปทำงานพิเศษที่ร้านดอกไม้ อ่อ.. พอกลายเป็นเกมจีบหนุ่มแล้วมันก็มีโหมดใหม่คือให้ทำงานพิเศษได้ (ก่อนหน้านี้ไม่มีโหมดนี้ในเกมจีบสาว) เพราะว่าพอเป็นสาวๆแล้วก็ต้องแต่งตัวอ่ะสิคะ ต้องหาเงินไปซื้อเสื้อผ้า เหอๆ

Photobucket - Video and Image Hosting
Hariya Kounoshin พ่อหนุ่มนักดนตรี ตานี่ก็จีบไม่ยาก เรียนให้โง่ๆไว้ แล้วก็อัพเรื่องหน้าตากับศิลปะเยอะๆหน่อย ทำไมนักดนตรีมันต้องคู่กับความโง่วะ ไม่เข้าใจ...

Photobucket - Video and Image Hosting
Otonari Yu ใครอ่านภาษาญี่ปุ่นออกคงขำนามสกุลไอ้เด็กคนนี้ เหอๆ ... นามสกุลแปลว่า "คนช้างบ้าน" คือมันเป็นเด็กข้างบ้านน่ะนะ เป็นคนคอยบอกข้อมูลหนุ่มๆให้เรารู้ คือจริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจจะจีบมันเลย แต่เกิดความผิดพลาด คือถ้าจีบใครไม่ติดมันจะอัตโนมัติให้เดินกลับบ้านกะอีเด็กคนนี้ทันที ความผิดพลาดเกิดขึ้นเนื่องจากความพยายามจะจีบตัวละครลับ (ในรอบแรก) แต่ไม่สำเร็วนั่นเอง

Photobucket - Video and Image Hosting
Akagi Kazuyuki ตานี่แหละตัวละครลับ ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนนี้เลย เป็นนักเรียนของโรงเรียนของตัวเอกในภาคที่แล้ว จะจีบตัวละครลับได้ต้องมีความพยายาม คือพยายามออกไปช็อปปิ้งคนเดียวบ่อยๆ แล้วจะเจอได้โดยบังเอิญ แต่ครั้งแรกที่จีบพลาดเพราะว่าเจือกช็อปปิ้งเยอะเกิน ทำให้เหตุการณ์ที่ต้องเจอกับตานี่มันหมดไปตั้งแต่ปีแรก แป้วววว พอรอบสองก็พยายามยืดๆให้เหตุการณ์ที่ต้องเจอกันมันเกิดขึ้นตลอดสามปี แล้วก็ได้ตัวละครลับในที่สุด หุหุ

Photobucket - Video and Image Hosting
Wakaoji Takafumi แม้แต่อาจารย์ก็ไม่เว้น... ในเรื่องบอกว่าอาจารย์นี่มี IQ200 นะ ก็คงไม่ต้องคิดไรมากใช่ป่ะ เรียนๆเข้าไปให้เก่งๆ เดี๋ยวได้เอง เหอๆ

Photobucket - Video and Image Hosting
Shiba Katsumi อันนี้เพิ่งจีบได้สดๆร้อนๆเมื่อวานนี้เอง เป็นพ่อหนุ่มนักกีฬา ตอนจบมีไปแข่งที่โคชิเอ็งด้วยนะ แหมเสียดายจังตอนอยู่ญี่ปุ่นไม่ได้ไปดูสนามโคชิเอ็งของจริง ทั้งๆที่มันอยู่ใกล้บ้านิดเดียวเองง่ะ

ใครสนใจอยากจะจีบหนุ่มๆเหมือนเรา ก็เชิญเข้าไปชมได้ที่
เว็บไซต์ (แต่ภาษาญี่ปุ่นเน้อออ)

................................................

หนังจีนที่ว่าก็คือ...

