Sunday, December 24, 2017

รีวิวชะนีไทยหางานใหม่ในสิงคโปร์


หลังจากที่เคยเขียนบทความยาวๆเมื่อครึ่งปีที่แล้วเรื่องรีวิวชีวิต 1 ปีในสิงคโปร์ไปแล้ว ผ่านมาสักระยะหนึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในชีวิตเราค่ะ คือเมื่อสองเดือนที่แล้ว (ปลายเดือน ต.ค. 60) ทางบริษัทที่เราทำงานอยู่ก็โทรมาบอกว่า สำนักงานใหญ่ที่ฝรั่งเศสตัดสินใจที่จะปิด regional office ที่สิงคโปร์เป็นการถาวร และจัดปิดลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธ.ค. 60 โดยบริษัทเสนอให้เราไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ในปารีสแทน กำลังพักผ่อนอยู่ที่กทม.ตอนนั้นถึงขึ้นสำลักน้ำต้มแซ่บกนระดูกหมู!.... หลังจากวางโทรศัพท์ไปก็เกิดอาการช็อกไปขณะหนึ่ง เอายังไงดีจะอยู่สิงคโปร์หรือไปปารีสดี (เรื่องปารีสขอไม่ลงรายละเอียดมากเพราะมันก็มีกระบวนการคิดเยอะอยู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะไม่ไปแล้วตั้งหน้าตั้งตาหางานที่สิงคโปร์ต่อค่ะ)

คือจริงๆแล้วเราก็หางานใหม่มาสักระยะแล้วล่ะ เพราะงานที่ทำอยู่ก็ไม่ค่อยแฮ็ปปี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ active มาก เพราะเวลาไปสัมภาษณ์ก็ต้องแอบๆไป ชีวิตดูลำบาก หลังจากนี้คือต้อง active มากๆแล้วสินะ หลังจากดึงสติอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็บอกตัวเองว่า ไม่ได้ละ! ต้องรีบ action ทันที เวลาเรามีไม่มาก บ้านก็ยังติดสัญญาเช่าอยู่ และอื่นๆอีกมากมายที่เป็นแรงผลักดันให้ต้องเริ่มทันที!

หลังจากนี้จะขอเล่า 13 วิธีการและขั้นตอนในการหางานของเราในระยะเวลาที่โคตรจำกัด ซึ่งในระยะเวลาสองเดือนเราสามารถเข้าสัมภาษณ์งานกับบริษัททั้งหมดเกือบ 20 บริษัท (ไม่เว่อร์) และสุดท้ายได้รับ offer มา 2 ที่ (ขณะนี้ยังมีคนเรียกสัมภาษณ์อีกเรื่อยๆ และอีก 3-4 ที่ที่กั๊กผลไว้ไม่ยอมประกาศเสียทีเลยไม่รู้ว่ายังไง) แถมยังเป็นช่วงปลายปีที่ตลาดงานเงียบสงัด เผื่อว่าใครที่ประสบปัญหาจู่ๆบริษัทปิดตัว หรือถูกเลย์ออฟขึ้นมาจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง คิดว่าวิธีการนี้น่าจะสามารถปรับใช้ได้ในทุกประเทศนะคะ หวังว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์กับทุกคน

1. #ดึงสติก่อน : ขั้นแรกที่ต้องทำเลยต้องห้าม Panic รวบรวมสติให้ดี เครียดได้แต่ห้ามสติกระเจิง พยายามอย่าคิดว่าทำไงดีๆ แต่ต้องเริ่มทำเลย เวลาเราไม่มีไม่มาก เราไม่มีเวลาจะมา freak out พอเราได้ข่าวปุ๊บเราก็เริ่มแพลนและหาทางออกทันทีค่ะ

2. #BePositive : อีกอย่างที่สำคัญมากคือต้องมองโลกในแง่ดีไว้ ปะป๊าเคยบอกเราว่าตอนเช้าของทุกวันให้มองกระจกแล้วบอกตัวเองว่าเราทำได้ เราทำได้ เหมือนสะกดจิตตัวเองไว้ทุกวัน อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะทำไม่ได้ แผน 2 มีได้ แต่ต้องทำแผนแรกให้เต็มที่ที่สุด

3. #วางแผนสองไว้ด้วย : ลองคิดวางแผนว่าสมมติว่าถ้าเราหาไม่ได้ตามเวลาที่กำหนดเราจะทำยังไงดี ตอนนั้นเราก็คิดไว้ว่าเราต้องหางานให้ได้ภายในเดือน ม.ค. (เพราะหลังจากบริษัทปิดแล้ว เรายังสามารถอยู่ในสิงคโปร์ได้อีก 1 เดือนตามกฎหมาย) ถ้าหาไม่ได้ก็อาจจะกลับไทยแล้วค่อยคิด เราไม่อยากวางแผนยาวเพราะมันจะ distract แผนแรกที่เราคิดไว้ มีแผนสำรองไว้ดีนะ แต่อย่าคิดเยอะมากเพราะไม่งั้นปวดหัวและจะเครียดเกินความจำเป็น คิดไว้คร่าวๆแต่ไม่ต้องลงรายละเอียดนะ