"ดาบมังกรหยก"
Photobucket - Video and Image Hosting

ดาบมังกรหยก (หรือ มังกรหยกภาค 3 หรือ กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร) เป็นนิยายกำลังภายในภาคต่อของ มังกรหยก แต่งโดยกิมย้ง (ชื่อในภาษาจีน อักษรจีนตัวเต็ม: 倚天屠龍記; อักษรจีนตัวย่อ: 倚天屠龙记; พินอิน: yǐ tiān tú lóng jì) และชื่อในภาษาอังกฤษ คือ The Heavenly Sword and the Dragon Saber)

ระยะเวลาถัดจากมังกรหยก ภาค 2 สามถึงสี่ชั่วอายุคน เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์จีนในช่วงปลายของราชวงศ์หยวน (มองโกล) ตัวเอก เตียบ่อกี้ (บุตรชายเพียงคนเดียวของ จอมยุทธ์ห้า แห่งสำนักบู๊ตึ้ง เตียชุ่ยซัว และ บุตรีของจ้าวอินทรีคิ้วขาว แห่งพรรคมาร ฮึงซู่ซู่) ต้องผจญภัยมากมาย (ต้องตกเขาแล้วได้คัมภีร์ด้วยนะ ... ทำไมมันต้องตกเขาแล้วกลายเป็นยอดฝีมือทุกเรื่องเลยฟระ) และสุดท้ายได้เป็นประมุขนิกายเม้งก่า (บางสำนวนใช้ พรรคจรัส) ซึ่งมีบทบาทในการกอบกู้ประเทศจากมองโกล

อาการเสพติดหนังจีนนี่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เมื่อใดที่มีหนังจีนชุดอยู่ในมือ จะไม่สามารถหยุดดูได้...
ส่วนจุดเริ่มต้นของการติดหนังจีนเรื่องนี้ก็คือ ไม่มีไรหรอก ช่องสามมันเอามาฉาย แล้วมันฉายอาทิตย์ละสองตอน ทั้งหมดมันมีสี่สิบตอน แล้วดูกี่เดือนจะจบล่ะเนี่ย แถมบางวันมีบอลตัดเวลาหนังจีนชั้นเหลือครึ่งชม. ขั้นจากรี๊ดดดดดดดดดด เลยไปซื้อ DVD มาดู เหอๆ

Photobucket - Video and Image Hosting
เตียบ่อกี้ รับบทโดย ซู่โหย่วเผิง

Photobucket - Video and Image Hosting
เตี๋ยเมียง องค์หญิงมองโกล

Photobucket - Video and Image Hosting
เตียบ่อกี้ และ จิวจี้เยี๊ยะ

Photobucket - Video and Image Hosting
พระเอกและนางเอกทั้งสี่ (คนขวาสุดไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า เพราะในเรื่องเจ๊แกต้องแต่งหน้าอัปลักษณ์ ทำหน้าสวยๆแล้วจำไม่ได้ง่ะ)

หลังจากติดหนังจีนเรื่องนี้ และดูจบภายในสามวันแล้ว มันก็เกิดอาการสะกิดๆต่อมความอยากรู้ประวัติศาสตร์จีนขึ้นมา พยายามค้นเลคเชอร์วิชานโยบายต่างประเทศจีนที่เรียนตอนปี 2 แล้วได้ C+ มาดู แล้วก็มานั่งเสียดายว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่บ้าหนังจีนฟระ

........................................................

จบแล้วฮะ กิจกรรมที่ไร้สาระยามปิดเทอม จริงๆแล้วมันก็มีอย่างอื่นอีกนะ แต่มันเป็นส่วนน้อยจริงๆถ้าเทียบกับการใช้เวลากะสองกิจกรรมนี้

พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้ว จะเป็นยังไง.....ก็ติดตามตอนต่อไปเน้ออออ


Tuesday, October 24, 2006

ทำบุญบ้าน .. ที่ไม่ใหม่แล้วแต่อบอุ่น

สวัสดีค่ะ
เมื่อวานนี้ไม่ใช่แค่เป็น
"วันปิยมหาราช" เท่านั้นนะ
แต่เหมือนกับว่าจะเป้นธรรมเนียมของบ้านเราซะแล้ว ที่จะต้องจัดงานทำบุญบ้านในวันนี้ของทุกๆปี

จำไม่ได้เหมือนกันนะว่าตอนที่ย้ายเข้ามาบ้านนี้วันแรกมันคือวันที่ 23 ตค. หรือเปล่า แต่จำได้ว่ามันเป็นตอน ป.2 ง่ะ
ขำมาก คือมันก็เป็นวันแรกด้วยที่ได้ห้องนอนเป็นของตัวเอง จำได้ว่านอนคนเดียววันแรกในห้องคนเดียวมืดๆ โคตรกลัวเลย เหอๆ