4. #เช็คLinkedin : ขอบอกเลยว่าหลักๆที่เราสามารถหางานได้ก็จาก Linkedin เนี่ยแหละ (มีใช้ glassdoor บ้างนิดหน่อย) มัน effective มากจริงๆ เพราะ recruiter จากทั่วโลกรวมตัวกันอยู่ในนั้น เราต้องทำตัวให้มีตัวตนนอกจากเราหางานแล้วเราต้องให้คนหาเราให้เจอด้วย ใครยังไม่มี Linkedin รีบสร้างเลยตั้งแต่วันนี้ อันนี้บอกจริงๆไม่ได้โฆษณา

5. #เช็คJob : อันนี้ขอบอกว่าเป็นส่ิงที่เราทำจนเป็นนิสัยเลยค่ะ ทุกเช้าเราจะเข้ามาแล้วก็เช็ค Section Job ใน Linkedin นอกจากตำแหน่งที่ระบบจะ recommend ให้เราทุกวันแล้ว เราต้องลอง search หาเองด้วย คีย์เวิร์ดที่เรามักใส่ไปในช่อง search คือคำว่า Thai และ Asian Language เพราะเรารู้สึกว่างานที่เราจะมีโอกาสได้มากกว่าคนชาติอื่นๆที่ฟาดฟันหางานกันอย่างบ้าคลั่งคือภาษาไทยนั่นเอง สำหรับคนอื่นๆที่คิดว่าเรามีแต้มต่อด้านไหนก็ให้ใส่คีย์เวิร์ดในช่อง search ไปได้เลยเช่นกันค่ะ

6. #เซ็ทCareerInterest : สำหรับคนที่ยังไม่ทราบ ใน Linkedin เนี่ยมันมี feature อันนึงชื่อว่า Career Interest จะทำให้เราสามารถเซ็ทได้ว่าขณะนี้เรากำลังเปิดรับงานใหม่อยู่นะจ๊ะแบบลับๆ โดยถ้าเราเซ็ทเปิดไว้ไม่ต้องห่วงว่าคนที่บริษัทจะรู้ เพราะนางจะบล็อคไม่ให้คนที่เขียนโพรไฟล์ว่าทำงานบริษัทเดียวกันรู้ (แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นนางไม่รับรองนะว่าคนที่บริษัทจะไม่รู้ ชีวิตคือความเสี่ยงค่ะ 555)

7. #ติดต่อRecruiter : (recruiter = headhunter) สำหรับคนที่ทำข้อ 4 และ 6 มาแล้วสักระยะ (ซึ่งเราเปิดมานานแล้วเพราะอยากที่บอกว่าหางานใหม่มาสักพักละ) เราก็มี recruiter ติดต่อมาหลังไมค์เยอะพอสมควร แนะนำวิธีการคุยกับ recruiter ที่อาจจะเสนองานมาให้เราแต่เรายังไม่สนใจคือให้ปฏิเสธแบบสุภาพ และให้ keep connection กันไว้ก่อน เพราะเราไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ... พอหลังจากที่เราได้ทราบข่าวเรื่องบริษัทเราก็ส่งเมจเสจไปหา recruiter ทุกคนที่เคยติดต่อเรามาหลังไมค์เลยค่ะ แล้วก็บอกว่าตอนนี้สถานการณ์ของเราทำให้เราต้องรีบหางานด่วน คือขั้นแรกเราต้องเข้าใจก่อนนะว่า recruiter แต่ละคนนางก็ติดต่อคนไว้เยอะ บางคนก็อาจจะเคยติดต่อเรามาแล้วก็ลืมๆเราไปแล้ว การที่เราส่งเมจเสจไปก็จะเป็นการกระทุ้งให้เค้ารู้ว่า เฮ้ยๆ...ชั้นไงจำได้ป่าว แล้วเค้าจะได้ลองเช็คดูว่าใน inventory เค้ามีงานอะไรที่ตรงกับเราบ้าง ... recruiter ทั้งหลายนี่แหละที่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้เราได้เข้าส้มภาษณ์งานหลายที่ แต่มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะ ข้อเสียคือบริษัทต่างๆเวลาที่เค้าหาคนส่วนใหญ่แล้วถ้าเราโปรไฟล์พอๆกันกับอีกคนนึงที่สมัครกับเค้าโดยตรงแต่เราถูกส่งไปโดย recruiter เค้าก็จะเลือกคนที่สมัครตรงมากกว่า เพราะเค้าจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่า agency fee ยิ่งถ้าเราเงินเดือนเยอะเท่าไหร่ โอกาสเรายิ่งได้น้อย เพราะค่า fee จะยิ่งสูง เพราะงั้นแนะนำว่าให้สมัครเองให้เยอะที่สุดก่อน ส่วนของ recruiter อาจจะเป็นงานที่ไม่ได้มีประกาศโดยตรง (งานที่ confidential) หรืองานที่เราคิดไม่ถึงว่าเราก็ fit กับตำแหน่งนั้นค่ะ