ปีนี้ก็นิมนต์พระมาจากวัดที่บ้านคุณยายที่สิงห์บุรีมาเช่นเคย
Photobucket - Video and Image Hosting

ญาติก็มากันเพียบ (ในรูปดูไม่เยอะเท่าไหร่ แต่มาประมาณสามสิบคนได้มั้ง)
Photobucket - Video and Image Hosting

ถวายปัจจัย..
Photobucket - Video and Image Hosting

หลวงตาก็ไม่วายจะทาบทามพี่เราไปบวชเป็นเจ้าอาวาสเช่นเคย ฮ่าๆ สงสัยเหลือเกินตอนที่มันไปบวชนี่มันไปทำอะไรไว้วะ

ปิดท้ายด้วยรูปที่ถ่ายกับเด็กในสังกัด เหอๆ
Photobucket - Video and Image Hosting

ลูกพี่ลูกน้องน่ะ แป๊บเดียวตัวโตขนาดนี้แล้ว ยังจำได้ว่าเคยอุ้มมันสองคนอยู่เมื่อไม่นานนี้เอง เง้อออออ

ท่าจะแก่จริงๆแล้วสิเรา..... -_-"

Saturday, October 21, 2006

พาเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือกันเจ้าค่ะ

่ขอโทษหายหัวไปนานเลย
ก็มันไม่ได้ไปไหนง่ะ แต่ก็นะใกล้จะเปิดเทอมแล้ว อยู่ๆบ้านให้หวัดมันหายไปหน่อยก็ดีเหมือนกัน

แล้วรู้ป่าวว่าช่วงนี้ผอมลง ทั้งๆที่อยู่บ้านเฉยๆนี่ไม่น่าจะผอมลงได้ เพราะอะไรรู้ไหมคะ เพราะว่า
ติดเกมค่ะ ฮ่าๆๆๆ เล่นเกมทั้งวันทั้งคืนเลย ตื่นเช้ามากเพื่อมาเล่นเกมให้จบหนึ่งรอบก่อนจะดูละครตอนกลางคืน ข้าวปลาก็ไม่กิน เหอๆๆๆๆ ผอมเลย

ว่าจะเอาเรื่องเกมมาเขียนเหมือนกัน เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามันกินเวลาของชีวิตเราไปมากกว่า 80% เหอๆๆ แต่เพราะว่าเล่นเกมตลอดเลยไม่ได้เอามาเขียน หุหุ

เข้าเรื่องดีกว่า....

เมื่อวานนี้ไปเดินงาน
"มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ ๑๑" มาค่ะ เป็นงานนิทรรศการ (หรือเปล่า?) งานเดียวที่เราไม่เคยพลาด ไปมันทุกครั้งเลย แล้วก็ต้องเอาเงินไปละลายซะทุกครั้ง
Photobucket - Video and Image Hosting

ตามเข้าไปดูในงานกันดีกว่า

ไปถึงที่ศูนย์ประชุมสิริกิตติ์ตั้งแต่ 10 โมง ไปตั้งกะมันเปิดเลยว่างั้นเหอะ
Photobucket - Video and Image Hosting

นี่ขนาดไปแต่เช้านะ ... แล้วทำไมคนมันเยอะยังงี้เนียยยยยยยยยยยย
Photobucket - Video and Image Hosting
อ่อ.. บูธนี้ขอยกให้เป็นบูธที่คนมุงเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะว่าสำนักพิมพ์นี้แกพิมพ์นิยายรักกุ๊กกิ๊กของเกาหลี สาวๆรุมกันซื้อใหญ่เลยให้ตายเหอะ อะไรมันจะฮิตขนาดนี้

Photobucket - Video and Image Hosting
เริ่มถ่ายอะไรไม่เห็นแล้ว คนเยอะเหลือเกิน ถ่ายมาเห็นแต่หัวคน