8. #Connection : ข้อนี้เป็นอีกข้อที่สำคัญมากอีกข้อนึงค่ะ จริงๆแล้วเรารู้สึกว่าเรามีข้อนี้จำกัดมากเพราะเราอยู่ที่สิงคโปร์มาแค่ปีครึ่ง คอนเนคชั่นเรายังมีไม่มาก แต่เราก็ใช้ทุกคอนเนคชั่นที่เรามีในการหางานครั้งนี้ อย่างนึงที่ต้องห้ามอายคือห้ามอายที่จะบอกว่าบริษัทเราจะปิด หรือเราโดนเลย์ออฟ หรือข้อจำเป็นอื่นๆที่เราทำให้เราต้องหางานใหม่ ต่างกับการที่เราจะหางานแบบลับๆนะ อันนี้เราต้องบอกเพื่อน บอกเพื่อนร่วมงานเก่า บอกหลายๆคน แล้วถามไปด้วยว่าบริษัทเค้าเนี่ยเปิดรับหรือเปล่า ฝากเรซูเม่เราไปให้ HR โดยตรงเราได้มั้ย หลายๆงานเราได้เข้าสัมภาษณ์เพราะเพื่อนเรา หรือเพื่อนร่วมงานเก่าเรา หรือแม้แต่ partner ที่เคยทำงานด้วยกัน หรือแม้แต่กระทั่งลูกค้า (อันนี้ฮา...ลูกค้ายังช่วย) refer เราเข้าไปค่ะ เราเองก็ช่วยเพื่อนร่วมงานเราที่กำลังหางานเหมือนกันนะ เช่น ช่วย refer ไปให้คนที่เคยติดต่อเรามาก่อนแต่ตำแหน่งเราไม่เปิดแต่ตำแหน่งเค้าเปิดอะไรแบบนี้ ช่วยกันไปช่วยกันมา

9. #เตรียมสัมภาษณ์ : เราเคยคิดนะว่าการสัมภาษณ์งานเป็นการที่เราควรจะเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด เพราะเค้าไม่ได้เลือกเราอย่างเดียวเราต้องเลือกเค้าด้วยดังนั้นปกติเราจะไม่ค่อยได้เตรียมอะไรไปเลยก่อนสัมภาษณ์ แต่เป็นความคิดที่ผิดมากค่ะ เพราะจริงๆแล้วการที่เราเรียนรู้ว่าบริษัทเค้าหรืองานที่เราจะเข้าไปสัมภาษณ์เนี่ยเกี่ยวกับอะไรก็จะช่วยให้เรารู้เขารู้เรามากขึ้น เราจะได้รู้ด้วยว่าชอบงานนั้น อยากได้งานนั้นจริงๆหรือเปล่า โดยเฉพาะช่วงที่ต้องสัมภาษณ์เยอะๆย่ิงสับสนนะพูดตรงๆ ... จริงๆช่วงสัมภาษณ์งานเยอะๆนี่เราได้ความรู้เยอะเลยทีเดียวนะ ทั้งยิ่งสัมภาษณ์เยอะยิ่งเหมือนได้ฝึกการตอบ (คำถามมันก็ซ้ๆำกันนั่นแหละ) แถมต้องอ่านบทความเยอะมากเพราะเราต้องศึกษาธุรกิจของแต่ละบริษัทที่เราต้องไปสัมภาษณ์ บางบริษัทต้องเตรียมทำการบ้าน ทำสอบข้อเขียน ทำพรีเซนเทชั่น เยอะมากกกกกกกกกก เป็นช่วงที่เรียกว่าทั้งยุ่งมาก ทั้งได้ความรู้เยอะมาก บางอยากที่เราอยากเรียนรู้มานานแล้วแต่ไม่มีแรงผลักดันให้เรียนหรือให้อ่านก็ช่วงนี้นี่แหละ ยังกับแรงถีบ 55555

10. #เหนื่อยได้แต่ห้ามนาน : ขอบอกเลยว่าช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมาของเราเป็นช่วงเวลาที่เครียดมากกกกก แต่เราก็ทำตามข้อ 2 คือต้องมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ถึงแม้จะรู้สึกว่าเหนื่อยแต่เราต้องบอกตัวเองไว้ว่าเดี๋ยวมันจะผ่านไป พักได้แต่ให้ได้งานก่อนแล้วจะได้พักแบบสบายใจ (เอาจริงๆพักตอนที่ยังไม่ได้งานเนี่ยยังไงมันก็มีอะไรติดใจอยู่ พักก็ไม่ค่อยสบายใจหรอก 5555) ทำให้เรามีแรงผลักดันให้เราทำเต็มที่กับทุกๆการสัมภาษณ์ เพราะจริงๆคือเราอยากพักแล้ว 555555

11. #อย่าทิ้งโอกาส : เราหว่านใบสมัครไปเยอะมาก เยอะมากๆจริงๆ และก็ได้ถูกเรียกสัมภาษณ์เยอะมากๆ แต่ละสัปดาห์เราเข้าสัมภาษณ์ทั้งรอบแรกและรอบอื่นๆ ทั้งทางโทรศัพท์ ทาง video call ทั้ง face-to-face สัปดาห์ละประมาณ 3-4 ครั้ง ชีพจรลงเท้ามากๆ แต่เราคิดว่าทุกๆการสัมภาษณ์คือโอกาส เราไปทุกที่ที่เรียก เราคุยกับทุกๆคนที่อยากคุยกับเรา เพราะการเข้าสัมภาษณ์ทำให้เราได้เรียนรู้งานจากเจ้าของงาน ได้ฝึกการตอบไปในตัวอีกด้วย ไม่แน่เราอ่าน JD เราอาจจะไม่ชอบแต่พอเราได้เข้าไปคุยเราอาจจะชอบก็ได้ และนอกจากนี้คนที่สัมภาษณ์เราเราก็เก็บเข้าไปเป็น professional network ของเราไปได้อีกในอนาคต โอกาสอาจจะไม่ใช่ของเราในวันนี้ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ ... ตอนนี้ professional network ใน Linkedin เราโตขึ้นเยอะมาก เพราะหลังจากเราสัมภาษณ์เราก็ add คนสัมภาษณ์เพื่อส่งเมจเสจไปขอบคุณแล้วก็จะได้ keep in touch ไว้สำหรับอนาคต สรุปช่วงสัมภาษณ์งานแค่สองเดือนเรารู้จักคนในสายงานเดียวกันที่ทำงานคนละที่มากกว่าเราทำงานเต็มๆมาปีครึ่งอีก 5555