รีบหนีออกมาดีกว่า ... เดินชมงานด้วยความเร็วแสง เข้าแต่บูธที่ตั้งใจจะซื้อเท่านั้น ไม่มีการเสียเวลาแวะนู่นนี่ แล้วก็เป็นความคิดที่ถูกต้องมากๆ ก็ดูคนที่เดินสวนเข้ามาดิ โอยเจ๊จะเป็นลม นี่ขนาดวันธรรมดานะเนี่ย
Photobucket - Video and Image Hosting

วันนี้ได้หนังสือมาไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะว่าหนังสือที่เคยซื้อมาในทุกๆครั้งที่ไปที่ยังอ่านไม่หมดแล้วก็หมักหมมอยู่ที่มุมหนังสือในห้องมันก็ยังอยู่ที่เดิม ขอสะสางของที่ซื้อมาเมื่อครั้งสองครั้งที่แล้วให้หมดก่อนนะ แล้วค่อยไปซื้อกันใหม่ หุหุ
Photobucket - Video and Image Hosting

1. บันทึกของเจ้าหญิง (เล่มพิเศษ) ตอน บทเรียนสำหรับเจ้าหญิง - Meg Cabot
2. บันทึกของเจ้าหญิง เล่ม 7 ตอน ปาร์ตี้ฉบับเจ้าหญิง - Meg Cabot
3. something about Love ความรักเจ้าขา - Jimmy Liao
4. The Private Me เรื่องส่วนตัว - Jimmy Liao
5. ไวยากรณ์ ระดับ 3 สำหรับเตรียมสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น - คณะผู้สอนหมวดวิชาภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักศึกษาต่างชาติ สถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นและศูนย์วัฒนธรรมแห่งเอเชีย (ABK)
6. Japanization ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมญี่ปุ่นฉบับกะทัด - อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
7. รอยแผลนางเงือก - Takahashi Rumiko
8. วนาแห่งเงือก - takahashi Rumiko
9. สาวใช้จำเป็นกับเจ้านายสุดหล่อ เล่ม 1 - Morinaga Ai
10. สาวใช้จำเป็นกับเจ้านายสุดหล่อ เล่ม 2 - Morinaga Ai
11. 10 BEST CAKES & COOKIES to give - ปริสนา บุญสินสุข
12. 10 BEST CHOCOLATE CAKES II - ปริสนา บุญสินสุข
13. เทวดาฝรั่ง กรีก - โรมัน - อ. สายสุวรรณ

ขอตัวไปหมกตัวเล่นเกมต่อก่อนละ หุหุหุหุ

Thursday, October 12, 2006

อยู่บ้านว่างๆ เข้าครัวอบขนมดีกว่า

อย่างที่เกริ่นไปเมื่อคราวที่แล้ว
ช่วงนี้ว่างมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

หวัดก็ยังไม่หาย แถมน้ำดันท่วมสยามอีก..
ถึงแม้บ้านเราจะไม่ท่วม เพราะไม่รู้เหมือนกันที่ดินแถวนี้มันสูงมั้ง
เมื่อหลายปีที่แล้วที่เค้าทั่วกันทั้งกรุงเทพฯ บ้านเราก็ไม่ท่วมแฮะ
ความคิดโง่ๆของสมัยที่ยังเป็นเด็กคือ

"แย่จัง.. น้ำไม่ท่วม อยากพายเรือ"

-_-"

ที่บอกว่าน้ำท่วมสยามแล้วเซ็ง..
เพราะว่าออกจากบ้านแต่ละครั้งก็ต้องไปสยามอ่ะแหละนะ
ไม่ไปสยามก็ไม่รู้จะไปไหน แปลกถิ่น อยู่แถวนั้นมาเจ็ดปีกว่าๆแล้วหนิ เหอๆ

เพราะงั้นอยู่บ้านว่างๆ ก็เลยหากิจกรรมทำไปเรื่อยเปื่อย
(นอกจากดูทีวีทั้งวัน.. ตอนนี้ท่องตารางออกอากาศของช่องสามตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ถึงทุ่มนึงได้แล้วนะ เหอๆ)

วันนี้ก็เลยเข้าครัวซะเลย.. โย่ววววว
ได้เป็นเจ้านี่ออกมาค่ะคุณผู้ชม
Photobucket - Video and Image Hosting