12. #ไม่ท้อถ้าถูกปฏิเสธ : เราเชื่อว่ากว่าที่เราจะได้งานเราต้องผ่านการถูกปฏิเสธมาแล้ว เราเองก็โดนมาหลายครั้ง โดนครั้งแรกๆก็ท้อนะ แบบบางงานเราอยากได้มาก เราเต็มที่มากแต่สุดท้ายเราก็ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเค้า เหมือนอกหักรักคุด (ดราม่า T_T) คำแนะนำคือพยายามเอาสติกลับมาให้เร็วที่สุดแล้วเริ่มใหม่ เพื่อนเราหลายคนพอคิดว่าจะได้ๆแล้วก็หยุดหางานไปสักพัก พอผลออกมาว่าไม่ได้ก็ดาวน์มากไม่มีอารมณ์จะหางานอีก แต่สำหรับเราเราต้องเดินหน้าต่อค่ะ เราก็ดาวน์นะแบบอารมณ์ขึ้นๆลงๆหลายครั้งแต่เราไม่มีเวลามาคิดเยอะเลยต้องเรียนรู้การจัดการอารมณ์ให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

13. #สิ่งศักดิ์สิทธิ์ : อันนี้ขำๆนะคะ แต่เนื่องจากเราเครียดมาก เราก็พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง 555 ตอนอยู่ไทยก็ไปไหว้พระพรหมณ์ เอราวัณมา กลับมาสิงคโปร์ก็ไปถามเพื่อนว่าวัดไหนศักดิ์สิทธิ์หมด อีนางก็ไปมันทุกวัดเลยค่ะ 55555 บางทีก็ต้องการที่พึ่งทางใจเนาะ แต่สุดท้ายพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียวไม่ได้นะ เราต้อง work hard ด้วยค่ะ


หมดแล้วค่ะ 13 ข้อจากประสบการณ์ของเราจากการหางานอย่างโคตรหนักหน่วงของเราตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ได้งานแล้วค่ะ เย้! (แต่ยังไม่เป็นทางการนะเพราะยังไม่ได้เซ็น แต่คงไม่น่าจะพลิกโผเนาะ) ขอบอกตรงๆว่า offer ที่ได้มา ได้มาจากการ refer และการที่ทางบริษัทติดต่อเรามาเองทาง Linkedin ค่ะ เราว่าย่ิงบริษัทใหญ่ๆ ถ้าเราโพล่งสมัครงานไปโดยตรงโอกาสยากมากที่เราจะได้เข้าสัมภาษณ์ ถ้าเรามีเพื่อนเป็นคนในที่ช่วยส่งเรซูเม่เราเข้าไปให้โอกาสที่จะได้เข้าสัมภาษณ์งานมีมากกว่า เพราะเราก็ต้องเข้าใจเนาะว่า HR นางก็ต้องอ่านเรซูเม่วันๆนึงเป็นร้อยเป็นพันก็อาจจะมีผ่าสตาไปบ้าง ถ้ามีคนแนะนำไปก็เหมือนช่วยนาง shortlist ในระดับหนึ่ง มีตำแหน่งนึงเราสมัครไปเองตั้งนานนนนไม่เรียก จนมีเพื่อน refer เข้าไปให้ (มารู้ที่หลังว่ามีเพื่อนทำงานอยู่) สามวันเค้าเรียกสัมภาษณ์เลย เรซูเมอันเดียวกันแต่ต้องใช้แรงเชียร์ 555555 ช่วงที่หาอยู่ก็มีหวั่นไหวอยู่เหมือนกันนะ เพราะเพื่อนที่ไทยก็ชักชวนกันหลายคนว่ากลับบ้านเรามั้ยไปทำงานด้วยกัน คนที่เคยทำงานด้วยที่ญี่ปุ่นก็ถามว่าพิจารณางานที่โตเกียวมั้ย มีคนช่วยไปทำงานด้วยหลายคน แต่ก็ตัดสินใจแน่วแน่ค่ะว่าจะหาที่นี่ก่อนเพราะรู้สึกว่าเรายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ

หวังว่าบทความยาวๆวันนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆทุกคนที่กำลังหางานอยู่ หรือคิดจะเปลี่ยนงาน หรือบริษัทเกิดเทเราขึ้นมาในอนาคตนะคะ (ช่วงนี้เห็นบริษัทที่ไทยในหลายธุรกิจเริ่มปิดตัวหรือเลย์ออฟพนักงานบ้างเพราะมีการ reorganization บ้างแล้ว) เราคาดเดาอนาคตไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเตรียมตัวไว้ก่อนแต่เนิ่นๆรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นนะคะ

สู้ๆค่ะ เราทำได้ทุกคนก็ต้องทำได้!!!!