ใครที่ดูไม่ออก ขอบอกว่ามันคือ
Cinnamon Rolls สดๆหอมกรุ่นจากเตา หุหุ

เออ.. ช่วยมากินกันหน่อยก๊ดี อบสูตรนึงออกมาสิบกว่าชิ้นทีเดียว
สงสัยพรุ่งนี้จะต้องให้คุณพ่อ คุณแม่ คุณพี่แบ่งกันไปคนละชิ้นสองชิ้นให้ที่ทำงาน เป็นเวรเป็นกรรมของคนที่บริษัทกันไป เหอๆ

คืออยากทำ แต่ไม่ได้อยากกินไงนึกออกป่าว เหอๆ

ปล. สำหรับใครที่อยากประลองฝีมือ ทำไม่ยากเลยนะคะ เชิญเยี่ยมชมกันได้ที่ บล็อคของน้องแพร
ค่ะ

Friday, October 06, 2006

ขนมไหว้พระจันทร์ที่อร่อยที่สุด

สวัสดีค่ะ
ตอนนี้ที่เมืองไทยฝนตกทุกวัน ทั้งๆที่มันเลยหน้าฝนมาแล้วไม่ใช่เหรอยะ
คาดว่าคงเป็นสาเหตุมาจากพายุทั้งหลายทั้งแหล่ที่แห่แหนกันพัดเข้ามา

สิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบถ้าฝนตกคือ... น้ำท่วม ผ้าไม่แห้ง รองเท้าเปียก (บางทีเข้าไปถึงถุงเท้าด้วย)
แต่คราวนี้สิ่งที่แถมมาด้วยกับสายฝนก็คือ
"หวัด" นั่นเอง

จากที่ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้วเพราะเพื่อนๆเรียนจบกันหมด ไปทำงานทำการ เรียนต่งเรียนต่อกันไป แล้วยังมาแถมอาการหวัดให้อีก ก็ขอพยากรณ์อนาคตตัวเองไว้เลยว่าคงไม่ได้เยื้องกรายออกจากบ้านไปอีกนานทีเดียว (เป็นคนมีสถิตินะ ว่าหากเป็นหวัดหนักเมื่อไหร่ ก็เป็นไปเลยไม่ต่ำกว่าเดือนนึงอ่ะ ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะมีสถิติที่นานกว่าหนึ่งเดือนหรือเปล่า เหอๆ)

อ่อ.. ตอนนี้ก็ใกล้
"เทศกาลไหว้พระจันทร์" เต็มที
แหม เมืองไทยนี่ก็มีเทศกาลเยอะเหมือนกันนะ ไม่แพ้ญี่ปุ่นเลยนะจะบอก แต่เหมือนเราเองไม่ค่อยจะเห็นความสำคัญของมันซะเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเราเห็นมันทุกปี ไม่เหมือนตอนไปอยู่ญี่ปุ่นที่ทุกอย่างก็แปลกใหม่ไปหมดก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา

แต่ต่างกันตรงที่.. ที่ญี่ปุ่นดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็สนุกสนานกับงานเทศกาลต่างๆ จากที่จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะมีงานอะไรก็ตามมันจะต้องมีคนเบียดเสียดแย่งกันเข้าไปดู ทั้งๆที่มันมีทุกปีนั่นแหละ ใบไม้แดงก็ต้องแห่กันไปดู ซากุระบานก็แห่แหนกันไปดู จนบางทีเราก็แอบบ่นไม่ได้หว่าจะมาแย่งกันดูทำไมเนี่ย มันก็มีให้เห็นกันทุกปี ... (ปล่อยให้ชั้นดูบ้าง ช้านอยู่ปีเดียวววว)

เป็นประจำทุกปีที่บ้านเราจะต้องมีขนมไหว้พระจันทร์วางอยู่ จริงๆแล้วก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือวันไหน
แต่พอใกล้จะถึงวันทีไรก็จะรู้ได้โดยอัตโนมัติเพราะบริษัทอะไรก็ไม่รู้ต่างๆนานาจะต้องเอาขนมไหว้พระจันทร์มาให้ปะป๊า
แต่ละปีนอกจากจะมียี่ห้อเดิมๆแล้ว บางปีก็จะได้ยี่ห้อใหม่ๆมาด้วย