ปล. ส่วนเงินชดเชยในกรณีถูกเลิกจ้างนี่ไม่ได้เลยสักบาทททท เพราะกฎหมายแรงงานสิงคโปร์จะชดเชยให้ต่อเมื่อทำงานเกิน 3 ปี -_-;

Wednesday, June 14, 2017

บันทึก 1 ปีชะนีติดเกาะ


วันนี้เมื่อปีที่แล้ว (จริงๆแล้วก่อนวันนี้สักเดือนนึง) เราตัดสินใจทิ้งชีวิตที่เมืองไทยแล้วลากกระเป๋ามาล่าฝันที่สิงคโปร์ เคยมีคนถามว่าทำไมถึงตัดสินใจมาติดเกาะตอนที่อายุก็เริ่มเยอะแล้ว (เอ่อะ..ช็อก) คือมันเป็นช่วงอายุที่น่าจะเริ่ม settle down กับชีวิตได้แล้วไง การตัดสินใจทิ้งหน้าที่การงานที่เริ่มก้าวไปได้เป็นอย่างดีที่ไทย โพรไฟล์ก็สร้างไว้เยอะแล้ว คนในวงการงานเดียวกันก็เริ่มมีเน็ทเวิร์ครู้จักกันเป็นอย่างดี เหมือนจะเป็นชีวีที่เบิกบาน ... การตัดสินใจครั้งนั้นถือว่าเป็นความตัดสินใจที่ค่อนข้างลำบากพอสมควร แต่ตอนนั้นจำได้เลยว่าถ้าไม่ตัดสินใจก้าวออกมาตั้งแต่วันนี้ ไม่รู้ชีวิตนี้จะได้ออกจากประเทศมาเจออะไรใหม่ๆอีกเมื่อไหร่ ... จับพลัดจับผลูมีสามีขึ้นมาทำไง ไม่ออกจากประเทศแน่นอน 55555
วันนี้เลยขอมาเล่าให้ฟังตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจมาติดเกาะที่สิงคโปร์ และสรุปเล็กๆน้อยๆ ว่า 1 ปีที่ผ่านมาเราได้อะไรมาบ้าง
1. ทำไมถึงตัดสินใจมาติดเกาะ ง่ายๆเลย ตอนนั้นรู้สึกตันแล้วกับหน้าที่การงานของตัวเอง (เรารู้สึกเองนะไม่มีใครทำให้รู้สึก) ตอนนั้นบอกไม่ถูกว่าเราจะเดินก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ยังไงในสายอาชีพ เริ่มมีหลายคนชวนไปทำงานด้วยกัน แต่ตอนนั้นก็ถามตัวเองนะว่าถ้าเราจะก้าวหน้ามันต้องมีอะไรมากกว่าการย้ายบริษัท .... ก็เลยตัดสินใจ เอาวะ..หางานต่างประเทศเลยละกัน เราทำงานเกี่ยวกับ communication / marketing อยู่แล้ว มันจะมีอะไรที่จะดีไปกว่าการก้าวข้ามตลาดของเราเองแล้วไปศึกษาตลาดต่างประเทศบ้าง เลยเริ่มๆหางานค่ะ ตอนนั้นหาที่สี่ที่เป็นหลัก คือ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน แล้วก็โตเกียว มีสัมภาษณ์มาแล้วทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง แล้วก็โตเกียว (ส่วนไต้หวันยากมาก เพราะเราไม่ได้ภาษาจีน) สรุปว่าได้งานที่สิงคโปร์ก่อนก็เลยตัดสินใจมา
2. เคยมีคนถามว่าหางานได้ไงที่สิงคโปร์เก่งจัง ... คนที่อยากมาทำงานที่นี่ขอแนะนำอย่างแรงกล้าเลยค่ะว่าให้สร้างโพรไฟล์ Linkedin ไว้ อย่าลืมว่าเราไม่ได้หางานอยู่คนเดียว เราต้องทำตัวให้ visible ในหมู่ recruiter / headhunter ด้วย เหล่าบุคคลเหล่านั้นจะคอยสอดส่องโพรไฟล์ของคนทั้งหลายบน Linkedin กันเป็นประจำทุกวัน จะบอกว่างานที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ทั้งหมดในข้อ 1 เป็นงานที่ได้จาก headhunter ที่เจอโพรไฟล์ของเราจาก Linkedin ทั้งหมด โชคดีที่ได้ภาษาญี่ปุ่นอีกภาษาด้วยถือว่าเป็น advantage ของเรามากๆ เพราะคนที่ได้ trilingual มันไม่เยอะ (ต้องขอขอบคุณปะป๊าและมะหมี่มา ณ ที่นี้ที่ให้เราไปอยู่ญี่ปุ่นในวันนั้น) เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่าจะหางานใหม่ อย่าลืมทำโพรไฟล์ Linkedin ไว้นะคะ แล้วเข้าไปเช็คบ่อยๆ ถ้าเรา active บ่อยๆ โพรไฟล์เราจะยิ่งมีคนเห็นมากขึ้น
3. จำได้ว่าคืนก่อนที่จะเดินทางมาสิงคโปร์ นอนร้องไห้อ่ะ ... คือวินาทีที่จะย้ายมาจริงๆแล้วมันทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ทั้งไม่มั่นใจ ปะป๊ายังพูดเลยว่ามันเหมือนโมเม้นท์ที่ส่งเราไปเรียนที่ญี่ปุ่นครั้งแรก (ก็เอ่อ..สิบกว่าปีมาแล้ว) และครั้งนี้ไม่เหมือนตอนไปเรียนต่อนะ โตแล้ว ออกมาทำงานเมืองนอกคนเดียว ไม่มีใครมาช่วยเหมือนตอนเป็นนักเรียนแล้ว ทุกอย่างต้องช่วยเหลือตัวเอง แต่ตัดสินใจไปแล้ว ถอนตัวไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องไป และแล้ววันนี้เมื่อปีที่แล้วก็มาถึง ... วันนี้เราขึ้นเครื่องบินมาอยู่ที่นี่
4. มาอยู่แล้ว culture shock มั้ย จริงๆแล้วไม่ช็อคเท่าไหร่ เพราะตอนทำงานก็มา business trip ที่สิงคโปร์บ่อยมาก คือนอกจากโตเกียวแล้วก็สิงคโปร์นี่แหละที่หลับตาเดินได้ แต่สิ่งที่ไม่เรียกว่าช็อค แต่เรียกว่าเสียเซลฟ์ดีกว่า คือ เรื่องความสามารถภาษาอังกฤษของเรา
5. จากคนที่เคยคิดว่าภาษาอังกฤษชั้นเนี่ยแหละหนึ่งในตองอูนะเว้ยเฮ้ย สอบเอ็นท์ได้อังกฤษยังเกือบเต็ม (ใข่ค่ะรุ่นสอบเอ็นท์ค่ะ...รู้อายุเลยสินะ) สอบ TOEIC ยังตอบผิดไปข้อเดียว ก่อนมามั่นใจมากกกกกก สบายยยยยยยย ... แต่มาถึงแล้วมันไ้ม่ใช่ยังงั้นหว่ะแก คือพอตอนเรียน ตอนอ่านหนังสือ ตอนเขียน thesis ตอนทำข้อสอบมันไม่เหมือนกัน รู้สึกเลยว่ามาอยู่นี่ทำไมภาษาชั้นง่อยจังอ่ะ อาจจะเป็นเพราะคำศัพท์ที่ใช้ตอนทำงานกับที่เคยใช้มาตลอดชีวิตมันคนละอย่างกันเหวย แล้วนึกออกมั้ยเราอ่ะไม่ใช่คนพูดน้อยนะ แต่เวลาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วย English Native Speakers ทั้งอังกฤษ อเมริกา สิงคโปร์ หรือแม้แต่อินเดีย ดิชั้นตัวลืบมากกกก เห้ยยย คือไม่ได้ไม่มีความเห็นไง แต่พูดไม่ทันไงแกกกกกกกกก
6. หลายคนอาจจะสงสัยว่าอยู่สิงคโปร์แพงมั้ย บอกตรงๆนะคะว่า ... ก็แล้วแต่ว่าอะไร มันมีหลายอย่างนะที่แพงกว่าเมืองไทยเยอะ เพราะอย่างว่าประเทศเค้าเป็นเกาะไง ที่มันก็น้อย ผลิตอะไรมาเองก็ไม่ค่อยได้ น้ำเปล่ายังต้องอิมพอร์ตมาจากมาเลย์เลย มีครั้งนึงปุ่มกดส้วมที่บ้านพัง...ซีดเลยค่ะ ค่าอะไหล่บวกค่าบริการแพงมากกกก (ความเดิมตอนที่แล้ว http://bit.ly/2rS4vSD) แต่บางอย่างที่จะบอกว่าจริงๆแล้ว เห้ย มันโอเคนะ มันไม่ได้แพงขนาดนั้น อย่างเช่น อาหาร หลายคนคิดว่า เห้ย อยู่ได้ไงอาหารแพง .... แต่ขอบอกว่าถ้ามาอยู่จริงๆมันสามารถหาได้นะอาหารที่มันไม่แพงอ่ะ แบบ S$3-4 (75-100 บาท) เนี่ยหาได้ง่ายๆ เหมือนกินข้าวกลางวันที่ food court central world เลยอ่ะแก ค่าเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะก็ถูกมาก เราใช้เดินทางไป-กลับที่ทำงาน (ถ้าไม่ได้ไปไหนต่อ) ก็ตกอยู่ที่วันละ S$2 (50 บาท) เอง แล้วรถสาธารณะมันไม่ได้ง่อยๆนะ คือดี คือตรงเวลา เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ดีมากๆ
7. แต่เหล้าแพง ... ก็ดีกินเหล้าน้อยลงไปโดยปริยาย ประหยัดตังค์ หะๆ