ปีนี้มาแปลก... และขอมอบให้เป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่อร่อยที่สุดของปีนี้ไปเลยยยยยยย
นั่นคือ...
Photobucket - Video and Image Hosting
ขนมไหว้พระจันทร์ของ
โรงแรม Oriental นั่นเองงงง

อร่อยมากกกกกกก ขอบอก นอกจากที่จะไม่ใช่ไส้เดิมๆ แบบทุเรียน ลูกบัว อะไรแบบนี้ เปลี่ยนเป็นไส้คัสตาร์ด (ล่ะมั้ง) แทน ยังเล็กกระทัดรัด ไม่ต้องแบ่งกินชิ้นเดียวสี่ครั้ง (บางทีจับพลัดจับผลูกินครั้งเดียวทั้งก้อน ทำให้เพิ่มมวลในร่างกายได้) รสชาติยังอร่อย หอมหวาน นุ่มลิ้น

ใครที่มีโอกาสก็หาทานเอาเองนะคะ อิอิ






ว่าแต่... วันไหว้พระจันทร์นี่มันวันไหนกันน่ะ???

Monday, October 02, 2006

Death Note และแนวคิดเรื่องอำนาจ

สวัสดีค่ะ
ตั้งแต่กลับมาเมืองไทยก็ไม่ค่อยมีเรื่องเขียนจริงๆแฮะ
ก็หวังว่ามันจะเป็นแค่ช่วงนี้ พอเปิดเทอมแล้วหวังว่ามันจะมีเรื่องมาเล่าเยอะๆ

ไม่ใช่ว่าอยากเล่าอะไรมากมายหรอกนะ แต่ว่ามันเบื่ออออ ม่ายมีอารายทำเลยยยยยยย แหงะ

แล้วจริงๆเรื่องที่จะมาเขียนนี่ก็ไปดูมาตั้งแต่เมื่อวันศุกร์แล้วล่ะ
เป็นหนังที่เข้าที่ญี่ปุ่นตั้งนานแล้ว คือ Death Note นั่นเอง
แต่ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ไปดู เพราะ...
หนึ่ง. อาจจะฟังไม่ออก
สอง. ค่าตั๋วแพง
สาม. ไม่มีคนไปดูด้วย

คิดว่าหลายๆคนคงไปดูมาแล้ว หรือว่ารู้จักหนังเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะตอนเป็นการ์ตูนก็ดังซะ (ยังไม่ได้อ่านเลย กะว่าจะไปซื้อมาอ่านอยู่เนี่ย) แล้วตอนนี้ที่เมืองไทยก็ดังทีเดียวนะ (อ่านในพันทิป เห็นคนพูดถึงเยอะ คิดว่าดังชัวร์ แหม.. เป็นเว็บไซท์วัดเรตติ้งที่ดีจริงๆ)

รวมถึงมีคนวิจารณ์หนังเรื่องนี้มากมาย แต่ส่วนใหญ่จะวิจารณ์ในแง่ของเนื้อเรื่อง โดยเปรียบเทียบกับต้นฉบับที่เป็นการ์ตูน เช่น เนื้อเรื่องที่เปลี่ยนไปจากการ์ตูน แอลหน้าตาเหมือนในการ์ตูนมาก (มีคนมาด่าชะนีที่กรี๊ดๆแอลในโรงหนังด้วย เฮ้อ.. อันนี้น่าด่าจริงๆ มาดูหนังนะยะไม่ได้มาดูคอนเสิร์ต กาละเทศะน่ะมีกันบ้างม๊างงง) รวมถึงมีคนมาบอกว่าไลท์หน้าบาน กรี๊ดดดด ชั้นออกจาชอบ น่ารักจาตาย แต่ดีละไม่มีคู่แข่งหัวใจ หุหุ

แต่ไม่ยักกะเห็นมีใครวิจารณ์ในแง่เนื้อหาที่มันสื่อให้เห็นถึงสังคมสักเท่าไหร่

(สงสัยไม่มีใครบ้าเท่าเรา..)