8. นอกจากการเดินทางสะดวกแล้ว จริงๆสิ่งที่ดีมากเวลามาอยู่ที่นี่คือมันปลอดภัยมาก คือที่นี่ทุกคนเกรงกลัวกฎหมาย (ถึงแม้ว่ามันจะมีกฎหมายแปลกประหลาดบ้างหลายข้อ เช่น ไม่กดส้วมสาธารณะโดนจับได้ ไว้วันหลังจะมาเขียนให้อ่าน) ไปเดินพวกตลาด หรืออีเว้นท์ที่มันเบียดๆนะไม่ต้องมีใครประกาศเหมือนศูนย์สิริกิติ์นะว่าระวังกระเป๋าสตางค์ มันโอเคจริงๆแก คือตอนที่มาแรกๆเกือบโดยเอเจ้นท์บ้านหลอกกินตังค์ไปฟรีๆ (ความเดิมตอนที่แล้ว http://bit.ly/2rRX25Y) ตอนแรกก็รู้สึกแย่มากแต่พอเพื่อนโทรไปจัดการว่าจะแจ้งตำรวจก็คดีพลิกทันทีได้เงินคืนง่ายๆซะงั้น คือแบบ เฮ้ย..คนที่นี่เค้ามีความเกรงกลังกฎหมายจริงๆ
9. มีอย่างนึงที่ชอบมากคือการข้ามถนนทางม้าลายไม่ต้องมองซ้ายมองขวา ข้ามได้เลย รถหยุดให้ ไม่โดนรถชนตายแน่นอน ... อันนี้ทำให้คราวก่อนกลับเมืองไทยมีความเก้ๆกังๆในการเดินข้ามทางม้าลายเล็กน้อย สกิลการข้ามถนนลดลง
10. มาพูดเรื่องภาษากันบ้าง มีคนถามหลายคนมาก เห้ย ไหวเหรอ ... ฟัง Singlish ออกเหรอ ก็ยอมรับกันตรงๆว่าตอนแรกขำมากกกก คือฟังไม่ออกกกก พูดอะไรกันเหรอแกร๊ แต่ไปๆมาๆก็ฟังรู้เรื่องละ ตอนนี้รู้บริบทการใช้ Lah / Lor / Leh และ (มันมีมากกว่า Lah เยอะนะจริงๆแล้ว) แล้วก็มีความอะเมซิ่งหลายๆอย่าง คือคำศัพท์บางคำที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเรารู้เรื่องนะ เพราะมันมีรากภาษามาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน (ญาติกับแต้จิ๋ว) เช่น ก๋วยเตี๋ยว เก้าอี้ หรือแม้แต่คำบางคำที่ไม่รู้มันคือภาษาอะไรเราก็มารู้ที่มาที่นี่ เช่น เราเข้าใจว่า "คริสตัง" คือคนคาทอลิกเฉยๆมาตลอก (แบบคริสเตียน คริสตัง) แต่จริงๆแล้วมันมาจากคำว่า Kristang คือ คนที่เป็นลูกผสมสืบเชื้อสายมาจากโปรตุเกส และมะละกา
11. มันให้ความรู้สึกต่างจากตอนไปอยู่ญี่ปุ่นมากนะ เพราะถึงแม้เราจะรู้สึกว่าญี่ปุ่นใกล้ตัวเรามาก เพราะเรารับวัฒนธรรมป็อปจากญี่ปุ่นมาแต่เด็ก แต่จริงๆแล้วมันแตกต่างจากรากเหง้าเรามาก ตอนที่เราไปญี่ปุ่นคือเริ่มใหม่หมดทุกอย่าง ต้องเข้าใจอะไรใหม่หมดทุกอย่าง พอมาอยู่นี่กลับรู้สึกเหมือนเราได้ต่อยอดความรู้จากสิ่งที่เรารู้มาแล้ว เราได้ discover สิ่งที่เรารู้มาก่อนแต่รู้ไม่ลึกอ่ะ มันให้ความรู้สึกฟินกันคนละแบบนะ
12. มาอยู่ที่นี่เราจะงงมาก คืองงมากว่าเราอยู่ประเทศอะไรวะ เดินไปกลางถนนนะจะมีคนพูดภาษานั่นนี่ ภาษาอะไรก็ไม่รู้อ่ะ เดินสวนเราไปตลอดเวลา คือที่นี่มัน mix มาก mix มากมากกกกกก นอกจากดั้งเดิมที่มีคนหลายชาติพันธุ์มาอยู่รวมกันแล้ว เนื่องจากนางเป็น regional hub ของภูมิภาคนี้เลยมีคนต่างชาติมาอยู่เยอะมากมากกกกกกกก
13. ความยากลำบากของการอยู่ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกมาก คือเรารู้สึกว่าเราด้อยอ่ะ เรารู้สึกเลยนะว่าเราไม่เก่งพอ คืออย่างที่บอกว่าที่นี่เป็น regional hub มันก็จะรวมคนเจ๋งๆ มาอยู่ที่นี่ เรากลายเป็นเห็บหอยไปเลย คือเรารู้สึกตัวเล็กมากเมื่อเที่ยบกับคนที่นี่ ขนาดไปยิมนะ ตอนแรกเราคิดว่าเราเนี่ยแหละแข็งแรงมาก มาเจอสาวสิงคโปร์เท่านั้นแหละ อีบ้า...เอาแรงมาจากไหนวะแก อย่าว่าแต่คนต่างชาติที่มารวมกันที่นี่เลย คนสิงคโปร์เองพวกนางก็เก่ง เคยอ่านบทความนึงบอกว่าคนสิงคโปร์จริงๆแล้วไม่เยอะที่มีประสบการณ์ไปเรียนหรือทำงานที่ต่างประเทศ แต่ที่พวกนางเก่งขนาดนี้ต้องชมระบบการศึกษาของนางนะ มหาลัยนางติดอันดับโลกนะจ๊ะ คือมันทำให้เราท้อใจในระดับหนึ่งนะ แบบเราทิ้งความเจ๋งที่เราเคยทำไว้ที่ไทยมาหมดเลยแล้วมาเริ่มใหม่แบบนี้เราคิดถูกหรือเปล่าแต่ตอนนี้คิดได้และ คิดว่ามันเป็นแรงฮึดให้เรารู้สึกว่าเราอยากเก่งกว่านี้ อยากทำได้มากกว่านี้ อยากแข็งแรงกว่านี้ ฮึบๆ บอกตรงๆว่าก็เริ่มหางานใหม่มาสักพักละ เห็นท้อมาแล้วหลายลูก แต่ก็ไม่ยอมแพ้หรอก จะหน้าด้านส่งใบสมัครต่อไปนี่แหละ มันต้องได้สักที่แหละวะ!
14. เรื่องร้ายๆก็มีนะไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่ว่าจะชื่นชมอะไรพวกนางขนาดนั้น อย่างที่เล่าไปข้อก่อนๆ แล้วเรื่องเกือบโดนโกง และความแพง มาอยู่ที่นี่มันมีความรู้สึกแย่หลายอย่าง อย่างเช่น ในการที่เราเป็นคนไทย เป็นผู้หญิงไทยอ่ะ คือ sterotype มันก็ถูกมองแย่ไประดับนึงแล้ว เคยไปดู stand up comedy ครั้งนึงแล้วนางถามเราว่าเรากับเพื่อนที่ไปด้วยกันเจอกันที่ไหน Orchard Tower หรือเปล่า (Orchard Tower คือแหล่งร่วมการค้าบริการที่คิดว่าน่าจะถูกกฎหมาย) เพียงเพราะว่านางรู้ว่าเราเป็นคนไทย แต่คนสิงคโปร์ที่ชอบเมืองไทยมากๆ ชอบคนไทยมากๆก็มีนะ คนสิงคโปร์พูดไทยได้ ชอบดูหนังไทย ละครไทยคือมีเยอะจริงๆ เราว่ามันก็แอบปะปน หรือเรื่องความเปิดกว้างทางความคิดนางไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่นะพูดเลย อย่างสื่อนางก็โดนคุมโดยรัฐบาลอย่างหนัก (ไม่แน่ใจว่าคุมไปถึง social media / online หรือเปล่า) หรือล่าสุดที่ Facebook เปิดให้ใช้ปุ่มสายรุ้งเพื่อเดือน LGBT ที่นี่นางก็ไม่เปิดให้ใช้นะจ๊ะ นางยังรับไม่ได้เรื่องนี้ ... เราเลยไม่มีสายรุ้งใช้ไปด้วยเลย T T
15. สุดท้าย ... คุ้มมั้ยมาอยู่ที่นี่ ก็คุ้มนะ...ถ้าเรื่องเงินตอนแรกคิดนะ โหเงินเดือนหลักแสน สบ๊ายยยยย แต่จ่ายค่าบ้านไปก็ไม่ค่อยสบายละ สรุปเหลือเงินเก็บนิดเดียว แต่เนื่องจากค่าครองชีพเนี่ยแหละถ้าเราประหยัดๆหน่อย เราสามารถเจียดเงินเดือนเราไปซื้อตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น ฮ่องกงไรงี้ได้เเลย (ถ้าอยู่ไทยอาจต้องอดออมสักสามสี่เดือน) ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินเก็บเลยนะ หลายคนบอกว่าสิงคโปร์น่าเบื่อประเทศเล็กนิดเดียวไม่มีไรทำ ธรรมชาติอะไรก็ไม่มี แต่จริงๆแล้วมันมีอะไรให้ทำเยอะนะ เราว่าขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนแบบไหน ถ้าแอคทีฟๆแบบเราเนี่ย ยังไงก็ต้องหาอะไรทำ ไม่เบื่อหรอก สนุกจะตาย (อีกอย่างมีตังค์บินไปเที่ยวประเทศใกล้ๆได้ ไม่แพง) คุ้ม!
โห...เลื่อนกลับไปดูยาวมากเลยอ่ะ ถ้าใครอ่านมีถึงตรงนี้ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้อ่านบทสรุป 1 ปีของชีวิตเราในสิงคโปร์จบแล้ว 55555 เราก็ยังจะอยู่ต่อไปนะ ไม่รู้อยู่ถึงเมื่อไหร่ อาจจะอยู่จนถึงตอนที่รู้สึกว่ามันไม่มี room ให้เติบโตต่อแล้ว หรือว่ามีโอกาสอื่นที่เจ๋งกว่ารออยู่ อีกอย่างเซ็นสัญญาบ้านไปและ อย่างน้อยก็ต้องห้ามออกจากเกาะนี้ไปอีกหนึ่งปีแหละ 55555
ขอบคุณที่ติดตาม และมาติดตามกันต่อไปน้าาาาา <3 span="">

ปล. สามารถติดตามรายละเอียดทุกซอกทุกมุมของสิ่งที่เราทำได้ที่เพจ Boring Singapore เผื่อใครยังไม่รู้ว่าทำเพจมาปีนึงและ 55555