ไม่อยากจะไปวิจารณ์แข่งกะคนอื่น ขอมาเขียนวิจารณ์บ่นๆเนียนๆในบล็อคของตัวเองก็แล้วกันนะ อ่ะเหอๆๆๆ

ก่อนจะอ่านต่อไป ต้องขออกตัวก่อนว่าความรู้ทางวิชาการของเรามันช่างเหลือน้อยนิดเหลือเกิน หากพูดอะไรออกไปไม่ค่อยแสดงถึงความพัฒนาทางสมองต้องขออภัยคุณผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

Photobucket - Video and Image Hosting

Death Note (ขอเล่าเรื่องในหนังแล้วกันนะ ไม่ได้อ่านการ์ตูนน่ะ) เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยธรรมดาๆคนหนึ่ง คือ "ยางามิ ไลท์" ซึ่งเสื่อมศรัทธาต่อระบบยุติธรรมที่ไม่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ และยังปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นลอยนวลอยู่ในสังคมและยังกระทำผิดอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ... จนมาวันหนึ่งเขาได้พบสมุดเล่มหนึ่งตกอยู่ระหว่างทาง โดยที่สมุดเขียนไว้ว่า หากเขียนชื่อผู้ใดลงไปคนผู้นั้นจะมีอันเป็นไปภายใน 40 วินาที..

นับตั้งแต่วันนั้นไลท์ก็ได้ใช้ชีวิตดั่งผู้พิพากษา โดยการประหารชีวิตผู้กระทำผิดมากมายผ่านปลายปากกาของเขา

จนมาวันหนึ่งการกระทำของเขาซึ่งถูกยกย่องโดยผู้คนจำนวนมากว่าเป็นดั่งผู้พิทักษ์ความยุติธรรม และถูกขนานนามว่า "คิระ" กลับถูกมองว่าไม่ต่างอะไรกับการกระทำของอาชญากร พ่อของเขาซึ่งเป็นตำรวจได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบทำคดีนี้ โดยมีผู้ช่วยลึกลับชื่อว่า "แอล"

เมื่อถูกติดตามสืบหาว่าตัวจริงของคิระที่แท้จริงนั้นเป็นใคร ตัวของไลท์เองก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วยเช่นกัน ทำให้นอกจากที่เขาจะสังหารผู้กระทำผิดในตอนแรก เพื่อไม่ให้ถูกจับตัวได้ทำให้เขาปลิดชีวิตผู้คนบริสุทธิ์อีกมากมายเพื่อให้เขารอดจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัย และเพื่อเข้าไปอยู่ในทีมสืบสวนที่พ่อของเขารับผิดชอบอยู่นั่นเอง

(ขอไม่เล่ามากกว่านี้ เดี๋ยวจะเป็นการสปอยล์)

ถ้าจะให้พูดเกี่ยวกับเรื่อง "อำนาจ" จริงๆแล้วพยายามจะไปคุ้ยหนังสือที่เคยเรียนตอนปีหนึ่งมาลอกๆ แต่ลืมไปว่ายกให้รุ่นน้องไปเสียแล้ว เหอๆ ทำให้ต้องมานั่งนึกว่าจริงๆแล้วมันคืออะไรกันนะ

จริงๆแล้วคำว่า "อำนาจ" ก็มีนักวิชาการมากมายทั่วโลกให้คำจำกัดความมัน เมื่อกี้ลองแอบไปดู
wikipedia ว่าด้วยเรื่องอำนาจแล้วก็เห็นว่าเรื่องมันยาวจริงๆ ขอเอาเรื่องอำนาจที่เคยเรียนมา แล้วก็ยังจำได้มาพูดให้ฟังละกัน

อำนาจ.. ตามแนวคิดของใครไม่รู้จำไม่ได้ สามารถแบ่งได้เป็นสามมิติ คือ
1. อำนาจในการทำให้ผู้อื่นกระทำตามที่ตนต้องการ โดยที่ผู้อื่นจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ได้
2. อำนาจในการปฎิเสธที่จะไม่ทำ และ
3. อำนาจในการควบคุม ครอบงำความคิดของผู้อื่น

พอดูหนังเรื่องนี้จบ... ความคิดเรื่องอำนาจมันก็ผลุบขึ้นมาทันที

ถ้าแบ่งอำนาจเป็นสามมิติตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ก็สามารถเชื่อมโยง "อำนาจ" ของไลท์ที่ได้มาจากสมุด Death Note (รู้สึกชื่อไทยจะเรียกว่า สมุดกระชากวิญญาณ ... ในที่นี้ขอไม่ใช้ชื่อนั้น เหอๆ) ได้ว่า อำนาจที่เขาครอบครองอยู่นั้นเป็นลักษณะของอำนาจที่สามารถเอาเชื่อมโยงกับทฤษฎีดังกล่าวได้

กล่าวคือ ในมิติที่ 1 เขาสามารถใช้อำนาจของเขาทำให้ผู้อื่นทำตามได้ โดยที่ผู้อื่นไม่ได้เต็มใจ ในที่นี้คือสั่งให้ไปตายนั่นเอง เหอๆ ... แต่ออกจะแปลกๆซะหน่อย เพราะผู้ที่ถูกใช้อำนาจนั้นไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกใช้อำนาจด้วยอยู่

มิติที่ 2 จริงๆแล้ว เขามีอำนาจที่จะไม่ใช้อำนาจของสมุดเล่มนั้นได้ คือในที่นี้ไม่มีใครบังคับให้เข้าใช้สมุดเล่มนั้นใช่ป่ะล่ะ แต่เขาก็เลือกที่จะใช้มันทั้งๆที่เขามีอำนาจในการปฏิเสธ ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตเขาต่อมา...

มิติที่ 3 การกระทำของไลท์ หรือที่ผู้คนรู้จักเขาในชื่อของคิระนั้น เป็นการครอบงำความคิดของชาวบ้านเดินถนนทั่วไปว่าการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยในเรื่องไม่ได้กล่าวว่าประชาชนทั่วไปรู้เรื่องว่านอกจากอาชญากรที่เขาฆ่านั้นเขาได้สังหารคนบริสุทธิ์อีกด้วย ดังนั้นขอเดาว่าคนทั่วไปไม่รู้... ดังนั้นคนทั่วๆไปจึงเชื่อว่าเขาเป็นดังผู้ผดุงความยุติธรรมนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม.. เมื่อไลท์ได้อำนาจที่ไม่มีใครสามารถหยุดได้แล้วนั้น จากความมุ่งหวังในตอนแรกๆที่จะทำลายเฉพาะอาชญากร ในตอนหลังเขายังนำอำนาจที่เขามีไปใช้กับผู้อื่นซึ่งผิดจากจุดมุ่งหมายแรกของเขา และเป็นการปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ในการกระทำของเขา

เมื่อมองเช่นนี้แล้วจะเห็นได้ว่าเมื่อมนุษย์มีอำนาจแล้ว หลายคนนักที่จะหลงและมัวเมาไปกับอำนาจที่ได้มานั้น จากตอนแรกตั้งใจจะทำอย่างนี้ เมื่อหลงไหลไปกับมันแล้วก็ทำให้จุดประสงค์ในตอนแรกนันค่อยๆจางหายไป กลับกลายเป็นการนำอำนาจมาใช้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตัวเองเท่านั้น ในที่นี้คือการที่ไลท์พยายามไม่ให้ใครรู้ว่าตัวเองคือคิระ เป็นการปกป้องอำนาจที่ตัวเองได้มา และเพื่อจะไม่ให้เสียมันไปนั่นเอง

สรุปแล้ว.. เราสามารถเอาความคิดจากเรื่องรอบตัวมาตีความสังคมของเราในปัจจุบันได้นะ เราว่าเรื่องนี้พยายามจะบอกเราว่าผู้ใดเมื่อมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่เลย จากความคิดอย่างหนึ่ง อาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากจะโดนอำนาจครอบงำตัวเราเอง เมื่อเราสามารถปฎิเสธได้ ก็ปฎิเสธมันไปเสียบ้างเถอะค่ะ

ดังนั้นก็ไม่แปลกที่คนหลายๆคน เมื่อมีอำนาจแล้วจะนำอำนาจที่ตัวเองมีไปใช้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตัวเอง ... ใช่ไหมล่ะคะ